คอลัมน์ "มือมีฤทธิ์" โดย ฤทธิกร การะเวก
เมื่อเช้าวันอาทิตย์ หลังจากตื่นมาเห็นมาเรีย ชาราโปว่ากำลังชูถ้วยแชมป์หญิงเดี่ยวยูเอสโอเพ่นในชุดดำสุดเปรี้ยว ที่เธอบอกว่าได้ไอเดียมาจากชุดราตรีของออเดรย์ เฮ็ปเบิร์น ในหนังคลาสสิคอย่าง เบรคฟาสต์ แอต ทิฟฟานีส์เมื่อเกือบห้าสิบปีก่อน ผู้เขียนอดคิดเล่นๆไม่ได้ว่าถ้าคืนนี้แอนดี้ ร็อดดิก พลิกล็อคโค่น โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์สำเร็จละก็ คงจะมีคนนำไปโยงกับเหตุการณ์ในศึกวิมเบิลดันเมื่อปี 1974 เป็นแน่
สามสิบหกปีก่อนที่ออลอิงแลนด์ จิมมี่ คอนเนอร์ส โค้ชคนปัจจุบันของร็อดดิก คว้าแชมป์วิมเบิลดันพร้อมๆกับหวานใจคริส เอเวิร์ต ราชินีเทนนิสในยุคนั้น แม้สุดท้ายจะมีอุบัติเหตุให้จิมโบ้กับคริสซี่มีอันต้อนถอนหมั้นกันไป แต่นั่นก็น่าจะเป็นครั้งแรกที่คู่รักในวงการเทนนิส ครองตำแหน่งชนะเลิศทั้งชายเดี่ยวและหญิงเดี่ยวในแกรนด์สแลมรายการเดียวกัน
เพราะหลังจากนั้น ถึงบรรดานักเทนนิสในเอทีพีและดับเบิลยูทีเอทัวร์จะกิ๊กกันอยู่หลายคู่ แต่แค่โอกาสที่จะได้ลงแข่งรายการเดียวกันในปีหนึ่งๆนั้น ยังมีไม่ถึงสิบรายการด้วยซ้ำ ดังนั้น จึงมีแค่เลย์ตั้น ฮิววิตต์ และคิมไคลส์เตอร์ส สมัยที่ยังหวานชื่น ที่ได้ยืนยิ้มเผล่ชูถ้วยเคียงข้างกันในศึกแปซิฟิคไลฟ์โอเพ่น ที่อินเดียนเวล์ส เมื่อสามปีที่แล้ว
ก่อนหน้าศึกยูเอสโอเพ่นปีนี้ ร็อดดิกตกเป็นข่าวที่ทำให้หนุ่มทั่วโลกอิจฉาว่ากำลังคบหากับชาราโปว่าอยู่ แม้มาเรียจะออกมาปฏิเสธว่าต่างฝ่ายต่างเป็นแค่เพื่อนสนิทก็ตาม แต่หากทั้งคู่ทะลุถึงตำแหน่งแชมป์พร้อมๆกันเมื่อไร สื่อทั้งหลายก็คงอดไม่ได้ที่จะเล่นข่าวทำนองนี้เป็นแน่ อย่างไรก็ดี แม้สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ที่ว่าจะเกิดขึ้นเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ทั้งชาราโปว่าและร็อดดิกก็ยังมีอะไรที่น่าพูดถึงในแง่ของเกมเทนนิส
กับการได้สัมผัสแชมป์เมเจอร์รายการที่สอง นับตั้งแต่แจ้งเกิดเต็มตัวในศึกวิมเบิลดันปี 2004 ของชาราโปว่านั้น คงต้องยอมรับว่า ตลอดสองสัปดาห์ที่ฝนตกๆหยุดๆในฟลัชชิ่งเมโดว์ส สาวสวยคนนี้คือผู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งแชมป์หญิงเดี่ยว ไม่ว่าในแง่ของสภาพรายการที่ไม่มีปัญหาบาดเจ็บรบกวน หรือฟอร์มการเล่นที่พีคสุดๆ
