นายสินธุ พูนศิริวงศ์ นายกสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย ยืนยันจะพยายามต่อสู้เพื่อให้นำสนุกเกอร์ 6 แดงเข้าแข่งขันในศึก ซีเกมส์ ที่เป็นเจ้าภาพ ส่วนทางด้านนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ อุปนายกของสมาคมฯ ในฐานะมนตรีซีเกมส์ ก็จะช่วยในเรื่องผลักดันให้ชิงชัยเพิ่มขึ้นเป็น 12 เหรียญเหมือนเดิม
นายสินธุ พูนศิริวงศ์ นายกสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย เป็นประธานในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2550 ที่โรงแรมเรดิสัน เมื่อวันพุธที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยสรุปสาระการประชุมได้ดังนี้
นายกสมาคมฯ กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาสมาคมได้จัดกิจกรรมหลายอย่าง โดยเฉพาะการที่เราประสบความสำเร็จเป็นแชมป์สนุกเกอร์เยาวชนชิงแชมป์เอเชีย, แชมป์เอเชีย และทำเหรียญทองในเอเชี่ยนเกมส์ ได้ตามเป้า รวมไปถึงการจัดสนุกเกอร์นักเรียนอีกครั้งหลังจากเคยจัดเมื่อ 5 ปีก่อน ซึ่งหนนี้เราจัดได้ประสบความสำเร็จ โดยมี แคท เทเลคอม เป็นผู้ให้การสนับสนุน
“ในปีนี้เรามีภารกิจหลายอย่างที่จะต้องทำ ทั้งการแข่งขันเอเชี่ยน อินดอร์เกมส์ ที่มาเก๊า มีชิงชัย 8 เหรียญทอง, สนุกเกอร์ชิงแชมป์สมัครเล่นโลก ที่โรงแรมสีมาธานี โคราช และกีฬาซีเกมส์ ที่เราเป็นเจ้าภาพ ซึ่งตอนนี้กำลังต่อสู้ในเรื่องการนำสนุกเกอร์ 6 แดงเข้าแข่งขัน แต่ถูก มาเลเซีย ค้านและส่งหนังสือขัดแย้งไปทั่ว อย่างไรก็ดี เรื่องนี้บอร์ดสอยคิวโลก ได้การันตีมาแล้วว่า เราจัดได้และถูกต้องด้วย เนื่องจากถือเป็นการเริ่มต้นเกมแนวใหม่”
นายสินธุ กล่าวอีกด้วยว่า สิ่งที่ตนกังวลในตอนนี้คือเรื่องของพูล ที่เราส่งไปแข่งถึง 7 รายการแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นจะต้องเร่งตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อเรื่องพูล โดยเฉพาะ เพื่อมาพัฒนาให้เร็วที่สุด
ทางด้าน “คิวทอง” นายศักดา รัตนสุบรรณ อุปนายกสมาคมฯ กล่าวว่า นักกีฬาของเราตอนนี้ได้เก็บตัวฝึกซ้อมเพื่อเตรียมเข้าแข่งขันรายการสำคัญ ๆ กว่า 20 คน และฝึกซ้อมอาทิตย์ละ 6 วัน พร้อมกับได้ฝากฝัง นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ อุปนายกของสมาคมฯ ในฐานะมนตรีซีเกมส์ ให้ช่วยดูแลในเรื่องของสนุกเกอร์ 6 แดงอีกด้วย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายชัยภักดิ์ กล่าวว่า ตนในฐานะคนไทย และอุปนายกฯ ก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนเต็มที่ โดยในการประชุมใหญ่คณะกรรมการบริหารมนตรีซีเกมส์ ในวันที่ 3-4 มิถุนายนนี้ ที่โคราช ก็มีหลายชนิดกีฬาที่ทั้งไทยเรา รวมไปถึงชาติสมาชิก อยากจะบรรจุเข้าไป ทั้งนี้กีฬาบิลเลียดสปอร์ตนั้น จากเดิมมีการแข่งขันมาตลอด 12 เหรียญทอง แต่มติจากการประชุมในรัฐบาลชุดก่อน เหลือการชิงชัยแค่ 10 เหรียญ ดังนั้นการจัดชิงอีก 2 เหรียญ ไม่ถือว่าเป็นการเพิ่ม แต่เป็นการผลักดันให้กลับมาเท่าเดิมที่เคยชิงชัย
