ถึงยุคธุรกิจการศึกษาเข้าคิวเจ๊ง เหตุเด็กเกิดน้อย สถิติเด็กเกิดใหม่รอบ10 ปี ตั้งแต่ปี 2557-2567 ลดลงจากปีละ 7 แสน เหลือแค่ 4 แสนคน แถมเผชิญเศรษฐกิจโตต่ำไม่ถึง2% ผู้ปกครองติดหนี้ค่าเทอม ด้าน‘ดร.ศุภเสฏฐ์ คณากูล’นายกสมาคม ส.ปส.กช.คาดโรงเรียนเอกชน อนุบาล ประถมมัธยม ปี2569 จ่อปิดอีก 40 แห่ง ตามติด ‘ไผทอุดมศึกษา’ขณะที่ รร.นานาชาติ กลับได้รับความนิยม เปิดเพิ่มอีก 20 แห่งรองรับคนมีเงิน จ่ายค่าเทอม 7 หลัก ระบุรุ่นลูก รุ่นหลาน คิดต่างรุ่นปู่ ย่าบริหารโรงเรียนแบกขาดทุน‘ขายที่ดิน’ ดีกว่าส่วน รร.ที่อยู่ต่อ เลือกพลิกโฉมเป็นโรงเรียนหลักสูตร‘EP –TRILINGUAL’ลดขนาดรับเฉพาะคนมีกำลังจ่ายค่าเทอมที่สูงขึ้นแต่ถูกกว่านานาชาติ มั่นใจอีกไม่นานมหาวิทยาลัยกระทบแน่แจงอีก 10 ปี โรงเรียนเอกชนปิดกิจการอีกกว่าพันแห่ง!
ส่องการศึกษาไทยในยุคที่เด็กเกิดน้อย ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจการศึกษาตั้งแต่เข้าเรียนช่วงชั้นอนุบาล ประถม มัธยม และในอนาคตจะนำไปสู่ระดับมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ตัวเลขอัตราการเกิดจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (มกราคม 2557-ธันวาคม 2567) อัตราการเกิดมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ในปี 2557 มีอัตราการเกิด 776,370 คน ในปี 2563-2566 ลดลงมาอยู่ในระดับ 500,000 คน และในปี 2567 มีเด็กเกิดใหม่เพียง 462,240 คน ซึ่งถือว่าต่ำกว่า 500,000 คนเป็นครั้งแรก ส่วนในปี 2568 ตั้งแต่มกราคม-สิ้นเดือนพฤศจิกายน มีอัตราเกิดเพียง 381,136 คน
หากนำอัตราการเกิดของเดือนธันวาคม 2566 มีอัตราการเกิด 40,973 คน หรือในเดือนธันวาคมปี 2567 ที่มีอัตราการเกิดอยู่ที่ 36,448 คน ก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าในปี 2568 ทั้งปีน่าจะมีอัตราการเกิดอยู่ที่ 420,000-430,000 คนซึ่งลดลงจากปี 2567
เมื่อโครงสร้างของประชาชนเปลี่ยนแปลงมีประชากรเกิดน้อย และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในยุคโตต่ำ คาดเติบโตร้อยละไม่ถึง 2 หรือประมาณ 1.6-1.8 เท่านั้น อีกทั้งโรงงานต่าง ๆ ทยอยปิดกิจการ คนงานถูกเลิกจ้างมหาศาลย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจการศึกษาอย่างรุนแรง เราจึงได้เห็นโรงเรียนเอกชนทยอยกันเจ๊ง ปิดกิจการทั่วประเทศ
ล่าสุดใน กทม.มี 3 โรงเรียนดังและเก่าแก่กว่า 50 ปี และยังเป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนไผทอุดมศึกษา โรงเรียนอุดมศึกษาลาดพร้าว และโรงเรียนถนอมพิศวิทยา ได้ประกาศเลิกกิจการอย่างเป็นทางการ โดยจะมีผลตั้งแต่ปีการศึกษา 2569 เป็นต้นไป
