ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2005 ได้เดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยทีมที่ได้เข้าชิงคือสโมสรฟุตบอลเก่าแก่ในยุโรปและมีผลงานในอดีตที่ครองถ้วยใบนี้กันมาแล้วทั้งคู่ ทีมแรก “หงส์แดง” ลิเวอร์พูลปีนี้เป็นสโมสรฟุตบอลเดียวจากเกาะอังกฤษที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ชนิดหักปากกาเซียน ในอดีต ทีมจาก ลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ ครองถ้วย ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีกมาแล้วถึง 4 ครั้งในปี 1977,1978,1981และ 1984 ในขณะที่ปี 1985 ลิเวอร์พูล แพ้ให้กับ ยูเวนตุส 0-1 ในปี พร้อมกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่เฮย์เซล สเตเดี้ยม จนลิเวอร์พูล ถูกยูฟ่า สั่งแบนห้ามเข้าร่วมการแข่งขันนานถึง 6 ปีเต็ม ขณะที่สโมสรจากอังกฤษก็ถูกแบนเป็นเวลาถึง 5 ปี
ด้านคู่ชิง ของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ได้แก่ เอซี มิลาน ยอดทีมจาก อิตาลี จากผลงานที่ผ่านมาในอดีต “มิลาน” คือทีมอันดับ 2 ที่ได้ถ้วยใบนี้ไปเชยชมมากที่สุดถึง 6 สมัยรองจาก รีล มาดริด ทีมดังจากสเปนที่ครองแชมป์รายการนี้สูงสุดถึง 9 สมัย โดยยุคทองของพวกเขาคือช่วงระหว่างปี 1989-1994 ที่คว้าแชมป์มาครองได้ถึงสามสมัย ซึ่งขุนพลรอสโซเนรี่ยุคนี้นำทัพโดย คาร์โล อันเลช็อตติ ยอดกุนซือที่พาทีมเข้าชิงชนะเลิศเป็นหนที่สองในสามฤดูกาลหลังสุดโดยเน้นการทำทีมที่ผสมผสานระหว่างนักเตะระดับโลกยุคปัจจุบันกับนักเตะประสบการณ์สูงได้อย่างลงตัว
หากจะไล่เรียงวิเคราะห์ฟอร์มของทั้งสองทีมแล้ว คงต้องเริ่มพิจารณาที่ "ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน เพราะเพิ่งจะเสียแชมป์ สคูเด็ตโต้ ไปให้กับ ยูเวนตุส ทำให้ อันเชล็อตติ น่าจะเน้นเป็นพิเศษกับถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายในฤดูกาลนี้ แม้จะผ่าน พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น มาแบบเลือดตาแทบกระเด็นในรอบรองชนะเลิศ แต่ในเรื่องสภาพความพร้อมของทีมไม่ต้องพูดถึง เวลานี้นักฟุตบอลทุกคนในทีม มีความพร้อม และ แข็งแกร่งทุกขุมกำลังตั้งแต่แนวรับภายใต้การบัญชาเกมของ เปาโล มัลดินี่ กองหลังจอมเก๋าที่เข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 7 เข้าให้แล้ว
แดนกลางมี อันเดรีย ปิร์โล่ มิดฟิลด์ที่ถือว่าดีที่สุดในโลกคนหนึ่งจะคุมจังหวะทั้งเกมรับและรุกพร้อมกับคอยเชื่อมเกมให้กับ กาก้า ตัวปั้นเกมอิสระที่จะคอยป้อนบอลให้กับคู่หัวหอกทั้ง อังเดร เชฟเชนโก้ และ เฮอร์นัน เครสโป นอกจากนี้ อันเชล็อตติ ยังงัดเกมจิตวิทยาออกมาใช้ โดยส่งความกดดันไปที่หัวใจสำคัญของ ลิเวอร์พูล คือกัปตันทีม สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่ถือว่ายังอ่อนประสบการณ์ในฟุตบอลระดับนี้
โดยกุนซือวัย 45 ปีแห่งทีม ปีศาจแดงดำ ออกมาให้ข่าวก่อนหน้าการแข่งขันหนึ่งสัปดาห์ว่า ต้องการได้ตัว "สตีวี่จี" มาร่วมทีมถึงขนาดยกย่องให้เป็นมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลกเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนบรรดาสื่อและนักวิเคราะห์ลูกหนังต่างมองว่าเป็นการไซโคทีมฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ทำให้จอมทัพจากลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ ไขว้เขวไปได้ไม่มากก็น้อย
