ครั้งหนึ่ง พิตต์สเบิร์ก สตีลเลอร์ส เคยเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ในเอ็นเอฟแอล ด้วยผลงานที่เคยคว้าแชมป์ซูเปอร์โบว์ลมาแล้วถึงสี่ครั้งในอดีตจากสมัยของ เทอร์รี่ แบร็ดชอว์, ลิน สวอนน์, ฟรังโก้ แฮร์ริส, โจ กรีน และแจ็ค แลมเบิร์ท ก่อนที่ “คนเหล็ก” จะห่างหายจากความสำเร็จไปอย่างยาวนานถึง 26 ปี นับเป็นช่วงเวลาที่ผู้เล่น โค้ช และ แดน รูนี่ย์ เจ้าของทีม รวมไปถึงเหล่าแฟนบอลที่ยังคงศรัทธาในทีมรักอย่างเหนียวแน่นต่างรอคอยให้ สตีลเลอร์ส ได้ "วินซ์ ลอมบาร์ดี้ โทรฟี่" กลับคืนสู่มือของพวกเขาอีกครั้ง
ซูเปอร์โบว์ล ครั้งที่ 40 คือจุดหมายปลายทางอันสมบูรณ์แบบเป็นอย่างยิ่งสำหรับทีมที่เคยอยู่ในระดับไวล์ดการ์ด แต่สามารถฝ่าฟันผ่านจนถึงรอบชิงชนะเลิศและคว้าแชมป์ซูเปอร์โบว์ลครั้งที่ 5 ของทีมได้สำเร็จบรรยากาศในสนามฟอร์ด ฟีลด์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม จึงกลายเป็นการเรียกกลับความสำเร็จเหมือนเมื่อปี 1979 คืนมาอีกครั้ง ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากทีมบุกที่เฉียบคบและทีมรับที่แข็งแกร่งจนทำให้ สตีลเลอร์ส เอาชนะซีแอตเทิล ซีฮอกส์ ไปด้วยสกอร์ 21-10
การแข่งขันตลอดทั้ง 4 ควอเตอร์ เหล่าสาวกของ สตีลเลอร์ส ที่พากันโบกธงเหลืองอยู่บนอัฒจันทร์ได้เป็นประจักษ์พยานในความสำเร็จของทีมรักซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อ เบน โรธลิสเบอร์เกอร์ ควอเตอร์แบ็กประสบการณ์ปีที่ 2 ในลีกขว้างบิ๊กเพลย์ 37 หลาให้ ไฮน์ส วอร์ด รับบอลได้ที่หน้าบ้านซีฮอว์คส ก่อนที่ “บิ๊กเบน” จะวิ่งเองหนึ่งหลาเป็นทัชดาวน์ส่งให้แชมป์เอเอฟซีขึ้นนำ 7-3 หลังจากควอเตอร์แรก “เหยี่ยวทะเล” ซีฮอว์คสได้คะแนนนำไปก่อน 3-0 จากการเตะฟิลด์โกลด์
หลังการแสดงของ เดอะโรลลิ่ง สโตนในช่วงพักครึ่ง สตีลเลอร์ส เป็นฝ่ายลงมาบุกก่อนในควอเตอร์ที่ 3 และเพียงการเล่นดาวน์ที่ 2 สตีลเลอร์ส ก็สร้างบิ๊กเพลย์ สำคัญเมื่อ วิลลี่ พาร์เกอร์ อาศัยการบล็อกเปิดช่องได้อย่างยอดเยี่ยม วิ่งทะลุรวดเดียว 75 หลา (เป็นการวิ่งครั้งเดียวที่ไกลที่สุดในประวัติศาสตร์ซูเปอร์โบว์ล) ทำทัชดาวน์ส่ง “คนเหล็ก” นำห่างเป็น 14-3
ในช่วงจังหวะที่รูปเกมทั้งหมดกำลังจะกลายเป็นของสตีลเลอร์ส โรธลิสเบอร์เกอร์ ก็ดันขว้างเสียอินเทอร์เซปท์ทั้งๆ ที่อยู่ในเขตทำคะแนนโดย เคลลี่ เฮิร์นดอน วิ่งย้อน 76 หลา (วิ่งย้อนไกลสุดในซูเปอร์โบว์ล) และทำให้สตีลเลอร์สต้องทดแทนเทิร์นโอเวอร์ครั้งนี้ด้วยการเสียทัชดาวน์ เมื่อฮัสเซลแบ็ก ขว้าง 16 หลาให้ เจอร์เรไม สตีเว่นส์ รับทำสกอร์ให้ ‘ซีฮอว์คส’ ไล่มาเหลือ 10-14
