เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 90 นาทีเท่านั้น บาร์เซโลน่า ก็จะได้ผ่านเข้าไปลุ้นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสร แต่กับสกอร์ที่ตุนอยู่เพียงแค่ลูกเดียวก็คงประมาทไม่ได้กับการเปิดรัง คัมป์นูรับมือแชมป์ 6 สมัย "ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน เพื่อทำศึกเลกสองรอบตัดเชือก ในคืนวันพุธที่ 26 เม.ย. ในเวลา 01.45 น.
บาร์เซโลน่า สุดยอดทีมใน ลาลี กา สเปน ได้เปรียบอยู่เล็กน้อย หลังจากเลกแรกเมื่อสัปดาห์ก่อนบุกไปหยุดสถิติไร้พ่ายถ้วยยุโรปของ เอซี มิลาน ในรัง ซานซิโร่ เอาไว้ที่ 13 นัด ด้วยสกอร์ 1-0 จากประตูชัยในช่วงครึ่งหลังของ ลูโดวิช ชูลี่
แต่สถิติที่ผ่านมาของทั้งคู่นั้นสุดสูสี เคยปะทะแข้งกันมาแล้ว 8 นัดเป็น บาร์ซ่า ที่ชนะ 4 เสมอ 1 นัด แต่ที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจมากที่สุดคงเป็นเกมที่ มิลาน ถล่มยับ 4-0 ในนัดชิง แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 1993-94 ที่กรุงเอเธนส์ รวมถึงการบุกไปชนะถึงรัง คัมป์นู ในปี 2000-01 ด้วยสกอร์ 2-0 โดยปีที่แล้วทั้งสองทีมโคจรมาเจอกันในรอบแบ่งกลุ่มซึ่งก็ผลัดกันแพ้ชนะไปคนละครั้ง
เจ้าถิ่น บาร์เซโลน่า ไม่ต้องกังวลกับผลงานในลีกที่นำห่างจ่อคว้าแชมป์เต็มแก่ ที่สำคัญสภาพทีมฟิตสมบูรณ์สุดขีดเนื่องจากในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเกมกับ เซบีญ่า ถูกยกเลิกเนื่องจากมีพายุเข้า อีกทั้งจะได้ เดโก้ เพลย์เมกเกอร์ร่างเล็กพ้นโทษกลับมาพร้อมผนึกกำลังร่วมกับ โรนัลดินโญ่ และ ซามูเอล เอโต้ ทะลวงตาข่ายทีมเยือนอีกด้วย แต่ในรายของ ลิโอเนล เมสซี่ มิดฟิลด์ดาวรุ่งนั้นยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ
ส่วนกำลังสำคัญคนอื่นๆ ยังอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาไม่ว่าจะเป็น คาร์เลส ปูโยล และ ราฟาเอล มาร์เกซ คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ มาร์ค ฟาน บอมเมล, อันเดรียส อิเนสต้า, ดิเอโก้ ม็อตต้า และ เอ็ดมินสัน ตัวเลือกในแผงมิดฟิลด์ตัวกลาง
อย่างไรก็ตาม บาร์ซ่า ต้องไม่ลืมว่าทีมสุดท้ายที่บุกมาเอาชนะพวกเขาถึงรังได้คือ ยูเวนตุส ซึ่งเป็นทีมจาก อิตาลี ในรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยสกอร์ 2-1 ในฤดูกาล 2002-03 หลังจากนัดแรกเสมอกันมา 1-1
ทางฝั่งทีมเยือน มิลาน ฟอร์มในลีกกลับมาเข้าฝักส่งผลให้มีลุ้นแชมป์ สคูเด็ตโต้ ในช่วง 100 เมตรแบบมันหยด หลังจากคว้าชัย 3 นัดรวดในขณะที่จ่าฝูง ยูเวนตุส สะดุดเจ๊า 5 นัดติด เหลือนำแค่ 3 คะแนนเท่านั้น ในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 3 นัด
แต่นัดนี้ คาร์โล อันเชล็อตติ นายใหญ่ "รอสโซเนรี่" มีปัญหาในการจัดทัพเมื่อ กาก้า, มัสซิโม อัมโบรซินี่, อเลสซานโดร เนสต้า, คาฟู และ อังเดร เชฟเชนโก้ ต่างได้รับบาดเจ็บคนละเล็กละน้อยในเกมลีกนัดล่าสุดที่บุกไปเอาชนะ เมสซิน่า 3-1 รวมถึง โยฮัน โฟเกิ้ล, ฟิลิปโป้ อินซากี้ และ เปาโล มัลดินี่ ที่ไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยอีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม ฟิลิปโป้ อินซากี้ ดาวยิงที่เป็นไข้เพราะติดเชื้อไวรัสหลังจากซัด 4 ประตูพาทีมผ่าน 2 รอบก่อนหน้านี้ด้วยการเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค 4-1 และ โอลิมปิก ลียง 3-1 อาการทุเลาแล้ว พร้อมลงจับคู่กับ อังเดร เชฟเชนโก้ ดาวซัลโว 9 ประตูล่าตาข่ายในแมตช์ที่ต้องการประตูอย่างยิ่งเช่นนี้
แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดตามรายงานข่าวจากเมืองมะกะโรนีก็คือ อเลสซานโดร เนสต้า เซนเตอร์ฮาล์ฟหน้าหล่อที่เจ็บกล้ามเนื้อต้นขา แต่หากไม่ฟิตก็เป็นที่คาดว่า ยาป สตัม จะหุบจากตำแหน่งแบ็คขวามาจับคู่กับ คาคา คาลัดเซ่ ยืนเป็นปราการหลังคู่กลาง
หาก มิลาน ต้องการผ่านเข้าถึงรอบชิงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันก็ต้องบุกไปเอาชนะ บาร์ซ่า ให้ได้ ซึ่งตลอด 14 ฤดูกาลหลังสุดของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มี อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ทีมเดียวเท่านั้นที่ทำได้ในรอบรองชนะเลิศหลังจากแพ้คารัง 0-1 ก่อนบุกไปเอาชนะ พานาธิไนกอส ถึงรัง 3-0 และคว้าแชมป์ในบั้นปลายด้วยการเอาชนะ มิลาน 1-0
เมื่อฤดูกาลที่แล้ว มิลาน ก็เคยเผชิญสถานการณ์ลำบากมาแล้วครั้งหนึ่งในรอบรองชนะเลิศ ทั้งๆ ที่เลกแรกเปิดรังเอาชนะ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ได้ถึง 2-0 แต่ในเลกสองกลับบุกไปโดนนำที่ ฮอลแลนด์ ถึง 2-0 แต่พวกเขาก็เปลี่ยนโมเมนตัมของเกมได้จากประตูตีไข่แตกของ มัสซิโม่ อัมโบรซินี่ ทำให้แม้จะพ่ายไป 1-3 แต่ก็สามารถผ่านเข้าชิงได้สำเร็จด้วยกฎประตูทีมเยือน
บาร์เซโลน่า ผ่านด่านที่สำคัญมาได้แล้วคือการบุกไปเยือนรัง ซานซิโร่ พร้อมทั้งได้ประตูทีมเยือนกลับบ้านเป็นโบนัส แต่นัดนี้ทั้งสองทีมคงไม่เปิดเกมรุกผลีผลาม เพราะรู้ดีถึงพิษสงของคู่ต่อสู้ ทำให้เกมน่าจะไปเข้มข้นในช่วงครึ่งหลัง แต่สุดท้ายแล้ว บาร์ซ่า จะตีตั๋วไปปารีสได้อย่างแน่นอน