หันมาพิเคราะห์ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สโมสรฟุตบอลจากพรีเมียร์ลีกส์ ที่มีแฟนบอลชาวไทยคอยลุ้นให้ได้แชมป์อยู่ไม่น้อย ภายใต้การนำทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ นายใหญ่ชาวสเปนที่เข้ามาพลิกโฉม ลิเวอร์พูล ในรูปแบบที่เน้นความเหนียวแน่นในเกมรับซึ่งการพาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยใหญ่สุดของยุโรปได้ตั้งแต่ปีแรกถือเป็นความสำเร็จที่น่าพอใจไม่น้อยแม้ผลงานใน พรีเมียร์ชิพ จะจบแค่ที่ 5 แต่ถ้า เบนิเตซสามารถพา "หงส์แดง" ครองเจ้ายุโรปสมัยที่ 5 ได้อดีตกุนซือแห่งทีม บาเลนเซีย จะกลายเป็นผู้จัดการทีมคนที่สองที่พาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ติดต่อกันถัดจาก โฮเซ่ มูรินโญ่ ที่เคยทำไว้สมัยคุมปอร์โต้
เส้นทางของลิเวอร์พูล สู่สนาม อาตาตุร์ค นั้นออกสตาร์ทได้ไม่ค่อยดีนักหลังเอาชนะ กราซ เอเค ในรอบคัดเลือกมาแบบหวุดหวิด ด้วยสกอร์ 2-1 ส่วนในรอบแบ่งกลุ่มต้องลุ้นจนถึงนัดสุดท้ายก่อนที่ เจอร์ราร์ด จะยิงประตูในช่วงสำคัญพาทีมผ่านเข้ารอบน๊อกเอาท์ในฐานะรองแชมป์กลุ่มแต่หลังจากนั้นพลพรรค "เร้ด แมชีน" ทำผลงานได้อย่างสุดยอด สามารถผ่านทั้ง ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น, ยูเวนตุส และ เชลซี โดยเฉพาะ หลุยส์ การ์เซีย ที่ฟอร์มเข้าฝักแบบเหลือเชื่อเหมาคนเดียว 5 ประตู
ทางด้านขุมกำลัง ลิเวอร์พูล ก็ถือว่าปึ้กไม่น้อยหน้าทีมจากอิตาลี โดยแนวรับประกอบไปด้วย ซามี่ ฮูเปีย และ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ที่เป็นหัวใจสำคัญ ส่วนแผงมิดฟิลด์ 5 คน ซาบี้ อลอนโซ่ กองกลางคนสำคัญจะพ้นโทษแบนกลับมาลงสนามบัญชาเกมรับคู่กับ ดีทมาร์ ฮามันน์ ในเกมนี้ส่วน เจอร์ราร์ด จะเป็นตัวฟรีคอยวิ่งขึ้นวิ่งลงรับบทบาททั้งตัวรุกและรับโดยมี ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ และ การ์เซีย คอยเดินเกมริมเส้นและหาจังหวะสอดขึ้นไปทำประตู
ส่วนตำแหน่งหัวหอกตัวเป้า ฌิบริล ซิสเซ่ กองหน้าที่เจ็บไปนานเนื่องจากอาการขาหักตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมาน่าจะเบียด มิลาน บารอส ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงหลังจากเคาะสนิมในเกมลีกนัดสุดท้ายด้วยเหมาสองประตูพาทีมดับ แอสตัน วิลล่า แต่ที่น่าเสียดายคือดาวยิงประสบการณ์สูง เฟอร์นานโด มอริเอนเตส ผู้เล่นคนเดียวในทีม ลิเวอร์พูล ที่เคยสัมผัสแชมป์ใบนี้มาแล้วถึง 3 ครั้งกับ รีล มาดริด จะติด คัพไทลงสนามไม่ได้ไม่เช่นนั้นทีมจะมีซูเปอร์ซัปชั้นดีเอาไว้คอยพลิกสถานการณ์อีกหนึ่งคน
ลิเวอร์พูล ผ่านรอบแบ่งกลุ่มมาอย่างกระท่อนกระแท่นซึ่งว่ากันว่าทีมแบบนี้แหละที่จะเป็นแชมป์และหากจะล้ม มิลาน ได้ก็คงไม่แปลกเพราะในปี 1981 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจบแค่อันดับที่ 5 ในลีกแต่กลับครองเจ้ายุโรปด้วยการล้มทีมเต็งอย่าง รีล มาดริด ซึ่งแน่นอนสาวก "เดอะค็อป" ต่างหวังว่าสิ่งนี้จะเป็นลางดีที่ทีมจะกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง