คอลัมน์ "มือมีฤทธิ์" โดย ฤทธิกร การะเวก
นับตั้งแต่ได้ดูการถ่ายทอดเกมเอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศที่เวสต์แฮมพิชิตฟูแล่มไป 2-0 เมื่อตอนผู้เขียนกำลังจะขึ้น ป.4 สามสิบปีที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของวงการลูกหนังอังกฤษ พูดได้เต็มปากว่าคงไม่มีทีมไหนที่ครองความยิ่งใหญ่ได้ต่อเนื่องยาวนาน เหมือนอย่างสองคู่ปรับกลาสโกว์ เซลติกและ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในสก็อตแลนด์ หรือสามยักษ์ใหญ่อาแจ็กซ์ พีเอสวี และเฟเยนอร์ด ของฮลแลนด์
ทีมบิ๊กโฟร์ทีมครองความเป็นมหาอำนาจในศึกพรีเมียร์ชิพเมืองผู้ดีเวลานี้ ดูจะมีแค่หงส์แดงลิเวอร์พูลทีมเดียว ที่อยู่ในแถวหน้าเมื่อตอนที่ผู้เขียนเริ่มติดตามในช่วงแรกๆ ก่อนจะมาถึงยุคตกต่ำในช่วงทศวรรษที่ 90 ขณะที่เชลซีตอนนั้นเพิ่งจะร่วงตกชั้นไปอยู่ดิวิชั่นสอง ส่วนแมนฯยูก็มีลุ้นแค่แชมป์เอฟเอคัพ เช่นเดียวกับกับเดอะกันเนอร์สอาร์เซน่อลที่อยากจะพูดถึงในสัปดาห์นี้
อาร์เซน่อลที่ผู้เขียนเคยรู้จักในยุคของเทอร์รี่ นีล และดอน ฮาว และนักเตะอย่างแพ็ต ไรซ์ เดวิด โอเลียรี่ เลียม เบรดี้ แฟร้งค์ สเตเปิลตัน คือทีมที่มีผลงานเด่นเฉพาะในเส้นทางบอลถ้วย โดยมีเกมเอฟเอคัพปี 1979 ที่พวกเขาเฉือนแมนฯยูแบบสุดมัน 3-2 เป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุด แต่ในเวทีดิวิชั่นหนึ่งแล้วดูเหมือนทีมไอ้ปืนใหญ่แทบจะไม่มีโอกาสไปแย่งแชมป์กับเขาเลยก็ว่าได้
กระทั่งยุคของจอร์จ เกรแฮม ช่วงปลายยุค 80 ต่อต้น 90 ที่ขุนพลอาร์เซน่อลอย่างโทนี่ อดัมส์ ลี ดิ๊กซั่น พอล เดวิส พอล เมอร์สัน อลัน สมิธ มาจนถึงเอียน ไรต์ สามารถก้าวขึ้นไปครองความยิ่งใหญ่กับตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลลีกสองสมัย แต่ก็นั่นแหละมันอาจจะเป็นความสำเร็จท่ามกลางเสียงประชดประชัน “บอริ่งๆ อาร์เซน่อล” กับสไตล์ที่น่าเบื่อ แถมตัวกุนซือบิ๊กจอร์จก็มีเรื่องอื้อฉาวเรื่องเงินๆทองๆตามมาอีก
การมาของอาร์แซน เวนเกอร์เมื่อสิบปีที่แล้ว จึงกลายเป็นการปฏิวัติที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสามทศวรรษของสโมสร เพราะหลังจากนั้นเจ้าปืนใหญ่ก็ค่อยๆไต่เต้าจนกลายเป็นหนึ่งในยอดทีมของอังกฤษได้อย่างมั่นคง ด้วยการติดอับดับท็อปโฟร์ในลีกตลอด 10 ฤดูกาล พร้อมกับตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกสามสมัย บวกกับถ้วยเอฟเอคัพอีกสี่ใบ
เวนเกอร์เข้ามานั่งเก้าอี้สำคัญในถิ่นไฮบิวรี่ พร้อมกับเครื่องหมายคำถามมากมาย ทั้งการเป็นคนต่างชาติและผลงานการคุมทีมอย่างโมนาโก หรือนาโยง่า แกรมปัสเอต ก็ยังไม่เป็นที่กล่าวขวัญมากมายสักเท่าไหร่ แต่เวนเกอร์กลับใช้เวลาไม่นานนักกับการพิสูจน์ตัวเอง หลังจากเข้ามาเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมเก่าๆในสโมสร เพิ่มความเข้มงวดเพื่อให้นักเตะทุ่มเทกับสโมสรมากขึ้น
ยอดโค้ชชาวฝรั่งเศสยังโดดเด่นในเรื่องการซื้อนักเตะ ผู้เล่นค่าตัวแพงอย่างเดนนิส เบิร์กแคมป์ เธียร์รี่ อองรี เรื่อยมาจนถึงอเล็กซานเดอร์ เคล็บล้วนมีปัญหาในการปรับตัวช่วงแรกๆ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นหัวใจสำคัญของทีมไปในที่สุด ส่วนการปั้นนักเตะดาวรุ่งจนพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญคนแล้วคนเล่า ก็ช่วยให้ทีมสามารถประคองตัวผ่านช่วงวิกฤติที่ไม่เงินก้อนโตซื้อนักเตะซุปเปอร์สตาร์ไปได้
แม้จะมีภาพลบๆอยู่บ้างอย่างจำนวนใบแดงหรือพฤติกรรมอื้อฉาวในบางนัด หรือการนิยมใช้นักเตะต่างชาติจนเบียร์ไทเกอร์เอาไปใช้เป็นมุขในโฆษณา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องให้เครดิตกับเวนเกอร์เต็มๆก็คือการเปลี่ยนคาแรคเตอร์ของเจ้าปืนใหญ่ ให้กลายมาเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้สวยงามไหลลื่น เอ็นเตอร์เทนแฟนบอลได้ดีที่สุดทีมหนึ่งของยุคนี้
ชัยชนะเหนือชาร์ลตันเมื่อวันเสาร์ คือการประเดิมปีที่สิบเอ็ดของเวนเกอร์ในตำแหน่งกุนซืออาร์เซน่อล พร้อมกับทีมงานชุดเก่าที่เข้าขาทั้งไรซ์ และโบโร่ พรีโมรัช กับสนามใหม่ที่น่าจะเพิ่มรายรับให้กับสโมสรและส่วนหนึ่งย่อมจะกลายมาเป็นงบประมาณในการต่อยอดของทีม ดังนั้น ไม่ว่าอาร์แซน เวนเกอร์จะกุมบังเหียนทีมไปอีกกี่ฤดูกาล เขาจึงน่าจะมีสิทธิ์พาทีมปืนใหญ่คว้าแชมป์รายการใหญ่ๆมาประดับสโมสรได้มากกว่านี้
ถึงเวลาที่สมควรเมื่อไหร่ ค่อยผันตัวเองไปอยู่ในคณะมนตรีความมั่นคง เอ๊ย ในบอร์ดบริหาร ก็คงจะเป็นย่างก้าวที่สง่างามไม่น้อย
นับตั้งแต่ได้ดูการถ่ายทอดเกมเอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศที่เวสต์แฮมพิชิตฟูแล่มไป 2-0 เมื่อตอนผู้เขียนกำลังจะขึ้น ป.4 สามสิบปีที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของวงการลูกหนังอังกฤษ พูดได้เต็มปากว่าคงไม่มีทีมไหนที่ครองความยิ่งใหญ่ได้ต่อเนื่องยาวนาน เหมือนอย่างสองคู่ปรับกลาสโกว์ เซลติกและ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในสก็อตแลนด์ หรือสามยักษ์ใหญ่อาแจ็กซ์ พีเอสวี และเฟเยนอร์ด ของฮลแลนด์
ทีมบิ๊กโฟร์ทีมครองความเป็นมหาอำนาจในศึกพรีเมียร์ชิพเมืองผู้ดีเวลานี้ ดูจะมีแค่หงส์แดงลิเวอร์พูลทีมเดียว ที่อยู่ในแถวหน้าเมื่อตอนที่ผู้เขียนเริ่มติดตามในช่วงแรกๆ ก่อนจะมาถึงยุคตกต่ำในช่วงทศวรรษที่ 90 ขณะที่เชลซีตอนนั้นเพิ่งจะร่วงตกชั้นไปอยู่ดิวิชั่นสอง ส่วนแมนฯยูก็มีลุ้นแค่แชมป์เอฟเอคัพ เช่นเดียวกับกับเดอะกันเนอร์สอาร์เซน่อลที่อยากจะพูดถึงในสัปดาห์นี้
อาร์เซน่อลที่ผู้เขียนเคยรู้จักในยุคของเทอร์รี่ นีล และดอน ฮาว และนักเตะอย่างแพ็ต ไรซ์ เดวิด โอเลียรี่ เลียม เบรดี้ แฟร้งค์ สเตเปิลตัน คือทีมที่มีผลงานเด่นเฉพาะในเส้นทางบอลถ้วย โดยมีเกมเอฟเอคัพปี 1979 ที่พวกเขาเฉือนแมนฯยูแบบสุดมัน 3-2 เป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุด แต่ในเวทีดิวิชั่นหนึ่งแล้วดูเหมือนทีมไอ้ปืนใหญ่แทบจะไม่มีโอกาสไปแย่งแชมป์กับเขาเลยก็ว่าได้
