ปฐมบทความขัดแย้ง (1) / คอลัมน์ "สุดฟากสนาม" โดย ธีรพัฒน์ อัครเศรณี
หลังพาปอร์โต้เป็นจ้าวยุโรปเมื่อปี 2004 ยุคนั้น โฮเซ่ มูรินโญ่ กลายเป็นกุนซือหนุ่มเนื้อหอมที่สุด พอฟัดพอเหวี่ยงกับ ราฟาเอล เบนิเตซ หัวหน้าโค้ชของบาเลนเซีย ที่ผลงานโดดเด่นไม่แพ้กัน
ในช่วงซัมเมอร์นั้น “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เพิ่งจะปลด เชราร์ อุลลิเยร์ ขณะเดียวกันเชลซี ก็ตัดสินใจถอด “Thinker man” อย่าง เคลาดิโอ รานิเอรี่ ออกจากตำแหน่งเช่นเดียวกัน โดย โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐี จากรัสเซีย ผู้ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อสโมสรเชลซี ต้องการเปลี่ยนแปลงสโมสรไปสู่ความรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจว่าเขาต้องการใครสักคนที่ฝีมือและบุคลิกโดดเด่นกว่า รานิเอรี่ เข้ามา
ข่าวลือในช่วงซัมเมอร์นั้นค่อนข้างสับสนอลหม่าน เพราะสองกุนซือแบไต๋มาว่าย้ายมาอังกฤษแน่ แต่ยังไม่เผยว่าใครจะอยู่กับทีมไหน แฟนหงส์ก็ลุ้น แฟนสิงโตน้ำเงินครามก็ลุ้นว่าใครจะได้ มูรินโญ่ ใครจะได้ ราฟา
แต่สุดท้ายหวยก็ออกมาตามบุคลิกของสโมสร ลิเวอร์พูล ได้คนที่นุ่มนวลมีแบบแผนอย่าง ราฟาเอล เบนิเตซ ส่วน เชลซี ได้คนอหังการอย่าง มูรินโญ่ ตามสไตล์ของประธานสโมสรอบราโมวิช ที่คงอดทนรอความสำเร็จระยะยาวไม่ไหว
การเดินเท้าเข้าสู่รังใหม่อย่าง สแตมฟอร์ด บริดจ์ของ เชลซี นั้น ไม่ได้ทำให้ มูรินโญ่ รู้สึกเกร็งหรือกดดันอะไร แม้รู้ดีว่าที่นี่โจทย์ของเขาอาจยากยิ่งกว่าสมัยอยู่ปอร์โต้นัก เมื่อมาถึงเขาตั้งเป้าหมายง่ายๆโดยไม่ทันระวังปากว่า ขอคว้าทุกถ้วยที่ทีมลงทำการแข่งขันก็พอ
“ถ้าจะบอกว่ามีหลายคนคาดหวังกับตัวผมไว้สูง แต่คงต้องบอกว่าส่วนตัวผมเองนั้น ตั้งความคาดหวังไว้สูงกว่านั้นเสียอีก”
“มู” ลงมือสร้างอาณาจักรใหม่ของเขาด้วยการนำนักเตะใหม่ๆอย่าง มิคาเอล เอสเซียง, ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา และ ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ เข้ามาเสริมทีมอย่างรวดเร็ว ตามด้วยอดีตลูกน้องเก่าอย่าง ริคาร์โด้ คาวัลโญ่ และ เปาโล เฟอร์เรร่า ช่วงนั้น มู เหมือนเฮดเชฟหรือพ่อครัวใหญ่ที่มีวัตถุดิบและเครื่องปรุงให้เลือกอย่างล้นมือ เมื่อ อบราโมวิช เปิดไฟเขียวให้ใช้เงินกว่า 100 ล้านปอนด์เพื่อยกระดับทีม
ส่วนวิธีจัดการกับบรรดานักเตะเก่านั้น มูรินโญ่ ต้องการสร้างความยำเกรงและชนะใจพวกนั้นให้ได้อย่างรวดเร็ว ใครที่รับไม่ได้กับแนวทางทำทีมของเขา ทางเลือกมีสถานเดียวคือต้องจากไป
