ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ถูก เอซี มิลาน ไล่ยำจนตกเป็นรองในครึ่งแรก 0-3 แต่พลิกสถานการณ์กลับมาตามตีเสมอได้อย่างเหลือเชื่อในครึ่งหลัง ก่อนจะดวลเป้าชนะคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครอง เมื่อคืนวันพุธที่ 25 พฤษภาคม ยุติการรอคอยของ เดอะ ค็อป ที่ยาวนานกว่า 20 ปี

ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ
เอซี มิลาน 3 ลิเวอร์พูล 3
(ลิเวอร์พูล ชนะดวลจุดโทษ 3-2)
ศึกฟุตบอลชิงจ้าวยุโรป ที่สนาม อาตาตุร์ก ประเทศตุรกี เอซี มิลาน แชมป์ 6 สมัยจากอิตาลี พบกับ ลิเวอร์พูล ของอังกฤษ แชมป์ 4 สมัย ซึ่งทั้งคู่เจอกันในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรก นัดนี้ เอซี มิลาน สมบูรณ์พร้อมทุกตำแหน่งขาดเพียง มัสซิโม อัมโบรซินี ที่เป็นตัวสำรองอยู่แล้ว ด้าน ลิเวอร์พูล เลือกใช้ มิลาน บารอส เป็นกองหน้าก่อน ฌิบริล ซิสเซ่ ขณะที่ แฮร์รี คีเวลล์ ได้เสียบแทน ดีทมาร์ ฮามันน์
เสียงนกหวีดจากผู้ตัดสินชาวสเปนดังขึ้น เป็น เอซี มิลาน เปิดฉากบุกทันที และมีโอกาสลุ้นตั้งแต่นาทีแรกจากลูกฟรีคิกและก็เป็นประตูทันทีในวินาทีที่ 52 โดย ปิร์โล่ วางบอลไปในกรอบเขตโทษ ให้ เปาโล มัลดินี่ ได้วอลเลย์แบบไม่มีคนคุม ลูกพุ่งผ่านมือ เจอร์ซี ดูเด็ค เสียบตาข่าย 1-0 สำหรับ มิลาน
พอเสียประตูไปก่อน ลิเวอร์พูลพยายามตอบโต้ทันที และมีโอกาสลุ้นสองหนติดในอีก 2 นาทีต่อมา จากการยิงไกลของ สตีเวน เจอร์ราร์ด และ ลูกโหม่งของ ซามี่ ฮูเปีย แต่ก็ยังไม่ผ่านมือ ดีด้า
รูปเกมออกมาคู่คี่ทั้งสองฝ่ายพยายามเปิดเกมเร็วแลกกัน จนถึงนาทีที่ 14 เอซี มิลาน เกือบจะได้ประตูทื่สอง เป็น ปิร์โล่ คนเดิมวางลูกเตะมุมไปที่เสาแรก ให้ เครสโป สอดขึ้นมาโขกตัดหน้ากองหลัง บอลพุ่งจะเสียบโคนเสาแรก แต่ยังมี หลุยส์ การ์เซีย ที่ยืนคุมเส้นโหม่งสกัดออกมาได้หวุดหวิด
ผ่านไป 20 นาที มิลานกลับมาตั้งเกมได้ดีอีกครั้ง ขณะที่ ลิเวอร์พูล ยังหาทางเจาะแนวรับทีมจากอิตาลี ไม่ได้ แถม แฮร์รี คีเวลล์ ยังมีอาการบาดเจ็บ เลยต้องส่ง วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ ลงมาแทน จนถึงนาทีที่ 29 อังเดร เชฟเชนโก้ ก็ส่งบอลซุกก้นตาข่ายได้สำเร็จ แต่ผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกล้ำหน้าเสียก่อน
ช่วงท้ายเกมรุกของ ลิเวอร์พูล เริ่มทำได้ดีขึ้นและในนาทีที่ 36 ก็มีโอกาส เมื่อ รีเซ่ โหม่งชงลูกโยนของ เจอร์ราร์ด ให้ หลุยส์ การ์เซีย ได้วอลเลย์ที่หน้ากรอบเขตโทษ แต่โดนไม่เต็มลูกปลิ้นออกเส้นหลังไป
