คอลัมน์ "ขอบสนามฟุตบอลโลก 2006" โดย จักริน วงษ์พิทักษ์
4 ปีเป็นช่วงเวลาที่เนิ่นนานเหลือเกินสำหรับการรอคอยบางสิ่งบางอย่างและเมื่อวันที่เราได้รับสิ่ง ๆ นั้นมา มันเป็นความสุขที่ยากยิ่งจะบรรยาย ความรู้สึกของพวกเราที่ชื่นชอบเกมกีฬาที่ดูไม่ค่อยมีเหตุผลนักกับการที่ชายฉกรรจ์ 20 คนวิ่งไล่ลูกกลม ๆ พยายามทั้งส่งและป้องกันมันเข้ากรอบอลูมิเนียมจำกัดขนาดที่มีอีก 2 ชายฉกรรจ์ซึ่งส่วนใหญ่มีรูปร่างสูงคอยป้องกัน แต่กีฬาที่ดูไม่มีเหตุผลนี่แหละกลับมอบความรู้สึกให้เราอย่างเหลือล้นในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
เยอรมันได้เกรด 1 ซึ่งถือว่าดีเยี่ยมตามการให้คะแนนแบบ “ด๊อยทช์ ๆ” อันนี้เป็นการยกย่องจากสื่อสิ่งพิมพ์สำนักต่าง ๆ จากทั่วโลก ส่วนเรื่องผลการแข่งขันนั้นถ้ามองมาที่เจ้าภาพถือว่าสอบผ่านอย่างฉลุย แม้ว่าจะไม่ได้เดินทางไปโชว์เพลงเตะที่เบอร์ลินในวันที่ 9 อย่างที่ทุกคนในประเทศนี้หวัง แต่การที่ทีมชุดนี้ผ่านมาถึงรอบรองชนะเลิศ จะด้วยความสามารถของตนเองหรือพลังลึกลับจากใครก็แล้วแต่ ต้องยอมรับในความสามารถและพลังใจของพวกเค้ามีส่วนให้ก้าวมาถึงรอบนี้ได้ ทีมชุดเหมือนจะแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์กลายมาเป็นชุดที่เยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์แค่เพียงข้ามเดือน
ก่อนเริ่มการแข่งขันทุกฝ่ายเป็นห่วงเหลือเกินว่า เยอรมันจะจอดป้ายเพียงแค่รอบ 8 ทีมหลังวิเคราะห์จากปัญหารุมเร้าต่าง ๆ แต่เมื่อทัวร์นาเม้นต์เริ่มต้น เยอรมันกลับโชว์ฟอร์มได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แสดงความใจสู้ออกมาซื้อใจอินทรีชนทั้งประเทศ แมตช์ที่บ่งบอกถึงลักษณะของผู้เกลียดความพ่ายแพ้ได้เป็นอย่างดีคือ การเฉือนโปแลนด์ในนาทีท้าย ส่วนเกมที่ดีที่สุดในเรื่องรูปเกมคือ เกมส่งหนุ่มแดนฟรีเซ็กซ์กลับบ้านนั่นเอง
ส่วนเกมกับอาร์เจนติน่านั้น ผมมองว่าแม้ฝีเท้าจะเป็นรองพร้อมกับการช่วยเหลือแบบทุกคนสังเกตุเห็นจากกรรมการแม้ไม่น่าเกลียดเท่าเกาหลีใต้ตอนนั้น แต่เมื่อนำเหตุการณ์อื่น ๆ มาประกอบกันแล้ว เยอรมันเป็นผู้ชนะที่น่าจะยืดอกได้ การพยายามปกป้องไข่บนสกอร์บอร์ดและบุกทุบไข่ของอาร์เจน ฯ ได้สำเร็จในตอนท้ายนั้นความชอบส่วนหนึ่งมาจากการทำงานอย่างหนักของนักเตะและการแก้เกมของโค้ชอย่างแท้จริง ยิ่งตอนที่ยิงลูกโทษภาพที่ เลห์มันน์ ล้วงช็อตโน็ตมาจากถุงเท้าก่อนการเซฟโทษเป็นตัวยืนยันการทำงานอย่างหนักของทีมงาน ใครชอบยิงมุมไหนถูกวิเคราะห์มาหมดแล้วครับ สุดยอดจริง ๆ