“ผมไม่ต้องการที่จะเข้าไปในห้องล็อกเกอร์รูม แล้วบรรดานักฟุตบอลรู้สึกสบายอกสบายใจ แต่ต้องการให้พวกเขารู้สึกยำเกรงและกดดันยามที่ผมเดินเข้าไป แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นภายในทีมให้ได้ด้วย”
คงไม่ต้องบอกว่าหลักการหรือความคิดของเขาถูกหรือผิด หลังจาก มูรินโญ่ ใช้เวลาปรับจูนทีมอยู่ไม่นาน เชลซี กลายเป็นทีมแข็งแกร่งยากที่ใครจะต่อกร แม้กระทั่งทีมของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันและอาร์แซน เวนเกอร์ ซึ่งผลัดกันครองความสำเร็จในพรีเมียร์ลีกมายาวนาน แต่ ณ เวลานั้นกลับมีมือที่สามคือคนอย่าง โฮเซ่ มูรินโญ่ สอดแทรกขึ้นมาอย่างน่ากลัว
เพียงปีแรกที่เข้าคุมทีมกุนซือชาวโปรตุกีส ผู้นี้พาทีมที่ไร้ร้างความสำเร็จในฟุตบอลลีกมานานถึง 50 ปีกลับมาเป็นแชมป์ได้อีกครั้ง แถมด้วยถ้วย คาร์ลิง คัพ ติดปลายนวมมาด้วย สร้างความชื่นมื่นให้กับแฟนๆ “สิงโตน้ำเงินคราม” รวมทั้งประธานบิลเลียนแนร์ยกใหญ่
ช่วงนั้นราวกับว่าท้องฟ้า ณ แสตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นสีทองผ่องอำไพกระทั่งในยามค่ำคืน ใครเลยจะนึกว่า เพียงไม่นานเค้าลางแห่งหายนะจะเริ่มปรากฏชัดขึ้น !!
หลังพาปอร์โต้เป็นจ้าวยุโรปเมื่อปี 2004 ยุคนั้น โฮเซ่ มูรินโญ่ กลายเป็นกุนซือหนุ่มเนื้อหอมที่สุด พอฟัดพอเหวี่ยงกับ ราฟาเอล เบนิเตซ หัวหน้าโค้ชของบาเลนเซีย ที่ผลงานโดดเด่นไม่แพ้กัน
ในช่วงซัมเมอร์นั้น “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เพิ่งจะปลด เชราร์ อุลลิเยร์ ขณะเดียวกันเชลซี ก็ตัดสินใจถอด “Thinker man” อย่าง เคลาดิโอ รานิเอรี่ ออกจากตำแหน่งเช่นเดียวกัน โดย โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐี จากรัสเซีย ผู้ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อสโมสรเชลซี ต้องการเปลี่ยนแปลงสโมสรไปสู่ความรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจว่าเขาต้องการใครสักคนที่ฝีมือและบุคลิกโดดเด่นกว่า รานิเอรี่ เข้ามา
ข่าวลือในช่วงซัมเมอร์นั้นค่อนข้างสับสนอลหม่าน เพราะสองกุนซือแบไต๋มาว่าย้ายมาอังกฤษแน่ แต่ยังไม่เผยว่าใครจะอยู่กับทีมไหน แฟนหงส์ก็ลุ้น แฟนสิงโตน้ำเงินครามก็ลุ้นว่าใครจะได้ มูรินโญ่ ใครจะได้ ราฟา
แต่สุดท้ายหวยก็ออกมาตามบุคลิกของสโมสร ลิเวอร์พูล ได้คนที่นุ่มนวลมีแบบแผนอย่าง ราฟาเอล เบนิเตซ ส่วน เชลซี ได้คนอหังการอย่าง มูรินโญ่ ตามสไตล์ของประธานสโมสรอบราโมวิช ที่คงอดทนรอความสำเร็จระยะยาวไม่ไหว
