"เทพบุตรเปียทองคำ" คือฉายาของ บาจโจ ยุครุ่งเรืองของเขาอยู่ในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 ถึงต้นทศวรรษที่ 90 และด้วยหน้าตาที่หล่อแบบตี๋ฝรั่งทำให้เขาเป็นที่คลั่งไคล้ของบรรดาแฟนบอลสาวๆ ที่เริ่มมาดูฟุตบอลโลกในปี 1990 ที่ อิตาลี เป็นเจ้าภาพ
แน่นอนว่าแฟนๆ ลูกหนังชาวอิตาเลี่ยน ไม่เคยลืมลูกโซโล่เดี่ยวของ บาจโจ เข้าไปยิงประตู เชโกสโลวะเกีย ในปี 1990 ในรอบแบ่งกลุ่มซึ่งในปีนั้น อิตาลี ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกรุยทางเข้าถึงรอบรองชนะเลิศแต่ก็พ่ายให้การดวลจุดโทษต่อ อาร์เจนติน่า อย่างน่าเสียดาย
ในปี 1994 "โกล์เด้นบอย" บาจโจ นำทัพ อิตาลี กลับมาอีกครั้งหนึ่งและพาทีมเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศได้สำเร็จโดยต้องเจอกับโคตรบอล บราซิล ซึ่งเกมต้องสู้กันถึง 120 นาที ยังเสมอกันอยู่ 0-0 ทำให้เป็นครั้งแรกของนัดชิงที่ต้องตัดสินด้วยจุดโทษซึ่ง บาจโจ ซัดข้ามคานมีส่วนให้ทีมแพ้ไป 2-3 อย่างเจ็บช้ำ
ในระดับสโมสร บาจโจ สร้างชื่อกับ ฟิออเรนติน่า ถึง 5 ฤดูกาลและพาทีมเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศของศึก ยูฟ่า คัพ ในปี 1990 จากนั้นจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับทีมยักษ์ใหญ่ ยูเวนตุส ในช่วงซัมเมอร์ของปีเดียวกันด้วยค่าตัวที่สูงเป็นสถิติถึง 8 ล้านปอนด์ มากกว่าที่ เอซี มิลาน ซื้อ รุด กุลลิท ถึง 2 ล้านปอนด์ในปี 1987
ซึ่งการที่ ฟิออเรนติน่า ตัดสินใจขาย บาจโจ ทำให้แฟนๆ วิโอล่า ก่อม็อบและปักหลักประท้วงอยู่หน้าที่ทำการของสโมสรนานถึง 2 วันเต็มๆ เลยทีเดียว
หลังจากนั้นในถิ่น เดลเล่ อัลปิ บาจโจ ผงาดเป็นนักเตะหมายเลข 1 ของโลกแบบไร้เทียมทานยืนยันได้จากรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีของฟีฟ่า และ นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป ในปี 1993 จากนั้นในปี 1995-96 เขาถูกขายให้กับ เอซี มิลาน ก่อนย้ายไปอยู่กับ โบโลญญ่า, อินเตอร์ มิลาน และ เบรสชา
นอกจากนี้ บาจโจ ถือว่าเป็นนักฟุตบอลระดับโลกเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นพุทธศาสนิกชน โดยเขาเชื่อว่าวิถีแบบชาวพุทธช่วยทำให้เขามีสมาธิรวมถึงการควบคุมจิตใจให้อยู่อย่างสงบสุขท่ามกลางความบ้าคลั่งและวุ่นวายในเกมลูกหนัง