แต่ดูเหมือนว่าเทพีแห่งโชคจะยืนอยู่ข้าง สตีลเลอร์ส เมื่อ ฮัสเซลแบ็ก ควอเตอร์แบกมือหนึ่งของ ‘ซีฮอว์คส’ ดันมาพลาดในช่วงสำคัญขว้างเสียอินเทอร์เซปท์ให้แก่ ไอค์ เทย์เลอร์ และก็กลายเป็นอินเทอร์เซปท์แรกสำหรับฮัสเซลแบ็ก ในการขว้าง 155 ครั้งหลังของเขา
หลังจากอินเทอร์เซปท์ครั้งนี้รูปเกมพลิกกับไปอยู่กับสตีลเลอร์ส อีกครั้งและด้วยแผนการบุกจาก ‘เคน วิสเซลฮันท์’ (โค้ชทีมบุก)ที่ทำให้ “บิ๊กเบน” ยัดลูกให้พาร์เกอร์ ตัววิ่งรายโยนบอลต่อให้ แอนทอน แรนเดิล เอล ปีกนอกซึ่งเคยเล่นเป็นคอวเตอร์แบกเมื่อครั้งเล่นให้กับทีมมหาวิทยาลัยจอร์เจียขว้าง 43 หลาให้วอร์ด รับเป็นทัชดาวน์ ส่งสตีลเลอร์ส นำห่าง 21-10 และเป็นสกอร์สุดท้ายทำให้สตีลเลอร์ส คว้าแชมป์ซูเปอร์โบว์ลครั้งนี้ได้สำเร็จ
นอกจาก “คนเหล็ก” จะครองแชมป์ซูเปอร์โบว์ล เป็นสมัยที่ 5 แล้วพวกเขาจังเป็นทีมไวล์การ์ด (สถิติ11-5) ทีมแรกในประวัติศาสตร์เอ็นเอฟแอลที่คว้าแชมป์ได้สำเร็จ นอกจากนี้ สตีลเลอร์สยังขึ้นทำเนียบต่อจาก ซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ไนเนอร์ส และ ดัลลัส คาวบอยส์ ที่คว้าแชมป์ได้ 5 สมัยเช่นกัน
ส่วน บิลล์ คาวเออร์ (หัวหน้าโค้ช) ชัยชนะในครั้งนี้เปรียบเสมือนการภารกิจสำคัญได้เสร็จสิ้นเมื่อพาทีมเป็นแชมป์ได้สำเร็จหลังจาก แดน รูนี่ย์ เจ้าของทีมให้โอกาส คาวเออร์ มาถึง 14 ปี ส่วน “เจ้ารถบัส” เจอโรม เบ็ตติส รันนิ่งแบ็กตัวเก๋าที่ได้ครองแชมป์ในบ้านเกิดของตัวเอง ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “จะขอหยุดจุดหมายสุดท้ายไว้ที่ดีทรอยด์” เท่ากับเป็นการประกาศปิดฉากตำแหน่งรันนิ่งแบ็ก อย่างไม่เป็นทางการสำหรับเบ็ตติส
สำหรับ “บิ๊กเบน” เบน โรธลิสเบอร์เกอร์ แม้จะทำผลงานไม่ดีนักในเกมนี้ แต่เขาก็กลายเป็นควอเตอร์แบ็กอายุน้อยที่สุด (23 ปี) ในประวัติศาสตร์ที่สามารถพาทีมครองแชมป์ ในส่วนของตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) ของซูเปอร์โบว์ล ตกเป็นของ ไฮน์ส วอร์ด ปีกลูกครึ่งอเมริกัน-เกาหลี ที่รับบอล 5 ครั้ง ได้ระยะถึง 123 หลา หนึ่งทัชดาวน์
จากนี้คงต้องคอยติดตามดูกันว่า บิลล์ คาวเออร์ และ เบน โรธลิสเบอร์เกอร์ รวมไปถึงผู้เล่นในทีม พิตต์สเบิร์ก สตีลเลอร์ส จะสามารถสร้างชัยชนะครั้งนี้ ให้เป็นจุดเริ่มต้นของไดนาสตี้ “คนเหล็ก” อีกครั้งได้หรือไม่เพราะหากเทียบคุณภาพของทุกทีมในเอ็นเอฟแอล กับ สตีลเลอร์ส ณ ชั่วโมงนี้คงยากที่จะหาทีมใดมาเทียบเคียงรัศมีอันเจิดจ้าของแชมป์ซูเปอร์โบว์ล 5 สมัยทีมนี้ไปได้
