เกิด วันที่ 17 สิงหาคม 1977
ส่วนสูง 188 เซนติเมตร
น้ำหนัก 83 กิโลกรัม
ตำแหน่ง กองหน้า
สโมสรต้นสังกัด อาร์เซนอล
ติดทีมชาตินัดแรก วันที่ 11 ตุลาคม 1997
ฝรั่งเศส พบกับ แอฟริกาใต้
ด้วยระดับฝีเท้า และผลงานของ เธียร์รี่ อองรี กองหน้าดาวยิงทีม "ปืนโต" อาร์เซนอล ในระดับสโมสรคงไม่มีใครสงสัยในความเก่งกาจดาวยิงรายนี้ ขณะที่ผลงานในฟุตบอลโลก อองรี ก็เคยคว้าแชมป์โลกร่วมกับทีมชาติฝรั่งเศสในปี 1998 และยังเคยคว้าแชมป์ยูโร 2000 มาได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม กับผลงานในฟุตบอลโลก 2002 บนแผ่นดินเอเชีย ทีม "ตราไก่" กลับทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจ เมื่อต้องตกรอบแรกแบบยิงประตูใครไม่เป็น ซึ่งทำให้ทั้ง เธียร์รี่ อองรี และ ซีเนอดีน ซีดาน สองซูเปอร์สตาร์ตัวหลักต่างถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงฟอร์มการเล่นเป็นอันมาก
ซึ่งดาวยิงปากห้อยรายนี้ เริ่มต้นค้าแข้งกับสโมสร เอเอส โมนาโก ในบ้านเกิด เมื่อวัย 17 ปี ในช่วงระหว่างฤดูกาล 1994-99 แม้ผลงานการทำประตูในลีกบ้านเกิดจะไม่ถล่มถลาย จากการซัดไป 28 ประตูรวมทุกถ้วยใน 4 ฤดูกาล แต่ด้วยทักษะและลีลาก็ทำให้ "ม้าลาย" ยูเวนตุส ในอิตาลี คว้าตัวดาวยิงวัยรุ่นไปร่วมทีมในช่วงเดือนมกราคมปี 1999 แต่ อองรี กลับไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงในถิ่นเดลเล่ อัลปิ ได้ แถมยังถูกโยกไปเล่นเป็นมิดฟิลด์ริมเส้นบ่อยๆ ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือทีม อาร์เซนอล ในพรีเมียร์ลีก ตัดสินใจซิวตัว อองรี มาร่วมงานในถิ่นไฮบิวรี่ ทันทีในช่วงเดือนสิงหาคมปี 1999

โดยการตัดสินใจของ เวนเกอร์ ในครั้งนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วในปัจจุบันว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เมื่อ "ติตี้" สามารถปรับตัวเข้ากับฟุตบอลสไตล์อิงลิชได้อย่างรวดเร็ว แถมยังกลายเป็นขวัญใจแฟนบอลของ "เดอะ กันเนอร์ส" ด้วยผลงานการซัลโวไปแล้วถึง 214 ประตูให้กับ อาร์เซนอล ในทุกรายการ อีกทั้งยังได้รับการจับตาจากเหล่าบรรดายอดทีมในยุโรป จน เวนเกอร์ ต้องตัดสินใจมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้ดาวยิงลีลาจัดจ้าน เพื่ออยู่ช่วยพยุงทีมต่อไป
สำหรับเกียรติประวัติและความสำเร็จของ เธียร์รี่ อองรี ในระดับสโมสรนั้นมีมากมาย โดยเริ่มคว้าแชมป์ครั้งแรกกับ โมนาโก ด้วยการคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล 1996/97 และคว้าแชมป์ เฟร้นช์ ซูเปอร์ คัพ ในปี 1997 ขณะที่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก กับอาร์เซนอล ในฤดูกาล 2001/02, 2003/04 ต่อด้วยแชมป์เอฟเอ คัพ ในปี 2002, 2003 และ 2005 นอกจากนี้ยังสามารถพาทีม ปืนโต เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร แม้ว่าสุดท้ายจะได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์ในปี 2006
ด้วยผลงานความสำเร็จที่มากมาย ทำให้ อองรี ได้รับรางวัล รองเท้าทองคำของยุโรปในปี 2004, 2005 ต่อด้วยตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกในปี 2002, 2004, 2005 และ 2006 เป็นต้น
ขณะที่ผลงานในทีมชาติฝรั่งเศสในฟุตบอลโลกครั้งนี้ อองรี สามารถลบความผิดหวังจากผลงานย่ำแย่เมื่อปี 2002 ได้แล้ว โดยสามารถซัดไป 3 ประตู รั้งตำแหน่งอันดับ 2 ร่วมของดาวซัลโว อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในการพาทีมตราไก่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เมื่อโดน ริคาร์โด้ คาวัลโญ่ กองหลังโปรตุเกสทำฟาล์วในกรอบเขตโทษ ส่งผลให้ได้ลูกจุดโทษ และเป็น ซีเนอดีน ซีดาน จอมทัพผู้ขึ้นแท่นตำนานลูกหนังเมืองน้ำหอมไปแล้วซัดไม่พลาด พาทีมไปพบกับอิตาลีที่เบอร์ลิน
ส่วนความหวังในการคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ของ อองรี จะเป็นจริงได้หรือไม่ คงต้องรอคำตอบนั้นในวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม 2549
**คลิก! ย้อนชมไฮไลต์รอบตัดเชือก คู่ โปรตุเกส - ฝรั่งเศส (คืนวันที่ 5 ก.ค.)
(56k) | (256K)
คู่ เยอรมัน - อิตาลี (คืนวันที่ 4 ก.ค.)
(56k) | (256K)
ส่วนสูง 188 เซนติเมตร
น้ำหนัก 83 กิโลกรัม
ตำแหน่ง กองหน้า
สโมสรต้นสังกัด อาร์เซนอล
ติดทีมชาตินัดแรก วันที่ 11 ตุลาคม 1997
ฝรั่งเศส พบกับ แอฟริกาใต้
ด้วยระดับฝีเท้า และผลงานของ เธียร์รี่ อองรี กองหน้าดาวยิงทีม "ปืนโต" อาร์เซนอล ในระดับสโมสรคงไม่มีใครสงสัยในความเก่งกาจดาวยิงรายนี้ ขณะที่ผลงานในฟุตบอลโลก อองรี ก็เคยคว้าแชมป์โลกร่วมกับทีมชาติฝรั่งเศสในปี 1998 และยังเคยคว้าแชมป์ยูโร 2000 มาได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม กับผลงานในฟุตบอลโลก 2002 บนแผ่นดินเอเชีย ทีม "ตราไก่" กลับทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจ เมื่อต้องตกรอบแรกแบบยิงประตูใครไม่เป็น ซึ่งทำให้ทั้ง เธียร์รี่ อองรี และ ซีเนอดีน ซีดาน สองซูเปอร์สตาร์ตัวหลักต่างถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงฟอร์มการเล่นเป็นอันมาก
ซึ่งดาวยิงปากห้อยรายนี้ เริ่มต้นค้าแข้งกับสโมสร เอเอส โมนาโก ในบ้านเกิด เมื่อวัย 17 ปี ในช่วงระหว่างฤดูกาล 1994-99 แม้ผลงานการทำประตูในลีกบ้านเกิดจะไม่ถล่มถลาย จากการซัดไป 28 ประตูรวมทุกถ้วยใน 4 ฤดูกาล แต่ด้วยทักษะและลีลาก็ทำให้ "ม้าลาย" ยูเวนตุส ในอิตาลี คว้าตัวดาวยิงวัยรุ่นไปร่วมทีมในช่วงเดือนมกราคมปี 1999 แต่ อองรี กลับไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงในถิ่นเดลเล่ อัลปิ ได้ แถมยังถูกโยกไปเล่นเป็นมิดฟิลด์ริมเส้นบ่อยๆ ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือทีม อาร์เซนอล ในพรีเมียร์ลีก ตัดสินใจซิวตัว อองรี มาร่วมงานในถิ่นไฮบิวรี่ ทันทีในช่วงเดือนสิงหาคมปี 1999
โดยการตัดสินใจของ เวนเกอร์ ในครั้งนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วในปัจจุบันว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เมื่อ "ติตี้" สามารถปรับตัวเข้ากับฟุตบอลสไตล์อิงลิชได้อย่างรวดเร็ว แถมยังกลายเป็นขวัญใจแฟนบอลของ "เดอะ กันเนอร์ส" ด้วยผลงานการซัลโวไปแล้วถึง 214 ประตูให้กับ อาร์เซนอล ในทุกรายการ อีกทั้งยังได้รับการจับตาจากเหล่าบรรดายอดทีมในยุโรป จน เวนเกอร์ ต้องตัดสินใจมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้ดาวยิงลีลาจัดจ้าน เพื่ออยู่ช่วยพยุงทีมต่อไป
สำหรับเกียรติประวัติและความสำเร็จของ เธียร์รี่ อองรี ในระดับสโมสรนั้นมีมากมาย โดยเริ่มคว้าแชมป์ครั้งแรกกับ โมนาโก ด้วยการคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล 1996/97 และคว้าแชมป์ เฟร้นช์ ซูเปอร์ คัพ ในปี 1997 ขณะที่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก กับอาร์เซนอล ในฤดูกาล 2001/02, 2003/04 ต่อด้วยแชมป์เอฟเอ คัพ ในปี 2002, 2003 และ 2005 นอกจากนี้ยังสามารถพาทีม ปืนโต เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร แม้ว่าสุดท้ายจะได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์ในปี 2006
ด้วยผลงานความสำเร็จที่มากมาย ทำให้ อองรี ได้รับรางวัล รองเท้าทองคำของยุโรปในปี 2004, 2005 ต่อด้วยตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกในปี 2002, 2004, 2005 และ 2006 เป็นต้น
ขณะที่ผลงานในทีมชาติฝรั่งเศสในฟุตบอลโลกครั้งนี้ อองรี สามารถลบความผิดหวังจากผลงานย่ำแย่เมื่อปี 2002 ได้แล้ว โดยสามารถซัดไป 3 ประตู รั้งตำแหน่งอันดับ 2 ร่วมของดาวซัลโว อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในการพาทีมตราไก่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เมื่อโดน ริคาร์โด้ คาวัลโญ่ กองหลังโปรตุเกสทำฟาล์วในกรอบเขตโทษ ส่งผลให้ได้ลูกจุดโทษ และเป็น ซีเนอดีน ซีดาน จอมทัพผู้ขึ้นแท่นตำนานลูกหนังเมืองน้ำหอมไปแล้วซัดไม่พลาด พาทีมไปพบกับอิตาลีที่เบอร์ลิน
ส่วนความหวังในการคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ของ อองรี จะเป็นจริงได้หรือไม่ คงต้องรอคำตอบนั้นในวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม 2549
**คลิก! ย้อนชมไฮไลต์รอบตัดเชือก คู่ โปรตุเกส - ฝรั่งเศส (คืนวันที่ 5 ก.ค.)
(56k) | (256K)
คู่ เยอรมัน - อิตาลี (คืนวันที่ 4 ก.ค.)
(56k) | (256K)