ทันทีที่ บราซิล กระเด็นตกรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยน้ำมือของ ฝรั่งเศส ในศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมนี ปฏิกิริยาของแฟนแซมบ้าที่ออกมาเปรียบเสมือนนักเตะทุกคนเป็นฆาตกรร้ายแรงมีแต่เสียงด่าจมหูทันทีที่เดินทางกลับบ้าน แต่จากนี้ฟ้าหลังฝนของ แชมป์โลก 5 สมัย จะออกมารูปแบบใดต้องไปถามกุนซือคนใหม่เอี่ยมอ่องที่ชื่อว่า ดุงก้า
ดุงก้า เคยพา บราซิล ชูถ้วยแชมป์โลกในปี 1994 โดยเข้ามาคุมทัพแทนที่ของ คาร์ลอส อัลแบร์โต้ ปาร์ไรร่า ที่ประกาศลาออกหลังจากล้มเหลวไม่เป็นท่าที่เมืองเบียร์ ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นตัวเลือกที่แหกโผและเกินความคาดหมาย เพราะเขาแทบไม่เคยได้รับการพูดถึงมาก่อน แถมไม่มีประสบการณ์เป็นโค้ชที่ไหนเลยอีกด้วย
ด้วยวัยเพียงแค่ 42 ปี ของ ดุงก้า ถือว่าสหพันธ์ฟุตบอลบราซิล กล้าไม่น้อยที่มอบโอกาสให้เขาเช่นเดียวกับ เยอรมนี ที่ให้ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ นำทัพลุยบอลโลก, ฮอลแลนด์ ก็มี มาร์โก แวน บาสเท่น, อิตาลี เพิ่งแต่งตั้ง โรแบร์โต้ โดนาโดนี่ และล่าสุดสดๆ ร้อนๆ โครเอเชีย ดึง สลาเวน บิลิช อดีตกองหลังขึ้นมาคุมทัพ
อย่างไรก็ตามในปี 2000 หลังจาก ดุงก้า แขวนสตั๊ดกับ อินเตอร์นาซิอองนาล เขาเคยได้รับโอกาสจาก บราซิล ให้ขึ้นทำหน้าที่แทน วันแดร์เล่ ลุกชอมบูร์โก้ แล้วครั้งหนึ่ง แต่ว่ากองกลางตัวรับที่ผ่านศึกฟุตบอลโลก 3 สมัยในปี 1990,1994 และ 1998 บอกปฎิเสธโดยเมื่อครั้งนั้นให้เหตุผลว่าไม่ชอบแนวทางการทำงานของสมาคม
หลังจากนั้นข่าวคราวของ ดุงก้า เงียบหายไปสักพักหนึ่งก่อนที่พบว่าเขาแอบไปซื้อหุ้นของ ควีนปาร์ค เรนเจอร์ส ใน อังกฤษ พร้อมกับขึ้นไปทำหน้าที่ผู้บริหารระดับสูงในถิ่น ลอฟตัส โร้ด ซึ่งในปี 2005 เขาเคยโหวตไล่ บิลล์ พาวเวอร์ กระเด็นจากเก้าอี้ประธานคนเก่ามาแล้วด้วย ก่อนที่จะออกมาสละตำแหน่งหลังได้รับหน้าที่อันมีเกียรติคุมทัพทีมบ้านเกิด
ก่อนหน้านี้ บราซิล ต้องการได้ตัว หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ที่พาทีมคว้าแชมป์ในปี 2002 แต่ "บิ๊กฟิล" ต่อสัญญายาวกับ โปรตุเกส ออกไป ส่วน ลุกชอมบูร์โก้ ก็มีชื่ออยู่ในตัวเลือก เช่นเดียวกับ เปาโล ออตูโอรี่ ที่พา เซา เปาโล คว้าแชมป์สโมสรโลกด้วยการโค่น ลิเวอร์พูล แต่ประธานให้เหตุผลง่ายๆ ที่เลือก ดุงก้า ก็เพราะว่าแฟนบอลเรียกร้อง
ในฟุตบอลโลก 2006 บุคลิกของ ปาร์ไรร่า ยามอยู่ข้างสนามถูกจวกอย่างหนักว่าทำตัวเหมือนคนแก่ไร้น้ำยา ไม่มีการลุกออกมาตะโกนโหวกเหวกข้างสนามเพื่อแก้เกมหรือว่ากระตุ้นนักเตะ มีเพียงการนั่งกอดอกอยู่ที่ซุ้มม้านั่งสำรองเท่านั้น และสิ่งนี้เองเชื่อว่าคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ บราซิล ไปไม่รอด เนื่องจากความเฉื่อยแฉะถูกถ่ายทอดให้กับนักเตะ