พอ ลิเวอร์พูล ทำไม่ได้ ในาทีที่ 39 ก็มาพลาดเอง เป็น กาก้า กระชากบอลมาจากกลางสนาม ก่อนจะจ่ายอย่างเหนือชั้นให้ อังเดร เชฟเชนโก้ หลุดเดี่ยวเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนที่หัวหอกทีมชาติยูเครน จะหลอกอย่างใจเย็น ไหลใส่พานให้ เฮอร์นัน เครสโป ที่เติมขึ้นมาแปโล่งๆเข้าไป 2-0 ของ เอซี มิลาน
ถัดจากนั้นในนาทีที่ 44 กองกลางของ ลิเวอร์พูล ก็พลาดเสียบอล ลูกมาอยู่ที่ กาก้า เหลือบเห็น เครสโป วิ่งให้ช่อง จึงแทงไปให้อย่างแม่นยำกลายเป็นการหลุดเดี่ยวของกองหน้าทีมชาติอาร์เจนติน่า ก่อนจะชิพข้ามหัว เจอร์ซี่ ดูเด็ค ซุกก้นตาข่าย มิลาน นำห่าง 3-0 ก่อนจบครึ่งแรก

แก้หมากกลับมาเล่นกันต่อในครึ่งหลัง ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือลิเวอร์พูล ส่ง ดีทมาร์ ฮามันน์ ลงมาแทน สตีฟ ฟินแนน พร้อมกับปรับหมากมาเป็น 3-5-2 เพื่อเปิดเกมรุกอย่างเต็มสูบ เพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และในนาทีที่ 44 ชาบี้ อลอนโซ่ ได้ลองส่องไกลที่หน้ากรอบเขตโทษ บอลหลุดเสาสองออกไปนิดเดียว
หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ยังเดินหน้าบุกต่อเนื่อง แต่ มิลาน ตั้งรับได้เหนียวแน่นแถมเกมโต้กลับก็อันตราย และในนาทีที่ 50 อังเดร เชฟเชนโก้ ได้กระหน่ำฟรีคิกที่หน้ากรอบเขตโทษ ยังดีที่ เจอร์ซี ดูเด็ค ยังไวโชว์ซูเปอร์เซฟปัดออกไปได้
จากที่บุกอยู่นานในนาทีที่ 54 ลิเวอร์พูล ก็มาตีไข่แตกได้สำเร็จ เป็น ยอห์น อาร์เน รีเซ่ เติมเกมรุกขึ้นมา ก่อนจะเปิดโค้งมาในกรอบเขตโทษ ให้ สตีเวน เจอร์ราร์ด สะบัดหัวโขกเปลี่ยนทางผ่านมือ ดีด้า เสียบหน้าต่างอย่างสวยงาม สกอร์ขยับ 1-3
พอได้ประตูตีไข่แตก ลิเวอร์พูล ดาหน้าบุกแหลก และอีกเพียง 2 นาทีต่อมา ลิเวอร์พูลก็มาได้ประตูตีตื้นขึ้นมา เมื่อ วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ ลูกลักไก่ยิงไกลที่หน้ากรอบเขตโทษ บอลพุ่งผ่านมือ ดีด้า เสียบเสาสองเข้าไป 2-3 สำหรับ ลิเวอร์พูล
แล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น หลังลิเวอร์พูลยังดาหน้าบุกแหลก จนถึงนาทีที่ หงส์แดง ก็มาได้จุดโทษ ในนาทีที่ 60 เมื่อ เจอร์ราร์ด ถูก กัสตูโซ่ ทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินชี้ไปที่จุดโทษ ท่ามกลางเสียงประท้วงของนักเตะเอซี มิลาน อย่างไรก็ตาม อลอนโซ่ รับหน้าที่สังหารยิงไปติด ดิด้า แต่ก็ตามซ้ำเข้าไป ทั้งคู่กลับมาเท่ากันที่ 3-3
ลิเวอร์พูล ยังเดินหน้าบุกต่อไป และในนาทีที่ 63 รีเซ่ ได้ซัดที่ริมเขตโทษ แต่ ดีด้า ปัดเอาไว้ได้ กระนั้นก็ดีในนาทีที่ 69 มิลาน เกือบจะได้ประตูออกนำเช่นกัน เมื่อ ดูเด็ค รับบอลจากการผ่านริมเส้นของ กาก้า หลุดมือไปเข้าทาง เครสโป ได้ซัด ยังดีที่ ตราโอเร่ ยืนคุมเส้นสกัดออกมาได้
