xs
xsm
sm
md
lg

“ดร.ปณิธาน” ชี้ “ไทย”ต้องเร่งเผด็จศึก“กัมพูชา” ก่อนถูก “โดนัลด์ ทรัมป์” บีบให้เปิดเจรจา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“รศ.ดร.ปณิธาน”แนะกองทัพรีบปิดเกม จัดการ“กัมพูชา”ให้สิ้นสภาพ ก่อนที่ประเทศมหาอำนาจจะเข้ามาแทรกแซงและกดดันให้เปิดการเจรจาหยุดยิง เข้าทางเขมรที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ ขณะที่“รัฐบาลอนุทิน”ต้องชิงดำเนินการทางการทูต ชี้ให้นานาชาติเห็นว่าแม้ไทยมีศักยภาพทางทหารสูงกว่า แต่ไม่ได้รบเต็มกำลังเพราะต้องการจำกัดการสูญเสีย ชี้ เมื่อถึงเวลาเจรจาไทยควรยื่นข้อเสนอที่นำไปสู่สันติภาพระยะยาว พร้อมหนุนปฏิบัติการถล่มกาสิโน เหตุ จำเป็นต้องตัดท่อน้ำเลี้ยงของกองกำลังกัมพูชา เตือน ! เฝ้าระวังหน่วยสอดแนมเขมร

เป็นไปตามคาด หลังปฏิบัติการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชาผ่านไปได้ไม่กี่วัน “นายโดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ออกมาประกาศว่าจะเป็นคนกลางในการเจรจาให้ไทยและกัมพูชายุติการสู้รบ ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าการที่มหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงเช่นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชา และการหยุดยิงทันทีจะทำให้ไทยเสียเปรียบเหมือนกรณีเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันหากไทยไม่ดำเนินการตาม ทรัมป์ก็อาจใช้มาตรการทางภาษีเข้ามาบีบไทยให้ยอมจำนน

สถานการณ์เช่นนี้ไทยควรตัดสินใจไปในทิศทางใด คงต้องไปฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านดวามมั่นคง

รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ชี้ว่า ไทยต้องทำทุกอย่างให้ชัดเจนและเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก่อนที่ประเทศมหาอำนาจจะเข้ามาแทรกแซง ซึ่งตอนนี้ทั้งสหรัฐฯ ฝรั่งเศส รวมถึงองค์การสหประชาชาติ(UN)ก็เริ่มขยับแล้ว เชื่อว่าหลังจากนี้อาจจะมีการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชาเพื่อซื้อเวลาไม่ให้ประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซง ซึ่งครั้งนี้การที่สหรัฐฯขยับช้าทั้งที่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาเป็น 1 ใน 8 ประเด็นความขัดแย้งที่สหรัฐฯระบุไว้ในหน้าแรกของแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ของสหรัฐฯนั้น ก็น่าจะเป็นผลจากการเจรจาทั้งทางตรงทางอ้อมของรัฐบาลไทย ซึ่งรัฐบาลไทยสามารถทำให้มหาอำนาจเห็นว่าเราพยายามจำกัดขอบเขตการสู้รบเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสีย โดยสื่อสารไปยังกัมพูชาว่าไทยกำหนดขอบเขตการสู้รบ อาจจะเป็น 30 กิโลเมตร หรือ 50 กิโลเมตรจากแนวชายแดน อีกทั้งขณะนี้ไทยยังไม่ได้ปฏิบัติการเต็มรูปแบบแต่เป็นการใช้กำลังเพื่อขู่ให้กัมพูชาหยุดรุกรานไทย ซึ่งถ้าคำขู่ได้ผลก็จะนำไปสู่การเจรจาสงบศึก