ปาร์ไรร่า ถูกเพ่งเล็งมาตั้งแต่ช่วงเก็บตัวก่อนฟุตบอลโลกเปิดฉากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเล่น การเลือกอุ่นเครื่องที่เน้นเตะกับทีมเล็กๆ เท่านั้น ทำให้ไม่เห็นจุดอ่อนที่แท้จริงของทีม รวมถึงแท็กติกที่ลงไปเน้นตั้งรับรอสวนกลับ ไม่ใช่ บราซิล ทีมเดิมที่เล่นฟุตบอลด้วยความสนุกสวยงามและลำเลียงบอลบุกเข้าใส่คู่ต่อสู้แบบไม่ยั้ง
แต่การมาของ ดุงก้า จะทำให้โฉมหน้าของ บราซิล เปลี่ยนไปมากทีเดียว เนื่องจากลีลาของเขายามอยู่ในสนามที่ติดตาก็คือกำหมัดแน่นก่อนชกแหวกอากาศออกไปด้วยความสะใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนยิงจุดโทษช่วยทีมเอาชนะ อิตาลี ในนัดชิงปี 94 ซึ่งท่าทางแบบนี้แหละที่เรียกได้ว่าคือผู้นำชั้นยอดของจริง
บุคลิกของ ดุงก้า ค่อนข้างที่จะดุดันและเกรี้ยวกราด ถ้าหากใครลืมเลือนไปแล้วให้มองไปที่ สโคลารี่ ยามคุมทัพอยู่ข้างสนาม ส่วนหนึ่งเพราะว่าทั้งคู่เติบโตมาจากแถบ กรองเด้ โด ซูล ทางตอนใต้ของ บราซิล เหมือนกัน โดยคนพวกนี้มีวิถีชีวิตที่จริงจัง ดิ้นรน ทำอะไรทำจริง และด้วยเหตุนี้เองจึงนำมาซึ่งความสำเร็จ
ดุงก้า จะเข้ามาช่วยในเรื่องของความมุ่งมั่นและสปิริต รวมถึงความแข็งแกร่งและดุดันยามอยู่ในสนาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ บราซิล ขาดหายไป เนื่องจากเมื่อครั้งเป็นนักเตะเขารับบทบาทมิดฟิลด์ตัวรับคอยตัดเกม ซึ่งสิ่งนี้เองนักเตะน่าจะได้รับการซึมซับไปบ้างไม่มากก็น้อย และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ จะเป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญของ บราซิล น่าจะถึงยุคถ่ายเลือดครั้งใหญ่ นักเตะในยุคเก่าอย่าง คาฟู, โรแบร์โต้ คาร์ลอส, เอเมอร์สัน, จิลเบอร์โต้ ซิลวา และอาจจะรวมถึงโรนัลโด้ น่าจะถูกโละ
เชื่อว่าบรรดาซูเปอร์สตาร์ของ บราซิล น่าจะร้อนๆหนาวไปตามๆ กัน เนื่องจากประวัติของ ดุงก้า ไม่ธรรมดา ในปี 1998 เคยเกือบฟาดปากกับกองหน้าเพื่อนร่วมทีมอย่าง เบเบโต้ มาแล้วในเกมรอบแรกที่เอาชนะ โมร็อกโก 3-0 ที่สำคัญนี่คือทัวร์นาเม้นต์ทีมยอดทีมจาก อเมริกาใต้ ถูกวิจารณ์เรื่องทีมเวิร์คก่อนที่จะพ่าย ฝรั่งเศส ในนัดชิงถึง 0-3
ทิศทางของทัพ บราซิล จากนี้จะเป็นเช่นไรเรายังคงวาดภาพไม่ออก แต่จากนี้ ดุงก้า มีโปรแกรมลงคุมทัพนัดแรกพบกับ นอร์เวย์ ในเกมอุ่นเครื่องวันที่ 16 สิงหาคมนี้ ซึ่งแน่นอนจะเป็นแมตช์ที่ทุกคนจับตามอง จากนั้นจึงเป็นศึก โคปา อเมริกา ซึ่งเหมือนเป็นการชิมลางก่อนที่จะไปกู้หน้าในศึกฟุตบอลโลกปี 2010
การวัดดวงครั้งนี้ของ บราซิล ไม่ได้อยู่ภายใต้ความเสี่ยงเลยแม้แต่น้อย แต่เหมือนเป็นการวัดดวงแบบ 50-50 หากพลาดพลั้งยังมีเวลาเปลี่ยนหางเสือทันก่อนศึกฟุตบอลโลกในอีก 4 ปีข้างหน้า แต่ถ้าเกิดดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมาฉายา "โดปี้" ซึ่งคือหนึ่งในคนแคระทั้ง 7 จากนิทานเรื่อง สโนไวท์ คงจะใช้เรียก ดุงก้า ไม่ได้เสียแล้ว