เกมรุกของ เอซี มิลาน เริ่มต่อกันไม่ติด ทำให้ ลิเวอร์พูล ครองบอลได้มากกว่า ก่อนที่ในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ราฟาเอล เบนิเตซ ตัดสินใจส่ง ฌิบริล ซิสเซ่ ลงมาแทน มิลาน บารอส ขณะที่ มิลาน ถอด เฮอร์นัน เครสโป กับ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ ออก แล้วให้ ยอน ดาห์ล โธมัสสัน และ แซร์จินโญ่ ลงมาแทน ครบ 90 นาทีเสมอกัน 3-3 ต้องต่อเวลาพิเศษ
ในช่วงต่อเวลาพิเศษ เอซี มิลาน กลับมาเป็นฝ่ายบุกเข้าหามากขึ้น และมีโอกาสลุ้นในนาทีที่ 101 เป็น ยอน ดาห์ล โธมัสสัน หลุดเข้าไปเล่นบอลในกรอบเขตโทษคนเดียว แต่จับไม่ดีลูกเลยออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย
ก่อนที่ในนาทีที่ 113 เอซี มิลาน จะส่ง รุย คอสตา ลงมาแทน เจนนาโร่ กัตตูโซ่ จนถึงนาทีที่ 117 มิลาน พลาดโอกาสได้ประตูชัยไปอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อ แซร์จินโญ่ เปิดโค้งไปในกรอบเขตโทษ ให้ เชฟเชนโก้ ซัดจ่อๆ ติด เจอร์ซี ดูเด็ค บอลยังเด้งมาเข้าทางเชว่าอีกครั้ง คราวนี้ได้ยิงจ่อๆ ทว่า ดูเด็ค โชว์ซูเปอร์เซฟป้องกันไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ ครบ 120 นาที ต้องดวลจุดโทษชี้ขาด
การดวลจุดโทษ เอซี มิลาน ชนะการเสี่ยงทางเป็นฝ่ายยิงก่อน โดยเป็น แซร์จินโญ่ ยิงข้ามคานออกไปไกล ขณะที่คนแรกของลิเวอร์พูล คือ ดีทมาร์ ฮามันน์ ยิงไปทางซ้ายมือตัวเองเสียบตาข่าย ลิเวอร์พูล นำ 1-0 คนที่สองของมิลาน ได้แก่ อันเดรีย ปิร์โล่ แปด้วยขวาไปโดน เจอร์ซี ดูเด็ค ดักทางป้องกันเอาไว้ได้ ส่วน ลิเวอร์พูล ให้ ฌิบริล ซิสเซ่ หลอกยิงดีด้าหลงทาง ลิเวอร์พูล หนีห่าง 2-0 หลังผ่านไป 2 คนแรก
คนที่ 3 ของมิลาน เป็น โธมัสสัน วิ่งเข้ามากดเต็มๆ ไม่เหลือซาก ตามมาเป็น 1-2 ด้าน ลิเวอร์พูล ให้ ยอห์น อาร์เน รีเซ่ ยิงไปทางซ้ายมือ แต่ ดีด้า พุ่งถูกทาง สกอร์ยังคงเท่าเดิม คนที่ 4 ของมิลาน มอบหน้าที่ให้กับ กาก้า ยิงเข้าไม่มีปัญหา ขณะที่ ลิเวอร์พูล คือ วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ แปเล่นมุมขวามือตัวเองเสียบตาข่าย
คนสุดท้ายของ มิลาน ให้ อังเดร เชฟเชนโก้ ลงมาสังหารเพื่อรักษาความหวัง แต่เชว่ายิงไม่เข้าติดมือ เจอร์ซี ดูเด็ค ตรงกลางประตู ส่งผลให้ "ลิเวอร์พูล" คว้าแชมป์ "ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก" ในการดวลจุดโทษ 3-2
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เอซี มิลาน - ดีด้า, คาฟู, ยาป สตัม, อเลสซานโดร เนสต้า, เปาโล มัลดินี่, อันเดรีย ปิร์โล่, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, กาก้า, เจนนาโร่ กัตตูโซ่, เฮอร์นัน เครสโป, อังเดร เชฟเชนโก้
