เคยมีบทเพลงขับขานเป็นทำนองเย้ยหยันดูถูกความสามารถของ แกรี่ เนวิลล์ แบ็คขวาร่างเล็กของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไว้ว่า “ถ้าแกรี่ เล่นให้อังกฤษ ใครๆ ก็คงติดทีมชาติได้ทั้งหมด” แต่ในวันนี้นอกจากเข็มไมล์ในการเล่นให้ทีม “สิงโตคำราม” ของเขาจะแตะถึงเลข 78 แล้ว แกรี่ เนวิลล์ ยังสร้างสถิติเป็นนักเตะที่สวมเสื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นนัดที่ 500 ด้วย ในเกมกับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ในศึกพรีเมียร์ชิปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยแบ็คขวาผู้นี้เป็นเพียงนักเตะรายที่ 8 ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของสโมสร ลบคำสบประมาททั้งปวงที่หลายคนเคยปรามาสไว้
ถามว่าเคล็ดลับใดที่ทำให้นักเตะพรสวรรค์ไม่มากนักอย่าง แกรี่ เนวิลล์ประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ คำตอบคงต้องย้อนกลับไปดู ภาพในวันวานซึ่งตัวเขาเองเคยลงทุนไปอย่างมากมายในอดีต
“สมัยที่ผมเป็นวัยรุ่นนั้นหลายปีทีเดียวที่ต้องประสบความผิดหวัง ถูกปฏิเสธจากสโมสร แต่น่าแปลกใจเหมือนกันที่แมนฯยูไนเต็ด หมั่นเชิญผมกลับไปทดสอบฝีเท้าอยู่ทุกปี มันคงไม่ใช่เรื่องของทัศนคติอย่างเดียว สิ่งสำคัญก็คือความทุ่มเทของผมนั่นเอง โดยถ้าการซ้อมเริ่มต้น 5 โมงเย็น ผมจะไปถึงที่นั่นตั้ง 4 โมงนิดๆเพื่อเริ่มก่อนคนอื่นๆ” ยอดแบ็คขวาเผย
“ในระยะเริ่มต้นนั้นผมเฝ้าดูนักเตะรุ่นเดียวกันที่มีพรสวรรค์สูงอย่าง พอล สโคลส์ และ นิคกี้ บัตต์ หลังจากนั้นทีมเยาวชนของเราก็ได้เด็กต่างถิ่นอย่าง เดวิด เบ็คแฮม, คีธ จิลเลสพี และ ร็อบบี้ ซาเวจ เข้ามา ในเวลานั้นฝีเท้าของผมไม่มีทางเทียบเคียงพวกเขาได้เลย แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ในหัวผมตลอดเวลาก็คือ ถ้าเรามีพรสวรรค์ไม่เท่ากับคนอื่น เราต้องเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่า ผมจบจากโรงเรียนตอนอายุ 16 ก็เริ่มฝึกหนักและตัดขาดเพื่อนฝูงทั้งหมด เพื่อทำตามคำที่พ่อสอนไว้ว่า จงทุ่มเทให้เต็มที่ วันหนึ่งจะได้ไม่ต้องกลับมามองอย่างเสียดายว่าน่าจะทำให้ดีกว่านั้น”
เมื่อก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ แกรี่ แทบไม่เชื่อตนเองว่าจะได้ร่วมเล่นกับยอดนักเตะผู้ยิ่งใหญ่อย่าง รอย คีน, เอริค คันโตน่า, พอล อินซ์, สตีฟ บรู๊ซ และ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล “ผมได้ลงเตะอย่างต่อเนื่อง บางครั้งต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีทักษะและความเร็วมากกว่า แต่คิดอย่างเดียวว่าจะไม่ยอมให้พวกเขาผ่านไปได้”
ถึงวันนี้จากเด็กที่เคยคิดว่าตนเองไม่มีอะไรเทียบเคียงผู้เล่นอย่าง คีธ จิลเลสพี เขาได้กลายเป็นกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และตำนานที่ยิ่งใหญ่แห่งถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อรอย คีน ออกจากสโมสรไป อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมก็ไม่ลังเลใจที่จะมอบปลอกแขนกัปตันทีมซึ่งเคยเป็นของนักเตะอย่าง ไบรอัน ร็อบสัน, สตีฟ บรู๊ซ, เอริค คันโตน่า ให้กับแกรี่ เนวิลล์ ได้สืบทอดความยิ่งใหญ่ต่อไป
หากปีนี้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจะตกเป็นของเขาก็คงไม่มีใครกล้าโต้แย้ง แม้จะไม่ได้โชว์ที่สุดยอดออกมาในช่วงนี้ แต่มาตรฐานของแกรี่ก็ไม่เคยตก และยังมองหารุ่นน้องขึ้นมาทาบได้ไม่เจอทั้งกับสโมสรและในนามทีมชาติ
แม้ตลอดเวลาที่อยู่ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด จะมีข่าวลือเรื่องการดึงแบ็คขวาชื่อดังคนอื่นๆเข้าสู่ทีมมาตลอดอย่าง คาฟู หรือ ซิซินโญ่ หรือแม้กระทั่งนักเตะอังกฤษเองอย่าง แดนนี่ มิลล์ และ เกลน จอห์นสัน แต่สุดท้าย แกรี่ เนวิลล์ ก็ยังอยู่ยงคงกระพันยึดตำแหน่งของเขาไว้อย่างเหนียวแน่น
ตำนาน 500 นัดคงเป็นเพียงหลักกิโลที่สร้างความภาคภูมิใจให้ตัวเขาเท่านั้น เพราะด้วยวัยเพียง 31 ปีเส้นทางของแบ็คขวาผู้ยิ่งยงคนนี้จะยังคงทอดยาวต่อไปอีกอย่างแน่นอน ตัวเขาเองได้ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่าต้องการพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์แซงหน้า “หงส์แดง”ลิเวอร์พูล คู่ปรับตลอดกาลให้ได้เสียก่อน ก่อนที่จะประกาศอำลาสังเวียนลูกหนัง
เนวิลล์ เผยว่า “ตอนผมเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับแมนฯ ยูไนเต็ด เรามีตำแหน่งแชมป์ตามหลังลิเวอร์พูล อยู่ถึง 9 แชมป์แต่ ณ ปัจจุบันทีมของเราไล่หลังพวกเขาเหลือแค่ 3 เท่านั้นสำหรับแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศ ส่วนเกียรติยศสูงสุดระดับยุโรป แมนฯ ยูไนเต็ดได้มาแล้วสองหน แต่ยังเป็นรองลิเวอร์พูล อยู่ถึงสามครั้ง ดังนั้นเมื่อผมจะเดินออกจากสโมสรสักอายุประมาณ 38 ปี ผมต้องการพาทีมครองแชมป์ลีกให้ได้ 19 ครั้ง พร้อมกันนี้หวังให้สโมสรครองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 6 สมัย เพื่อแซงหน้าคู่แข่งตลอดกาลของเราไปให้ได้”