เกมรอบตัดเชือกกับอิตาลีนั้น ต้องยอมรับว่า อิตาลีนั้นเหนียวจริง ๆ แพ็คเกมได้ดีจนเจาะไม่เข้า ใครจะคาดคิดว่าทีมที่มีปัญหาอย่างนั้นจะก้าวไปถึงจุดสุดยอดได้ ผมได้โอกาสไปดูพวกเค้าเล่นครั้งหนึ่งในรอบแรกยังเผลอคิดไปว่า 8 ทีมน่าจะเพียงพอแล้ว แต่ โอ้ พราะเจ้า พวกเค้ากลับเล่นดีขึ้นเรื่อย ๆ และความเหนียวแน่นของพวกเค้านี่เองที่นำพาไปสู่ความสำเร็จ
เช่นเดียวกันกับคู่ต่อสู้แย่งชิงความเป็นเจ้าโลกของกีฬาฟุตบอล ฝรั่งเศส ที่ฟอร์มเก่งมาช้าเหลือเกิน เกมชี้ชะตาว่าจะได้เข้ารอบสองต่อไปหรือไม่นั้นเป็นฟอร์มพลิกฟ้า ทำให้เมฆหมอกเหนือ หอไอเฟิล จางหายไป หลังจากเกมนั้นฝรั่งเศส โชว์การเล่นบอลได้สุดยอดมาตลอดและเมื่อมองดูคู่แข่งของพวกเค้าตั้งแต่รอบ 16 ทีมเป็นต้นมา นับว่าสาหัสกว่าอิตาลีหลายเท่านัก และถ้าฟุตบอลตัดสินกันด้วยคะแนน ซีดาน จะเป็นคนที่ชูถ้วย จูลิเม่ ในวันนั้น
จากรูปเกมในแมตช์ชิง รวมทั้งสถิติที่บ่งบอกออกมาเป็นฝรั่งเศสที่เหนือกว่าทุก ๆ ด้าน ยิงมากกว่า ฟาวล์มากกว่า ( อันนี้ถือเป็นด้านดีมั้ยหนอ ) เตะมุมก็มากกว่า แต่ครองบอลน้อยกว่า อัตราครองบอลของอิตาลีอาจจะมากกว่าแต่น่าจะไปเป็นผ่านบอลไปมาซะมากกว่าเมื่อเหลียวหลังหันไปมองอัตราการยิง การสูญเสียกำลังหลักอย่าง วิเอร่า , อองรี และซีดานไปอาจจะมีส่วนแต่ไม่น่าจะมากพอที่จะนำมาเป็นเหตุของความพ่ายแพ้ 3 คนที่ว่ามาน่าจะเป็นตัวยิงลูกโทษมือฉมัง แต่ผมว่าการเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับ จิอานลุยจิ บุฟฟ่อน นั้นอาจจะนำมาซึ่งความผิดพลาดได้ต่อให้เป็นโคตรนักเตะก็เถอะ นักเตะอิตาลียิงลูกโทษได้เยี่ยมมาก ๆ เดาเอาเองว่า นอกจากจะซ้อมมาดีแล้ว โค้ชคงสั่งให้ยิงสูงและอัดหนัก ๆ เข้าไว้ เทียบกับหลายทีมที่ยิงลูกโทษตัดสิน อิตาลียิงดีและหนักหน่วงกว่าทุกชนชาติ
ซีดาน น็อตหลุดเมื่อถูกยั่วยุจากฝ่ายตรงข้าม ตัวเขาเองคงจะเสียใจมาก แต่เมื่อเขาก็เป็นมนุษย์คนนึงการที่ถูกยั่วยุด้วยคำพูดต่าง ๆ นา ๆ ซึ่งคงเป็นคำพูดที่ไม่สวยงามนัก ผมคงจะไม่โทษ ซีดาน ว่า แก่ประสบการณ์แบบนี้ยังตอบโต้อะไรเหมือนเด็กออกไปอีก ก็ในเมื่อเกมฟุตบอลไม่ใช่ผ้าขาวอีกต่อไป ทุกคนอยากจะชนะ อยากจะประสบความสำเร็จ จึงต้องพยายามงัดกลเม็ดต่าง ๆ ออกมาเพื่อให้ฝ่ายตนเองได้เปรียบ แต่เราจะทำยังไงต่างหากถึงจะหลุดพ้นหลุมพรางที่ฝ่ายตรงข้ามขุดไว้ การนำธรรมมะเข้าข่ม หันหลังให้กับความชั่ว นำคำยั่งยุเสียดสีพวกนี้มาเป็นแรงขับให้เราสำแดงเดชโชว์ฟอร์มเก่ง นำชัยชนะมาให้ตนเองและทีม น่าจะสวยงามกว่า จริงหรือไม่ครับท่านผู้อ่าน