กระทั่งยุคของจอร์จ เกรแฮม ช่วงปลายยุค 80 ต่อต้น 90 ที่ขุนพลอาร์เซน่อลอย่างโทนี่ อดัมส์ ลี ดิ๊กซั่น พอล เดวิส พอล เมอร์สัน อลัน สมิธ มาจนถึงเอียน ไรต์ สามารถก้าวขึ้นไปครองความยิ่งใหญ่กับตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลลีกสองสมัย แต่ก็นั่นแหละมันอาจจะเป็นความสำเร็จท่ามกลางเสียงประชดประชัน “บอริ่งๆ อาร์เซน่อล” กับสไตล์ที่น่าเบื่อ แถมตัวกุนซือบิ๊กจอร์จก็มีเรื่องอื้อฉาวเรื่องเงินๆทองๆตามมาอีก
การมาของอาร์แซน เวนเกอร์เมื่อสิบปีที่แล้ว จึงกลายเป็นการปฏิวัติที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสามทศวรรษของสโมสร เพราะหลังจากนั้นเจ้าปืนใหญ่ก็ค่อยๆไต่เต้าจนกลายเป็นหนึ่งในยอดทีมของอังกฤษได้อย่างมั่นคง ด้วยการติดอับดับท็อปโฟร์ในลีกตลอด 10 ฤดูกาล พร้อมกับตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกสามสมัย บวกกับถ้วยเอฟเอคัพอีกสี่ใบ
เวนเกอร์เข้ามานั่งเก้าอี้สำคัญในถิ่นไฮบิวรี่ พร้อมกับเครื่องหมายคำถามมากมาย ทั้งการเป็นคนต่างชาติและผลงานการคุมทีมอย่างโมนาโก หรือนาโยง่า แกรมปัสเอต ก็ยังไม่เป็นที่กล่าวขวัญมากมายสักเท่าไหร่ แต่เวนเกอร์กลับใช้เวลาไม่นานนักกับการพิสูจน์ตัวเอง หลังจากเข้ามาเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมเก่าๆในสโมสร เพิ่มความเข้มงวดเพื่อให้นักเตะทุ่มเทกับสโมสรมากขึ้น
ยอดโค้ชชาวฝรั่งเศสยังโดดเด่นในเรื่องการซื้อนักเตะ ผู้เล่นค่าตัวแพงอย่างเดนนิส เบิร์กแคมป์ เธียร์รี่ อองรี เรื่อยมาจนถึงอเล็กซานเดอร์ เคล็บล้วนมีปัญหาในการปรับตัวช่วงแรกๆ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นหัวใจสำคัญของทีมไปในที่สุด ส่วนการปั้นนักเตะดาวรุ่งจนพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญคนแล้วคนเล่า ก็ช่วยให้ทีมสามารถประคองตัวผ่านช่วงวิกฤติที่ไม่เงินก้อนโตซื้อนักเตะซุปเปอร์สตาร์ไปได้
แม้จะมีภาพลบๆอยู่บ้างอย่างจำนวนใบแดงหรือพฤติกรรมอื้อฉาวในบางนัด หรือการนิยมใช้นักเตะต่างชาติจนเบียร์ไทเกอร์เอาไปใช้เป็นมุขในโฆษณา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องให้เครดิตกับเวนเกอร์เต็มๆก็คือการเปลี่ยนคาแรคเตอร์ของเจ้าปืนใหญ่ ให้กลายมาเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้สวยงามไหลลื่น เอ็นเตอร์เทนแฟนบอลได้ดีที่สุดทีมหนึ่งของยุคนี้
ชัยชนะเหนือชาร์ลตันเมื่อวันเสาร์ คือการประเดิมปีที่สิบเอ็ดของเวนเกอร์ในตำแหน่งกุนซืออาร์เซน่อล พร้อมกับทีมงานชุดเก่าที่เข้าขาทั้งไรซ์ และโบโร่ พรีโมรัช กับสนามใหม่ที่น่าจะเพิ่มรายรับให้กับสโมสรและส่วนหนึ่งย่อมจะกลายมาเป็นงบประมาณในการต่อยอดของทีม ดังนั้น ไม่ว่าอาร์แซน เวนเกอร์จะกุมบังเหียนทีมไปอีกกี่ฤดูกาล เขาจึงน่าจะมีสิทธิ์พาทีมปืนใหญ่คว้าแชมป์รายการใหญ่ๆมาประดับสโมสรได้มากกว่านี้
ถึงเวลาที่สมควรเมื่อไหร่ ค่อยผันตัวเองไปอยู่ในคณะมนตรีความมั่นคง เอ๊ย ในบอร์ดบริหาร ก็คงจะเป็นย่างก้าวที่สง่างามไม่น้อย