“ แม้ศักยภาพของกองทัพไทยจะเหนือกว่ากัมพูชาแต่ยังใช้ได้ไม่เต็มที่ ไทยเป็นประเทศใหญ่และวางระบบการทหารแบบเปิดเผย ขณะที่กัมพูชาวางระบบทหารแบบสงครามกองโจร เป็นกลุ่มก่อการร้ายของรัฐ ซึ่งมีความยืดยุ่นกว่าไทย เขาสามารถใช้ท่อน้ำเลียงจากเงินนอกระบบ มีการนำเสนอข่าวสารที่รวดเร็วกว่าไทย กัมพูชาจึงมองว่าเขายังยืนระยะได้อยู่ แต่เมื่อพบว่าเขากำลังจะเพลี่ยงพล้ำกัมพูชาก็พยายามเจรจา ที่สำคัญเขาใช้ประโยชน์จากการเป็นประเทศที่เล็กกว่า ศักยภาพทางทหารน้อยกว่า เพื่อสร้างภาพว่ากัมพูชาเป็นเหยื่อ และเสนอผลประโยชน์ให้ต่างชาติเพื่อแลกกับการที่ต่างชาติเข้ามาช่วยเจรจา ซึ่งหลายประเทศก็สมประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส หรือมหาอำนาจบางประเทศ ” รศ.ดร.ปณิธาน กล่าว

รศ.ดร.ปณิธาน ระบุว่า การเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชาจะเป็นจังหวะสุดท้ายหลังจากการสู้รบไปถึงจุดที่เห็นชัดว่าใครได้เปรียบเสียเปรียบ ฝ่ายที่เสียเปรียบก็ต้องยอมรับเงื่อนไขในการเจรจา เราจึงต้องจัดการทุกอย่างให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดก่อนที่จะมีการเจรจา และเมื่อมีการเจรจาไทยก็ต้องยื่นข้อเสนอที่จำเป็นต่อการสร้างสันติภาพในระยะยาว อีกทั้งต้องระมัดระวังในการบริหารจัดการเพราะถ้าบริหารผิดพลาดอาจจะเกิดสงครามตัวแทน มีการสร้างภาพว่ามีการละมิดสิทธิมนุษยชน ทำให้กัมพูชาได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติมากขึ้น โดยเราต้องนำองค์ประกอบที่เราได้เปรียบมาจัดระเบียบโดยนำเรื่องเข้าสู่สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)เพื่อพิจารณาว่าปัจจัยใดที่ไทยได้เปรียบและเร่งผลักดันเรื่องนั้น เช่น เราได้เปรียบด้านศักยภาพทางการทหารแต่เรายังประกอบกำลังในรูปแบบใหม่ได้ช้าก็ต้องปรับตรงนี้ การสื่อสารกับนานาชาติเราได้เปรียบด้านเทคโนโลยีแต่ยังขาดความเป็นเอกภาพเราก็ต้องไปจัดระเบียบการสื่อสารให้มีเอกภาพมากขึ้น


อย่างไรก็ดี “รศ.ดร.ปณิธาน” เชื่อว่า การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชาไม่น่าจะจบแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ง่ายๆ เพราะการจะจัดการกัมพูชาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้นั้นหมายถึงกองทัพไทยต้องทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพการเป็นภัยคุกคามทางด้านการเมืองและอำนาจสั่งการทางการทหาร ซึ่งการจัดการที่ตั้งทางการทหารตามแนวชายแดนกัมพูชาเพียงอย่างเดียว หรือการกำจัดยุทโธปกรณ์ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในกัมพูชาแค่ไม่กี่เมตรนั้น ไม่สามารถทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพทั้งหมดได้ แต่ในทางกลับกันกัมพูชาอาจจะประกอบกำลังและพยายามแก้แค้นเอาคืนไทยมากขึ้นก็เป็นได้ ยกเว้นว่าจะมีการเจรจาต่อรองกันมากขึ้น ขณะเดียวกันความขัดแย้งเรื่องเขตแดนและความไม่เป็นมิตรต่อกันจะเป็นเชื้อความขัดแย้งที่นำไปสู่ภัยคุกคามระลอกใหม่ได้ แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็อีกเรื่องหนึ่ง

ทั้งนี้โดยส่วนตัวเชื่อว่าการที่ พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก กล่าวว่ากองทัพบกจะทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหารนั้นน่าจะหมายถึงกัมพูชาสิ้นสภาพภัยคุกคามต่อไทยในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนที่มีการสู้รบกันอยู่ และไทยสามารถยึดคืนพื้นที่ที่กัมพูชายึดไปกลับคืนมาได้ รวมถึงผลักดันชาวกัมพูชาที่เข้ามายึดแผ่นดินไทยออกไป ทำให้ทหารไทยสามารถกเก็บกู้ทุนระเบิดได้อย่างปลอดภัยและสามารถวางแนวต้านทหารกัมพูชาได้