ลิเวอร์พูล - เจอร์ซี่ ดูเด็ค, สตีฟ ฟินแนน, เจมี่ คาร์ราเกอร์, ซามี่ ฮูเปีย, ตราโอเร่, หลุยส์ การ์เซีย, สตีเวน เจอร์ราร์ด, ชาบี้ อลอนโซ่, ยอห์น อาร์เน รีเซ่, แฮร์รี คีเวลล์, มิลาน บารอส
ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ
เอซี มิลาน 3 ลิเวอร์พูล 3
(ลิเวอร์พูล ชนะดวลจุดโทษ 3-2)
ศึกฟุตบอลชิงจ้าวยุโรป ที่สนาม อาตาตุร์ก ประเทศตุรกี เอซี มิลาน แชมป์ 6 สมัยจากอิตาลี พบกับ ลิเวอร์พูล ของอังกฤษ แชมป์ 4 สมัย ซึ่งทั้งคู่เจอกันในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรก นัดนี้ เอซี มิลาน สมบูรณ์พร้อมทุกตำแหน่งขาดเพียง มัสซิโม อัมโบรซินี ที่เป็นตัวสำรองอยู่แล้ว ด้าน ลิเวอร์พูล เลือกใช้ มิลาน บารอส เป็นกองหน้าก่อน ฌิบริล ซิสเซ่ ขณะที่ แฮร์รี คีเวลล์ ได้เสียบแทน ดีทมาร์ ฮามันน์
เสียงนกหวีดจากผู้ตัดสินชาวสเปนดังขึ้น เป็น เอซี มิลาน เปิดฉากบุกทันที และมีโอกาสลุ้นตั้งแต่นาทีแรกจากลูกฟรีคิกและก็เป็นประตูทันทีในวินาทีที่ 52 โดย ปิร์โล่ วางบอลไปในกรอบเขตโทษ ให้ เปาโล มัลดินี่ ได้วอลเลย์แบบไม่มีคนคุม ลูกพุ่งผ่านมือ เจอร์ซี ดูเด็ค เสียบตาข่าย 1-0 สำหรับ มิลาน
พอเสียประตูไปก่อน ลิเวอร์พูลพยายามตอบโต้ทันที และมีโอกาสลุ้นสองหนติดในอีก 2 นาทีต่อมา จากการยิงไกลของ สตีเวน เจอร์ราร์ด และ ลูกโหม่งของ ซามี่ ฮูเปีย แต่ก็ยังไม่ผ่านมือ ดีด้า
รูปเกมออกมาคู่คี่ทั้งสองฝ่ายพยายามเปิดเกมเร็วแลกกัน จนถึงนาทีที่ 14 เอซี มิลาน เกือบจะได้ประตูทื่สอง เป็น ปิร์โล่ คนเดิมวางลูกเตะมุมไปที่เสาแรก ให้ เครสโป สอดขึ้นมาโขกตัดหน้ากองหลัง บอลพุ่งจะเสียบโคนเสาแรก แต่ยังมี หลุยส์ การ์เซีย ที่ยืนคุมเส้นโหม่งสกัดออกมาได้หวุดหวิด
ผ่านไป 20 นาที มิลานกลับมาตั้งเกมได้ดีอีกครั้ง ขณะที่ ลิเวอร์พูล ยังหาทางเจาะแนวรับทีมจากอิตาลี ไม่ได้ แถม แฮร์รี คีเวลล์ ยังมีอาการบาดเจ็บ เลยต้องส่ง วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ ลงมาแทน จนถึงนาทีที่ 29 อังเดร เชฟเชนโก้ ก็ส่งบอลซุกก้นตาข่ายได้สำเร็จ แต่ผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกล้ำหน้าเสียก่อน
ช่วงท้ายเกมรุกของ ลิเวอร์พูล เริ่มทำได้ดีขึ้นและในนาทีที่ 36 ก็มีโอกาส เมื่อ รีเซ่ โหม่งชงลูกโยนของ เจอร์ราร์ด ให้ หลุยส์ การ์เซีย ได้วอลเลย์ที่หน้ากรอบเขตโทษ แต่โดนไม่เต็มลูกปลิ้นออกเส้นหลังไป
พอ ลิเวอร์พูล ทำไม่ได้ ในาทีที่ 39 ก็มาพลาดเอง เป็น กาก้า กระชากบอลมาจากกลางสนาม ก่อนจะจ่ายอย่างเหนือชั้นให้ อังเดร เชฟเชนโก้ หลุดเดี่ยวเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนที่หัวหอกทีมชาติยูเครน จะหลอกอย่างใจเย็น ไหลใส่พานให้ เฮอร์นัน เครสโป ที่เติมขึ้นมาแปโล่งๆเข้าไป 2-0 ของ เอซี มิลาน