4 ปีเป็นช่วงเวลาที่เนิ่นนานเหลือเกินสำหรับการรอคอยบางสิ่งบางอย่างและเมื่อวันที่เราได้รับสิ่ง ๆ นั้นมา มันเป็นความสุขที่ยากยิ่งจะบรรยาย ความรู้สึกของพวกเราที่ชื่นชอบเกมกีฬาที่ดูไม่ค่อยมีเหตุผลนักกับการที่ชายฉกรรจ์ 20 คนวิ่งไล่ลูกกลม ๆ พยายามทั้งส่งและป้องกันมันเข้ากรอบอลูมิเนียมจำกัดขนาดที่มีอีก 2 ชายฉกรรจ์ซึ่งส่วนใหญ่มีรูปร่างสูงคอยป้องกัน แต่กีฬาที่ดูไม่มีเหตุผลนี่แหละกลับมอบความรู้สึกให้เราอย่างเหลือล้นในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
เยอรมันได้เกรด 1 ซึ่งถือว่าดีเยี่ยมตามการให้คะแนนแบบ “ด๊อยทช์ ๆ” อันนี้เป็นการยกย่องจากสื่อสิ่งพิมพ์สำนักต่าง ๆ จากทั่วโลก ส่วนเรื่องผลการแข่งขันนั้นถ้ามองมาที่เจ้าภาพถือว่าสอบผ่านอย่างฉลุย แม้ว่าจะไม่ได้เดินทางไปโชว์เพลงเตะที่เบอร์ลินในวันที่ 9 อย่างที่ทุกคนในประเทศนี้หวัง แต่การที่ทีมชุดนี้ผ่านมาถึงรอบรองชนะเลิศ จะด้วยความสามารถของตนเองหรือพลังลึกลับจากใครก็แล้วแต่ ต้องยอมรับในความสามารถและพลังใจของพวกเค้ามีส่วนให้ก้าวมาถึงรอบนี้ได้ ทีมชุดเหมือนจะแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์กลายมาเป็นชุดที่เยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์แค่เพียงข้ามเดือน
ก่อนเริ่มการแข่งขันทุกฝ่ายเป็นห่วงเหลือเกินว่า เยอรมันจะจอดป้ายเพียงแค่รอบ 8 ทีมหลังวิเคราะห์จากปัญหารุมเร้าต่าง ๆ แต่เมื่อทัวร์นาเม้นต์เริ่มต้น เยอรมันกลับโชว์ฟอร์มได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แสดงความใจสู้ออกมาซื้อใจอินทรีชนทั้งประเทศ แมตช์ที่บ่งบอกถึงลักษณะของผู้เกลียดความพ่ายแพ้ได้เป็นอย่างดีคือ การเฉือนโปแลนด์ในนาทีท้าย ส่วนเกมที่ดีที่สุดในเรื่องรูปเกมคือ เกมส่งหนุ่มแดนฟรีเซ็กซ์กลับบ้านนั่นเอง
ส่วนเกมกับอาร์เจนติน่านั้น ผมมองว่าแม้ฝีเท้าจะเป็นรองพร้อมกับการช่วยเหลือแบบทุกคนสังเกตุเห็นจากกรรมการแม้ไม่น่าเกลียดเท่าเกาหลีใต้ตอนนั้น แต่เมื่อนำเหตุการณ์อื่น ๆ มาประกอบกันแล้ว เยอรมันเป็นผู้ชนะที่น่าจะยืดอกได้ การพยายามปกป้องไข่บนสกอร์บอร์ดและบุกทุบไข่ของอาร์เจน ฯ ได้สำเร็จในตอนท้ายนั้นความชอบส่วนหนึ่งมาจากการทำงานอย่างหนักของนักเตะและการแก้เกมของโค้ชอย่างแท้จริง ยิ่งตอนที่ยิงลูกโทษภาพที่ เลห์มันน์ ล้วงช็อตโน็ตมาจากถุงเท้าก่อนการเซฟโทษเป็นตัวยืนยันการทำงานอย่างหนักของทีมงาน ใครชอบยิงมุมไหนถูกวิเคราะห์มาหมดแล้วครับ สุดยอดจริง ๆ