สำหรับงบดุลของสมาคมนั้น ปรากฏว่า รายได้มากกว่ารายจ่าย โดยมีรายได้ทั้งสิ้น 22,783,241.27 บาท ส่วนรายรับ 15,418,549.38 บาท ทำให้มีเงินคงเหลือทั้งสิ้น 2,473,418.84 บาท
นายสินธุ พูนศิริวงศ์ นายกสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย เป็นประธานในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2550 ที่โรงแรมเรดิสัน เมื่อวันพุธที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยสรุปสาระการประชุมได้ดังนี้
นายกสมาคมฯ กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาสมาคมได้จัดกิจกรรมหลายอย่าง โดยเฉพาะการที่เราประสบความสำเร็จเป็นแชมป์สนุกเกอร์เยาวชนชิงแชมป์เอเชีย, แชมป์เอเชีย และทำเหรียญทองในเอเชี่ยนเกมส์ ได้ตามเป้า รวมไปถึงการจัดสนุกเกอร์นักเรียนอีกครั้งหลังจากเคยจัดเมื่อ 5 ปีก่อน ซึ่งหนนี้เราจัดได้ประสบความสำเร็จ โดยมี แคท เทเลคอม เป็นผู้ให้การสนับสนุน
“ในปีนี้เรามีภารกิจหลายอย่างที่จะต้องทำ ทั้งการแข่งขันเอเชี่ยน อินดอร์เกมส์ ที่มาเก๊า มีชิงชัย 8 เหรียญทอง, สนุกเกอร์ชิงแชมป์สมัครเล่นโลก ที่โรงแรมสีมาธานี โคราช และกีฬาซีเกมส์ ที่เราเป็นเจ้าภาพ ซึ่งตอนนี้กำลังต่อสู้ในเรื่องการนำสนุกเกอร์ 6 แดงเข้าแข่งขัน แต่ถูก มาเลเซีย ค้านและส่งหนังสือขัดแย้งไปทั่ว อย่างไรก็ดี เรื่องนี้บอร์ดสอยคิวโลก ได้การันตีมาแล้วว่า เราจัดได้และถูกต้องด้วย เนื่องจากถือเป็นการเริ่มต้นเกมแนวใหม่”
นายสินธุ กล่าวอีกด้วยว่า สิ่งที่ตนกังวลในตอนนี้คือเรื่องของพูล ที่เราส่งไปแข่งถึง 7 รายการแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นจะต้องเร่งตั้งกรรมการขึ้นมาเพื่อเรื่องพูล โดยเฉพาะ เพื่อมาพัฒนาให้เร็วที่สุด
ทางด้าน “คิวทอง” นายศักดา รัตนสุบรรณ อุปนายกสมาคมฯ กล่าวว่า นักกีฬาของเราตอนนี้ได้เก็บตัวฝึกซ้อมเพื่อเตรียมเข้าแข่งขันรายการสำคัญ ๆ กว่า 20 คน และฝึกซ้อมอาทิตย์ละ 6 วัน พร้อมกับได้ฝากฝัง นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ อุปนายกของสมาคมฯ ในฐานะมนตรีซีเกมส์ ให้ช่วยดูแลในเรื่องของสนุกเกอร์ 6 แดงอีกด้วย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายชัยภักดิ์ กล่าวว่า ตนในฐานะคนไทย และอุปนายกฯ ก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนเต็มที่ โดยในการประชุมใหญ่คณะกรรมการบริหารมนตรีซีเกมส์ ในวันที่ 3-4 มิถุนายนนี้ ที่โคราช ก็มีหลายชนิดกีฬาที่ทั้งไทยเรา รวมไปถึงชาติสมาชิก อยากจะบรรจุเข้าไป ทั้งนี้กีฬาบิลเลียดสปอร์ตนั้น จากเดิมมีการแข่งขันมาตลอด 12 เหรียญทอง แต่มติจากการประชุมในรัฐบาลชุดก่อน เหลือการชิงชัยแค่ 10 เหรียญ ดังนั้นการจัดชิงอีก 2 เหรียญ ไม่ถือว่าเป็นการเพิ่ม แต่เป็นการผลักดันให้กลับมาเท่าเดิมที่เคยชิงชัย
สำหรับงบดุลของสมาคมนั้น ปรากฏว่า รายได้มากกว่ารายจ่าย โดยมีรายได้ทั้งสิ้น 22,783,241.27 บาท ส่วนรายรับ 15,418,549.38 บาท ทำให้มีเงินคงเหลือทั้งสิ้น 2,473,418.84 บาท