ถัดจากนั้นในนาทีที่ 44 กองกลางของ ลิเวอร์พูล ก็พลาดเสียบอล ลูกมาอยู่ที่ กาก้า เหลือบเห็น เครสโป วิ่งให้ช่อง จึงแทงไปให้อย่างแม่นยำกลายเป็นการหลุดเดี่ยวของกองหน้าทีมชาติอาร์เจนติน่า ก่อนจะชิพข้ามหัว เจอร์ซี่ ดูเด็ค ซุกก้นตาข่าย มิลาน นำห่าง 3-0 ก่อนจบครึ่งแรก
แก้หมากกลับมาเล่นกันต่อในครึ่งหลัง ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือลิเวอร์พูล ส่ง ดีทมาร์ ฮามันน์ ลงมาแทน สตีฟ ฟินแนน พร้อมกับปรับหมากมาเป็น 3-5-2 เพื่อเปิดเกมรุกอย่างเต็มสูบ เพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และในนาทีที่ 44 ชาบี้ อลอนโซ่ ได้ลองส่องไกลที่หน้ากรอบเขตโทษ บอลหลุดเสาสองออกไปนิดเดียว
หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ยังเดินหน้าบุกต่อเนื่อง แต่ มิลาน ตั้งรับได้เหนียวแน่นแถมเกมโต้กลับก็อันตราย และในนาทีที่ 50 อังเดร เชฟเชนโก้ ได้กระหน่ำฟรีคิกที่หน้ากรอบเขตโทษ ยังดีที่ เจอร์ซี ดูเด็ค ยังไวโชว์ซูเปอร์เซฟปัดออกไปได้
จากที่บุกอยู่นานในนาทีที่ 54 ลิเวอร์พูล ก็มาตีไข่แตกได้สำเร็จ เป็น ยอห์น อาร์เน รีเซ่ เติมเกมรุกขึ้นมา ก่อนจะเปิดโค้งมาในกรอบเขตโทษ ให้ สตีเวน เจอร์ราร์ด สะบัดหัวโขกเปลี่ยนทางผ่านมือ ดีด้า เสียบหน้าต่างอย่างสวยงาม สกอร์ขยับ 1-3
พอได้ประตูตีไข่แตก ลิเวอร์พูล ดาหน้าบุกแหลก และอีกเพียง 2 นาทีต่อมา ลิเวอร์พูลก็มาได้ประตูตีตื้นขึ้นมา เมื่อ วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ ลูกลักไก่ยิงไกลที่หน้ากรอบเขตโทษ บอลพุ่งผ่านมือ ดีด้า เสียบเสาสองเข้าไป 2-3 สำหรับ ลิเวอร์พูล
แล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น หลังลิเวอร์พูลยังดาหน้าบุกแหลก จนถึงนาทีที่ หงส์แดง ก็มาได้จุดโทษ ในนาทีที่ 60 เมื่อ เจอร์ราร์ด ถูก กัสตูโซ่ ทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินชี้ไปที่จุดโทษ ท่ามกลางเสียงประท้วงของนักเตะเอซี มิลาน อย่างไรก็ตาม อลอนโซ่ รับหน้าที่สังหารยิงไปติด ดิด้า แต่ก็ตามซ้ำเข้าไป ทั้งคู่กลับมาเท่ากันที่ 3-3
ลิเวอร์พูล ยังเดินหน้าบุกต่อไป และในนาทีที่ 63 รีเซ่ ได้ซัดที่ริมเขตโทษ แต่ ดีด้า ปัดเอาไว้ได้ กระนั้นก็ดีในนาทีที่ 69 มิลาน เกือบจะได้ประตูออกนำเช่นกัน เมื่อ ดูเด็ค รับบอลจากการผ่านริมเส้นของ กาก้า หลุดมือไปเข้าทาง เครสโป ได้ซัด ยังดีที่ ตราโอเร่ ยืนคุมเส้นสกัดออกมาได้
เกมรุกของ เอซี มิลาน เริ่มต่อกันไม่ติด ทำให้ ลิเวอร์พูล ครองบอลได้มากกว่า ก่อนที่ในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ราฟาเอล เบนิเตซ ตัดสินใจส่ง ฌิบริล ซิสเซ่ ลงมาแทน มิลาน บารอส ขณะที่ มิลาน ถอด เฮอร์นัน เครสโป กับ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ ออก แล้วให้ ยอน ดาห์ล โธมัสสัน และ แซร์จินโญ่ ลงมาแทน ครบ 90 นาทีเสมอกัน 3-3 ต้องต่อเวลาพิเศษ