โดยเฉพาะชัยชนะในสองรอบสุดท้ายเหนือ อามิลี โมเรสโม่ และ จัสติน เอแนง-อาร์เดน มือหนึ่งและสองของโลกที่เธอแทบจะผูกปีแพ้มาตลอด คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเกมเทนนิสของชาราโปว่าเปลี่ยนไป จากแทคติคที่มุ่งยิงวินเนอร์ทันทีที่โอกาสเปิดแม้จะแค่ 50-50 ซึ่งมักกลายมาเป็นอันฟอร์ซเออร์เรอร์จำนวนมหาศาลยามเจอกับนักเทนนิสที่เหนียวแน่นอย่างโมเรสโม่ หรือเอแนง-อาร์เดน
แต่ครั้งนี้มาเรียเล่นเสี่ยงน้อยลง เธอรู้จักอดทนรอให้โอกาสเปิดมากกว่าเดิม ซึ่งด้วยสปีดบอลที่เหนือกว่าคู่แข่ง ทำให้เธอเป็นฝ่ายบีบคู่แข่งจนเปิดช่องว่างให้เผด็จศึก หรือไม่ก็ต้องเสี่ยงบุกขึ้นมาที่เน็ตให้เธอได้ยิงพาสชิ่งช็อตทั้งทแยงมุมและขนานเส้นผ่านไปได้ลูกแล้วลูกเล่า นั่นทำให้สองแม็ตช์ที่ว่า ชาราโปว่าแทบไม่มีความผิดพลาด จะยกเว้นก็คงตอนที่เธอทำฝาถ้วยแชมป์หล่นตอนจะโพสต์ท่าถ่ายรูปกระมัง
ถึงจะมีข้อครหาเรื่องการแผดเสียงรบกวนคู่แข่ง หรือการส่งซิกของคุณพ่อยูริและทีมงาน คอยเตือนให้เธอดื่มน้ำหรือทานกล้วยที่อาจจะล้ำเส้นกฎกติกาอยู่บ้าง แต่มันคงเป็นแค่องค์ประกอบเล็กๆส่วนหนึ่งในความสำเร็จ ที่น่าจะเป็นสัญญาณว่าชาราโปว่า กำลังกลับมาทวงบัลลังก์มือหนึ่งของโลกอีกครั้ง แต่ขณะเดียวกัน สำหรับร็อดดิกแล้ว มันคงจะเร็วเกินไปที่จะคิดถึงเรื่องนั้น
เพราะแม้โค้ชใหม่อย่างคอนเนอร์สจะช่วยกระตุ้นให้ร็อดดิกกลับมามุ่งมั่น และพัฒนาการตีแบ็คแฮนด์สไลซ์หรือเกมหน้าเน็ตให้ดีขึ้น แต่เมื่อต้องโคจรมาพบโคตรเทนนิสอย่างเฟดเดอเรอร์ในรอบชิงชนะเลิศ ผลก็คือเอร็อดไม่สามารถต้านเกมที่ครบเครื่องกว่าได้ แถมลูกเสิร์ฟทรงพลังอันเป็นอาวุธหลักของเขา ก็ยังคงถูกเจ้าเฟดเอ็กซ์จับทางได้เหมือนหลายๆครั้งที่พบกันมาอยู่นั่นเอง
มองในแง่ดี จากตำแหน่งแชมป์ที่ซินซินนาติ มาจนถึงรองแชมป์ที่นิวยอร์ค พร้อมกับการกลับมาเป็นมือหนึ่งของสหรัฐอีกครั้ง ทัวร์นาเม้นต์ช่วงท้ายฤดูกาล ร็อดดิกน่าจะฉลุยรอบลึกๆมากขึ้นกว่าต้นปีที่ผ่านมา แต่เรื่องที่หวังล้างอาถรรพ์โค่นเฟดเดอร์เรอร์ให้ได้ในชั่วโมงนี้ คงจะยังยากลำบากเอาการอยู่ ต่อให้มีน้องมาเรียมานั่งเชียร์ที่ข้างสนามก็เถอะ!!
เมื่อเช้าวันอาทิตย์ หลังจากตื่นมาเห็นมาเรีย ชาราโปว่ากำลังชูถ้วยแชมป์หญิงเดี่ยวยูเอสโอเพ่นในชุดดำสุดเปรี้ยว ที่เธอบอกว่าได้ไอเดียมาจากชุดราตรีของออเดรย์ เฮ็ปเบิร์น ในหนังคลาสสิคอย่าง เบรคฟาสต์ แอต ทิฟฟานีส์เมื่อเกือบห้าสิบปีก่อน ผู้เขียนอดคิดเล่นๆไม่ได้ว่าถ้าคืนนี้แอนดี้ ร็อดดิก พลิกล็อคโค่น โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์สำเร็จละก็ คงจะมีคนนำไปโยงกับเหตุการณ์ในศึกวิมเบิลดันเมื่อปี 1974 เป็นแน่
สามสิบหกปีก่อนที่ออลอิงแลนด์ จิมมี่ คอนเนอร์ส โค้ชคนปัจจุบันของร็อดดิก คว้าแชมป์วิมเบิลดันพร้อมๆกับหวานใจคริส เอเวิร์ต ราชินีเทนนิสในยุคนั้น แม้สุดท้ายจะมีอุบัติเหตุให้จิมโบ้กับคริสซี่มีอันต้อนถอนหมั้นกันไป แต่นั่นก็น่าจะเป็นครั้งแรกที่คู่รักในวงการเทนนิส ครองตำแหน่งชนะเลิศทั้งชายเดี่ยวและหญิงเดี่ยวในแกรนด์สแลมรายการเดียวกัน
เพราะหลังจากนั้น ถึงบรรดานักเทนนิสในเอทีพีและดับเบิลยูทีเอทัวร์จะกิ๊กกันอยู่หลายคู่ แต่แค่โอกาสที่จะได้ลงแข่งรายการเดียวกันในปีหนึ่งๆนั้น ยังมีไม่ถึงสิบรายการด้วยซ้ำ ดังนั้น จึงมีแค่เลย์ตั้น ฮิววิตต์ และคิมไคลส์เตอร์ส สมัยที่ยังหวานชื่น ที่ได้ยืนยิ้มเผล่ชูถ้วยเคียงข้างกันในศึกแปซิฟิคไลฟ์โอเพ่น ที่อินเดียนเวล์ส เมื่อสามปีที่แล้ว
ก่อนหน้าศึกยูเอสโอเพ่นปีนี้ ร็อดดิกตกเป็นข่าวที่ทำให้หนุ่มทั่วโลกอิจฉาว่ากำลังคบหากับชาราโปว่าอยู่ แม้มาเรียจะออกมาปฏิเสธว่าต่างฝ่ายต่างเป็นแค่เพื่อนสนิทก็ตาม แต่หากทั้งคู่ทะลุถึงตำแหน่งแชมป์พร้อมๆกันเมื่อไร สื่อทั้งหลายก็คงอดไม่ได้ที่จะเล่นข่าวทำนองนี้เป็นแน่ อย่างไรก็ดี แม้สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ที่ว่าจะเกิดขึ้นเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ทั้งชาราโปว่าและร็อดดิกก็ยังมีอะไรที่น่าพูดถึงในแง่ของเกมเทนนิส
กับการได้สัมผัสแชมป์เมเจอร์รายการที่สอง นับตั้งแต่แจ้งเกิดเต็มตัวในศึกวิมเบิลดันปี 2004 ของชาราโปว่านั้น คงต้องยอมรับว่า ตลอดสองสัปดาห์ที่ฝนตกๆหยุดๆในฟลัชชิ่งเมโดว์ส สาวสวยคนนี้คือผู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งแชมป์หญิงเดี่ยว ไม่ว่าในแง่ของสภาพรายการที่ไม่มีปัญหาบาดเจ็บรบกวน หรือฟอร์มการเล่นที่พีคสุดๆ