ส่วนกรณีที่กองทัพยิงถล่มกาสิโนหลายแห่งของกัมพูชานั้น “รศ.ดร.ปณิธาน” มองว่า เป็นปฏิบัติการทางทหารที่เหมาะสมและจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากชั้นใต้ดินของกาสิโนบางแห่งในกัมพูชาถูกใช้เป็นห้องปฏิบัติการทางทหารในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ใช้สะสมกำลัง ใช้เป็นโรงพยาบาลทหาร จึงเป็นเป้าหมายทางการทหารที่ไทยต้องจัดการ แต่ข้อสำคัญคือในการโจมตีของกองทัพนั้นจะทำอย่างไรให้พลเรือนปลอดภัยซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับกองทัพไทย จึงต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ อาจจะต้องมีการแจ้งเตือนก่อนเพื่อให้กัมพูชาอพยพพลบเรือนออกไปก่อน แต่ก็คงจะยากเพราะกองทัพกัมพูชาต้องการใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ดังนั้นหากพบว่ามีพลเรือนอยู่ในกาสิโนเราก็อาจจะเปลี่ยนไปโจมตีหน่วยสนับสนุนอาวุธของกองทัพกัมพูชาแทน

อย่างไรก็ดี กาสิโนถือเป็นเป้าหมายที่กองทัพไทยต้องทำลายเพราะเป็นท่อน้ำเลี้ยงสำคัญของกองทัพกัมพูชา เป็นแหล่งเงินที่ใช้ในการจัดหาอาวุธยุทโปกรณ์ อีกทั้งยังเป็นแหล่งส่องสุมของหน่วยสนับสนุนทั้งครูฝึกทางทหารและนักรบรับจ้างเพราะคนเหล่านี้ไม่สามารถอยู่ในค่ายทหารได้ รวมถึงเป็นแหล่งส่องสุมกำลังอาวุธ ซึ่งถ้าไทยมีหลักฐานที่สามารถอธิบายกับนานาชาติได้ก็มีความชอบธรรมที่จะโจมตีกาสิโนดังกล่าว และนอกจากทำลายแหล่งกาสิโนแล้วไทยยังจำเป็นต้องตัดการส่งยุทธภัณฑ์ที่ถูกส่งไปจากไทย เช่น การลักลอบส่งน้ำมันไปทางทะเล เพราะหากขาดแคลนพลังงานกัมพูชาก็จะรบได้ไม่นาน ซึ่งล่าสุดก็ชัดเจนว่ากองทัพเรือได้เข้าไปปิดเส้นทางการขนส่งดังกล่าวแล้ว ส่วนปัญหาเรื่องหน่วยสอดแนมของกัมพูชาที่อาจแฝงตัวเข้ามาในคราบของแรงงานหรือนักท่องเที่ยวก็เป็นหน้าที่ของตำรวจสันติบาลที่จะต้องเฝ้าระวัง รวมถึงประชาชนทั่วไปที่ต้องช่วยกันดูแลสอดส่อง เป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ด้วย

“ ถ้าไทยสามารถปิดท่อน้ำเลี้ยงและแหล่งเงินที่สนับสนุนอาวุธให้กัมพูชาได้ หรือเจรจากับประเทศที่มีอิทธิพลต่อกัมพูชาอย่างประเทศจีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เวียดนาม สิงคโปร์ ให้ดำเนินมาตรการกดดันก็จะทำให้กัมพูชาอ่อนแรงลง และยอมเจรจาแบบทวิภาคีกับไทย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่กระทรวงการต่างประเทศต้องดำเนินการ อีกทั้งการที่กองทัพไทยยิงทำลายตึกกาสิโนในกัมพูชาเพื่อทำลายท่อน้ำเลี้ยงของกองทัพเขมรก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไทยต้องทำเพื่อสร้างความสมดุลในการทำสงคราม เพราะเงินดังกล่าวถูกนำมาใช้ทำสงครามการข่าวและจัดซื้ออาวุธเพื่อทำสงครามกับไทย แต่ก็ต้องดำเนินการในระดับที่พอเหมาะพอควร ” รศ.ดร.ปณิธาน ระบุ

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j



กำลังโหลดความคิดเห็น