ในช่วงต่อเวลาพิเศษ เอซี มิลาน กลับมาเป็นฝ่ายบุกเข้าหามากขึ้น และมีโอกาสลุ้นในนาทีที่ 101 เป็น ยอน ดาห์ล โธมัสสัน หลุดเข้าไปเล่นบอลในกรอบเขตโทษคนเดียว แต่จับไม่ดีลูกเลยออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย
ก่อนที่ในนาทีที่ 113 เอซี มิลาน จะส่ง รุย คอสตา ลงมาแทน เจนนาโร่ กัตตูโซ่ จนถึงนาทีที่ 117 มิลาน พลาดโอกาสได้ประตูชัยไปอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อ แซร์จินโญ่ เปิดโค้งไปในกรอบเขตโทษ ให้ เชฟเชนโก้ ซัดจ่อๆ ติด เจอร์ซี ดูเด็ค บอลยังเด้งมาเข้าทางเชว่าอีกครั้ง คราวนี้ได้ยิงจ่อๆ ทว่า ดูเด็ค โชว์ซูเปอร์เซฟป้องกันไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ ครบ 120 นาที ต้องดวลจุดโทษชี้ขาด
การดวลจุดโทษ เอซี มิลาน ชนะการเสี่ยงทางเป็นฝ่ายยิงก่อน โดยเป็น แซร์จินโญ่ ยิงข้ามคานออกไปไกล ขณะที่คนแรกของลิเวอร์พูล คือ ดีทมาร์ ฮามันน์ ยิงไปทางซ้ายมือตัวเองเสียบตาข่าย ลิเวอร์พูล นำ 1-0 คนที่สองของมิลาน ได้แก่ อันเดรีย ปิร์โล่ แปด้วยขวาไปโดน เจอร์ซี ดูเด็ค ดักทางป้องกันเอาไว้ได้ ส่วน ลิเวอร์พูล ให้ ฌิบริล ซิสเซ่ หลอกยิงดีด้าหลงทาง ลิเวอร์พูล หนีห่าง 2-0 หลังผ่านไป 2 คนแรก
คนที่ 3 ของมิลาน เป็น โธมัสสัน วิ่งเข้ามากดเต็มๆ ไม่เหลือซาก ตามมาเป็น 1-2 ด้าน ลิเวอร์พูล ให้ ยอห์น อาร์เน รีเซ่ ยิงไปทางซ้ายมือ แต่ ดีด้า พุ่งถูกทาง สกอร์ยังคงเท่าเดิม คนที่ 4 ของมิลาน มอบหน้าที่ให้กับ กาก้า ยิงเข้าไม่มีปัญหา ขณะที่ ลิเวอร์พูล คือ วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ แปเล่นมุมขวามือตัวเองเสียบตาข่าย
คนสุดท้ายของ มิลาน ให้ อังเดร เชฟเชนโก้ ลงมาสังหารเพื่อรักษาความหวัง แต่เชว่ายิงไม่เข้าติดมือ เจอร์ซี ดูเด็ค ตรงกลางประตู ส่งผลให้ "ลิเวอร์พูล" คว้าแชมป์ "ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก" ในการดวลจุดโทษ 3-2
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เอซี มิลาน - ดีด้า, คาฟู, ยาป สตัม, อเลสซานโดร เนสต้า, เปาโล มัลดินี่, อันเดรีย ปิร์โล่, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, กาก้า, เจนนาโร่ กัตตูโซ่, เฮอร์นัน เครสโป, อังเดร เชฟเชนโก้
ลิเวอร์พูล - เจอร์ซี่ ดูเด็ค, สตีฟ ฟินแนน, เจมี่ คาร์ราเกอร์, ซามี่ ฮูเปีย, ตราโอเร่, หลุยส์ การ์เซีย, สตีเวน เจอร์ราร์ด, ชาบี้ อลอนโซ่, ยอห์น อาร์เน รีเซ่, แฮร์รี คีเวลล์, มิลาน บารอส