โดยเฉพาะชัยชนะในสองรอบสุดท้ายเหนือ อามิลี โมเรสโม่ และ จัสติน เอแนง-อาร์เดน มือหนึ่งและสองของโลกที่เธอแทบจะผูกปีแพ้มาตลอด คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเกมเทนนิสของชาราโปว่าเปลี่ยนไป จากแทคติคที่มุ่งยิงวินเนอร์ทันทีที่โอกาสเปิดแม้จะแค่ 50-50 ซึ่งมักกลายมาเป็นอันฟอร์ซเออร์เรอร์จำนวนมหาศาลยามเจอกับนักเทนนิสที่เหนียวแน่นอย่างโมเรสโม่ หรือเอแนง-อาร์เดน
แต่ครั้งนี้มาเรียเล่นเสี่ยงน้อยลง เธอรู้จักอดทนรอให้โอกาสเปิดมากกว่าเดิม ซึ่งด้วยสปีดบอลที่เหนือกว่าคู่แข่ง ทำให้เธอเป็นฝ่ายบีบคู่แข่งจนเปิดช่องว่างให้เผด็จศึก หรือไม่ก็ต้องเสี่ยงบุกขึ้นมาที่เน็ตให้เธอได้ยิงพาสชิ่งช็อตทั้งทแยงมุมและขนานเส้นผ่านไปได้ลูกแล้วลูกเล่า นั่นทำให้สองแม็ตช์ที่ว่า ชาราโปว่าแทบไม่มีความผิดพลาด จะยกเว้นก็คงตอนที่เธอทำฝาถ้วยแชมป์หล่นตอนจะโพสต์ท่าถ่ายรูปกระมัง
ถึงจะมีข้อครหาเรื่องการแผดเสียงรบกวนคู่แข่ง หรือการส่งซิกของคุณพ่อยูริและทีมงาน คอยเตือนให้เธอดื่มน้ำหรือทานกล้วยที่อาจจะล้ำเส้นกฎกติกาอยู่บ้าง แต่มันคงเป็นแค่องค์ประกอบเล็กๆส่วนหนึ่งในความสำเร็จ ที่น่าจะเป็นสัญญาณว่าชาราโปว่า กำลังกลับมาทวงบัลลังก์มือหนึ่งของโลกอีกครั้ง แต่ขณะเดียวกัน สำหรับร็อดดิกแล้ว มันคงจะเร็วเกินไปที่จะคิดถึงเรื่องนั้น
เพราะแม้โค้ชใหม่อย่างคอนเนอร์สจะช่วยกระตุ้นให้ร็อดดิกกลับมามุ่งมั่น และพัฒนาการตีแบ็คแฮนด์สไลซ์หรือเกมหน้าเน็ตให้ดีขึ้น แต่เมื่อต้องโคจรมาพบโคตรเทนนิสอย่างเฟดเดอเรอร์ในรอบชิงชนะเลิศ ผลก็คือเอร็อดไม่สามารถต้านเกมที่ครบเครื่องกว่าได้ แถมลูกเสิร์ฟทรงพลังอันเป็นอาวุธหลักของเขา ก็ยังคงถูกเจ้าเฟดเอ็กซ์จับทางได้เหมือนหลายๆครั้งที่พบกันมาอยู่นั่นเอง
มองในแง่ดี จากตำแหน่งแชมป์ที่ซินซินนาติ มาจนถึงรองแชมป์ที่นิวยอร์ค พร้อมกับการกลับมาเป็นมือหนึ่งของสหรัฐอีกครั้ง ทัวร์นาเม้นต์ช่วงท้ายฤดูกาล ร็อดดิกน่าจะฉลุยรอบลึกๆมากขึ้นกว่าต้นปีที่ผ่านมา แต่เรื่องที่หวังล้างอาถรรพ์โค่นเฟดเดอร์เรอร์ให้ได้ในชั่วโมงนี้ คงจะยังยากลำบากเอาการอยู่ ต่อให้มีน้องมาเรียมานั่งเชียร์ที่ข้างสนามก็เถอะ!!