แม้จะห่างหายจากแชมป์ลีกสูงสุดในประเทศมานานถึง 17 ปีเต็ม แต่ในเวทียุโรป ลิเวอร์พูล คือทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด การันตีได้จากแชมป์ 5 สมัย โดยเฉพาะระหว่างปี 1977-1984 ที่สอยมาครองได้ถึง 4 ครั้ง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นยุครุ่งเรืองของฟุตบอลอังกฤษเลยทีเดียว
ในวันพุธที่ 23 พฤษภาคมนี้ ลิเวอร์พูล จะเดินลงสู่สนาม เอเธนส์ โอลิมปิก สเตเดี้ยม เพื่อลุ้นคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 6 โดยจะเจอกับคู่ปรับสุดเขี้ยวอย่าง เอซี มิลาน อดีตแชมป์ 6 สมัย ซึ่งถือเป็นคู่รีแมตช์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านั้น มารื้ออดีตของ “หงส์แดง” กับแชมป์ 5 สมัยเรียกน้ำย่อยสักเล็กน้อยดีกว่า
1977 ลิเวอร์พูล ผงาดคว้าถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพ สมัยแรกในประวัติศาสตร์ แต่เป็นทีมที่ 2 ของ อังกฤษ หลังจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สร้างชื่อเอาไว้ในปี 1968 “หงส์แดง” คว่ำ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค 3-1 ที่กรุงโรม โดยได้ประตูจาก เทอร์รี่ แม็คเดอร์ม็อตต์, ทอมมี่ สมิธ และ ฟิล นีล
1978 เคนนี่ เดลกลิช กลายเป็นฮีโร่ของ ลิเวอร์พูล ในวันนั้น เมื่อยิงประตูชัยช่วยทีมเอาชนะ เอฟซี บรูซ 1-0 ณ สนามเวมบลีย์ ซึ่งถัดไปจากนี้ 2 ปี “เจ้าป่า” น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ภายใต้การคุมทัพของ ไบรอัน คลัฟ ครองความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ 2 ปีติดต่อกัน 1979 และ 1980
1981 ลิเวอร์พูล กลับสู่ความยิ่งใหญ่ในฐานะ “คิงส์ ออฟ ยุโรป” อีกครั้งเมื่อ อลัน เคนเนดี้ ยิงประตูในนาทีที่ 82 ให้ทีมเอาชนะ รีล มาดริด 1-0 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถัดมาในปี 1982 แอสตัน วิลล่า ผงาดคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ทำให้ถ้วย “บิ๊ก เอีย” อยู่ในเกาะอังกฤษ ถึง 6 ปี ติดต่อกัน
1984 บรูซ กร็อบเบลาร์ นายทวารหนวดงามของ ลิเวอร์พูล กลายเป็นฮีโร่เซฟจุดโทษช่วยทีมชนะ โรมา ในการดวลเป้า 4-2 หลังในเวลาเสมอกัน 1-1 แต่ปีถัดมาเกิดโศกนาฏกรรมที่ เฮย์เซล แฟนบอล ยูเวนตุส เสียชีวิต 39 คน หลังปะทะกับแฟน ลิเวอร์พูล และอัฒจันทร์พังลง ทำให้ ทีมอังกฤษ โดนแบน 4 ปี และ ลิเวอร์พูล โดนแบน 6 ปี
2005 น่าจะเป็นสุดยอดการคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ ทั้งที่ครึ่งแรกตกเป็นรอง 0-3 แต่ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล ใช้เวลาเพียงแค่ 6 นาทีตีเสมอแบบเหลือเชื่อ ก่อนที่ เจอร์ซีย์ ดูเด็ค จะโชว์ลีลาขาปลาหมึกสับหลอกจนตาลายช่วย “หงส์แดง” ชนะจุดโทษ เอซี มิลาน 3-2
ในวันพุธที่ 23 พฤษภาคมนี้ ลิเวอร์พูล จะเดินลงสู่สนาม เอเธนส์ โอลิมปิก สเตเดี้ยม เพื่อลุ้นคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 6 โดยจะเจอกับคู่ปรับสุดเขี้ยวอย่าง เอซี มิลาน อดีตแชมป์ 6 สมัย ซึ่งถือเป็นคู่รีแมตช์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านั้น มารื้ออดีตของ “หงส์แดง” กับแชมป์ 5 สมัยเรียกน้ำย่อยสักเล็กน้อยดีกว่า
1977 ลิเวอร์พูล ผงาดคว้าถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพ สมัยแรกในประวัติศาสตร์ แต่เป็นทีมที่ 2 ของ อังกฤษ หลังจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สร้างชื่อเอาไว้ในปี 1968 “หงส์แดง” คว่ำ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค 3-1 ที่กรุงโรม โดยได้ประตูจาก เทอร์รี่ แม็คเดอร์ม็อตต์, ทอมมี่ สมิธ และ ฟิล นีล
1978 เคนนี่ เดลกลิช กลายเป็นฮีโร่ของ ลิเวอร์พูล ในวันนั้น เมื่อยิงประตูชัยช่วยทีมเอาชนะ เอฟซี บรูซ 1-0 ณ สนามเวมบลีย์ ซึ่งถัดไปจากนี้ 2 ปี “เจ้าป่า” น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ภายใต้การคุมทัพของ ไบรอัน คลัฟ ครองความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ 2 ปีติดต่อกัน 1979 และ 1980
1981 ลิเวอร์พูล กลับสู่ความยิ่งใหญ่ในฐานะ “คิงส์ ออฟ ยุโรป” อีกครั้งเมื่อ อลัน เคนเนดี้ ยิงประตูในนาทีที่ 82 ให้ทีมเอาชนะ รีล มาดริด 1-0 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถัดมาในปี 1982 แอสตัน วิลล่า ผงาดคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ทำให้ถ้วย “บิ๊ก เอีย” อยู่ในเกาะอังกฤษ ถึง 6 ปี ติดต่อกัน
1984 บรูซ กร็อบเบลาร์ นายทวารหนวดงามของ ลิเวอร์พูล กลายเป็นฮีโร่เซฟจุดโทษช่วยทีมชนะ โรมา ในการดวลเป้า 4-2 หลังในเวลาเสมอกัน 1-1 แต่ปีถัดมาเกิดโศกนาฏกรรมที่ เฮย์เซล แฟนบอล ยูเวนตุส เสียชีวิต 39 คน หลังปะทะกับแฟน ลิเวอร์พูล และอัฒจันทร์พังลง ทำให้ ทีมอังกฤษ โดนแบน 4 ปี และ ลิเวอร์พูล โดนแบน 6 ปี
2005 น่าจะเป็นสุดยอดการคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ ทั้งที่ครึ่งแรกตกเป็นรอง 0-3 แต่ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล ใช้เวลาเพียงแค่ 6 นาทีตีเสมอแบบเหลือเชื่อ ก่อนที่ เจอร์ซีย์ ดูเด็ค จะโชว์ลีลาขาปลาหมึกสับหลอกจนตาลายช่วย “หงส์แดง” ชนะจุดโทษ เอซี มิลาน 3-2