เกมรอบตัดเชือกกับอิตาลีนั้น ต้องยอมรับว่า อิตาลีนั้นเหนียวจริง ๆ แพ็คเกมได้ดีจนเจาะไม่เข้า ใครจะคาดคิดว่าทีมที่มีปัญหาอย่างนั้นจะก้าวไปถึงจุดสุดยอดได้ ผมได้โอกาสไปดูพวกเค้าเล่นครั้งหนึ่งในรอบแรกยังเผลอคิดไปว่า 8 ทีมน่าจะเพียงพอแล้ว แต่ โอ้ พราะเจ้า พวกเค้ากลับเล่นดีขึ้นเรื่อย ๆ และความเหนียวแน่นของพวกเค้านี่เองที่นำพาไปสู่ความสำเร็จ
เช่นเดียวกันกับคู่ต่อสู้แย่งชิงความเป็นเจ้าโลกของกีฬาฟุตบอล ฝรั่งเศส ที่ฟอร์มเก่งมาช้าเหลือเกิน เกมชี้ชะตาว่าจะได้เข้ารอบสองต่อไปหรือไม่นั้นเป็นฟอร์มพลิกฟ้า ทำให้เมฆหมอกเหนือ หอไอเฟิล จางหายไป หลังจากเกมนั้นฝรั่งเศส โชว์การเล่นบอลได้สุดยอดมาตลอดและเมื่อมองดูคู่แข่งของพวกเค้าตั้งแต่รอบ 16 ทีมเป็นต้นมา นับว่าสาหัสกว่าอิตาลีหลายเท่านัก และถ้าฟุตบอลตัดสินกันด้วยคะแนน ซีดาน จะเป็นคนที่ชูถ้วย จูลิเม่ ในวันนั้น
จากรูปเกมในแมตช์ชิง รวมทั้งสถิติที่บ่งบอกออกมาเป็นฝรั่งเศสที่เหนือกว่าทุก ๆ ด้าน ยิงมากกว่า ฟาวล์มากกว่า ( อันนี้ถือเป็นด้านดีมั้ยหนอ ) เตะมุมก็มากกว่า แต่ครองบอลน้อยกว่า อัตราครองบอลของอิตาลีอาจจะมากกว่าแต่น่าจะไปเป็นผ่านบอลไปมาซะมากกว่าเมื่อเหลียวหลังหันไปมองอัตราการยิง การสูญเสียกำลังหลักอย่าง วิเอร่า , อองรี และซีดานไปอาจจะมีส่วนแต่ไม่น่าจะมากพอที่จะนำมาเป็นเหตุของความพ่ายแพ้ 3 คนที่ว่ามาน่าจะเป็นตัวยิงลูกโทษมือฉมัง แต่ผมว่าการเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับ จิอานลุยจิ บุฟฟ่อน นั้นอาจจะนำมาซึ่งความผิดพลาดได้ต่อให้เป็นโคตรนักเตะก็เถอะ นักเตะอิตาลียิงลูกโทษได้เยี่ยมมาก ๆ เดาเอาเองว่า นอกจากจะซ้อมมาดีแล้ว โค้ชคงสั่งให้ยิงสูงและอัดหนัก ๆ เข้าไว้ เทียบกับหลายทีมที่ยิงลูกโทษตัดสิน อิตาลียิงดีและหนักหน่วงกว่าทุกชนชาติ
ซีดาน น็อตหลุดเมื่อถูกยั่วยุจากฝ่ายตรงข้าม ตัวเขาเองคงจะเสียใจมาก แต่เมื่อเขาก็เป็นมนุษย์คนนึงการที่ถูกยั่วยุด้วยคำพูดต่าง ๆ นา ๆ ซึ่งคงเป็นคำพูดที่ไม่สวยงามนัก ผมคงจะไม่โทษ ซีดาน ว่า แก่ประสบการณ์แบบนี้ยังตอบโต้อะไรเหมือนเด็กออกไปอีก ก็ในเมื่อเกมฟุตบอลไม่ใช่ผ้าขาวอีกต่อไป ทุกคนอยากจะชนะ อยากจะประสบความสำเร็จ จึงต้องพยายามงัดกลเม็ดต่าง ๆ ออกมาเพื่อให้ฝ่ายตนเองได้เปรียบ แต่เราจะทำยังไงต่างหากถึงจะหลุดพ้นหลุมพรางที่ฝ่ายตรงข้ามขุดไว้ การนำธรรมมะเข้าข่ม หันหลังให้กับความชั่ว นำคำยั่งยุเสียดสีพวกนี้มาเป็นแรงขับให้เราสำแดงเดชโชว์ฟอร์มเก่ง นำชัยชนะมาให้ตนเองและทีม น่าจะสวยงามกว่า จริงหรือไม่ครับท่านผู้อ่าน