การเดินเท้าเข้าสู่รังใหม่อย่าง สแตมฟอร์ด บริดจ์ของ เชลซี นั้น ไม่ได้ทำให้ มูรินโญ่ รู้สึกเกร็งหรือกดดันอะไร แม้รู้ดีว่าที่นี่โจทย์ของเขาอาจยากยิ่งกว่าสมัยอยู่ปอร์โต้นัก เมื่อมาถึงเขาตั้งเป้าหมายง่ายๆโดยไม่ทันระวังปากว่า ขอคว้าทุกถ้วยที่ทีมลงทำการแข่งขันก็พอ
“ถ้าจะบอกว่ามีหลายคนคาดหวังกับตัวผมไว้สูง แต่คงต้องบอกว่าส่วนตัวผมเองนั้น ตั้งความคาดหวังไว้สูงกว่านั้นเสียอีก”
“มู” ลงมือสร้างอาณาจักรใหม่ของเขาด้วยการนำนักเตะใหม่ๆอย่าง มิคาเอล เอสเซียง, ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา และ ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์ เข้ามาเสริมทีมอย่างรวดเร็ว ตามด้วยอดีตลูกน้องเก่าอย่าง ริคาร์โด้ คาวัลโญ่ และ เปาโล เฟอร์เรร่า ช่วงนั้น มู เหมือนเฮดเชฟหรือพ่อครัวใหญ่ที่มีวัตถุดิบและเครื่องปรุงให้เลือกอย่างล้นมือ เมื่อ อบราโมวิช เปิดไฟเขียวให้ใช้เงินกว่า 100 ล้านปอนด์เพื่อยกระดับทีม
ส่วนวิธีจัดการกับบรรดานักเตะเก่านั้น มูรินโญ่ ต้องการสร้างความยำเกรงและชนะใจพวกนั้นให้ได้อย่างรวดเร็ว ใครที่รับไม่ได้กับแนวทางทำทีมของเขา ทางเลือกมีสถานเดียวคือต้องจากไป
“ผมไม่ต้องการที่จะเข้าไปในห้องล็อกเกอร์รูม แล้วบรรดานักฟุตบอลรู้สึกสบายอกสบายใจ แต่ต้องการให้พวกเขารู้สึกยำเกรงและกดดันยามที่ผมเดินเข้าไป แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นภายในทีมให้ได้ด้วย”
คงไม่ต้องบอกว่าหลักการหรือความคิดของเขาถูกหรือผิด หลังจาก มูรินโญ่ ใช้เวลาปรับจูนทีมอยู่ไม่นาน เชลซี กลายเป็นทีมแข็งแกร่งยากที่ใครจะต่อกร แม้กระทั่งทีมของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันและอาร์แซน เวนเกอร์ ซึ่งผลัดกันครองความสำเร็จในพรีเมียร์ลีกมายาวนาน แต่ ณ เวลานั้นกลับมีมือที่สามคือคนอย่าง โฮเซ่ มูรินโญ่ สอดแทรกขึ้นมาอย่างน่ากลัว
เพียงปีแรกที่เข้าคุมทีมกุนซือชาวโปรตุกีส ผู้นี้พาทีมที่ไร้ร้างความสำเร็จในฟุตบอลลีกมานานถึง 50 ปีกลับมาเป็นแชมป์ได้อีกครั้ง แถมด้วยถ้วย คาร์ลิง คัพ ติดปลายนวมมาด้วย สร้างความชื่นมื่นให้กับแฟนๆ “สิงโตน้ำเงินคราม” รวมทั้งประธานบิลเลียนแนร์ยกใหญ่
ช่วงนั้นราวกับว่าท้องฟ้า ณ แสตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นสีทองผ่องอำไพกระทั่งในยามค่ำคืน ใครเลยจะนึกว่า เพียงไม่นานเค้าลางแห่งหายนะจะเริ่มปรากฏชัดขึ้น !!