ดร.ศุภเสฏฐ์ คณากูล นายกสมาคมคณะกรรมการประสานงานและส่งเสริมการศึกษาเอกชน (ส.ปส.กช.) บอกว่าช่วงโควิดโรงเรียนเอกชน ตั้งแต่อนุบาล-ประถม-มัธยมและอาชีวะ ก็เผชิญกับภาวะวิกฤตและหลายแห่งก็เลือกที่จะปิดกิจการ กระทั่งครั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่าจำนวนเด็กที่จะเข้าสู่วัยเรียนมีจำนวนน้อยลง ซึ่งมีผลจากอัตราการเกิดของเด็กลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเรามีโรงเรียนระดับอนุบาล ประถม มัธยม ที่เป็นสายสามัญกับโรงเรียนนานาชาติทั่วประเทศจำนวน 4,000 กว่าแห่ง แต่ทยอยปิดกิจการไปประมาณร้อยละ 1-1.5 หรือประมาณ 40-60 แห่ง
“ทั้ง 3 โรงเรียนใน กทม. เป็นโรงเรียนคุณภาพทั้งไผทอุดมศึกษา อุดมศึกษาลาดพร้าว และถนอมพิศวิทยา ส่วนในต่างจังหวัดก็ทยอยปิดอีกหลายแห่ง ปัญหาเกิดจากเด็กลดลงจริง ๆ ซึ่งกระทบทั้งโรงเรียนรัฐและเอกชน แต่โรงเรียนรัฐ จะยุบเป็นเรื่องที่ยากมาก แม้จะมีเด็กไม่กี่คนหรือไม่มีเด็กเรียนก็ยังยุบไม่ได้ ถ้าจะยุบก็ต้องใช้เวลา”
ในส่วนของโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ ก็มีการหารือกัน หากผู้บริหารเห็นว่าเปิดกิจการต่อไปไม่ไหว ก็ไม่ควรจะฝืนดำเนินการต่อไป เพราะหากเราฝืนไม่กล้าจะปิดกิจการทั้งที่แบกภาระต่อไปไม่ไหว ขณะที่รัฐบาลก็อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถสนับสนุนโรงเรียนเอกชนได้เต็มที่ ขนาดโรงเรียนรัฐบาล ยังเอาตัวไม่รอด อย่างโรงเรียนไผทอุดมศึกษา ที่เพิ่งจะประกาศปิดกิจการ ในกลุ่มพวกเราก็รู้กันมาระยะหนึ่งว่าจะต้องมาถึงวันที่แบกภาระไม่ไหว ในที่สุดก็ต้องปิดกิจการ
“2 ปัญหาหลักที่โรงเรียนเอกชนต้องปิดกิจการ คือเด็กนักเรียนลดลงมาก ๆ จากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป และยังไม่สามารถเก็บค่าเล่าเรียนจากผู้ปกครองได้ แม้จะให้ผ่อนชำระค่าเรียนแล้วก็ตาม เพราะผู้ปกครองก็ประสบภาวะเศรษฐกิจเช่นกัน ซึ่งโรงเรียนและผู้ปกครองก็พยายามสู้แต่มันแบกภาระไม่ไหวจริงๆ ไผทอุดมศึกษาก็เจอปัญหานี้เช่นกัน”
ขณะเดียวกันโรงเรียนเอกชนหลายแห่งปิดกิจการเพราะเจ้าของหรือผู้บริหารโรงเรียนมีการเปลี่ยนจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งรุ่นลูก รุ่นหลาน ก็ไม่ต้องการมาแบกภาระการขาดทุนซึ่งไม่เห็นอนาคตจากจำนวนเด็กที่น้อยลง อีกทั้งวิธีคิดของรุ่นปู่ รุ่นย่า ต่างคิดว่าผู้ปกครองจะติดค่าเทอมไปก่อนไม่เป็นไร ขอให้เด็กมีโอกาสได้เรียนไปก่อน เพื่อให้อนาคตกับเด็ก
“เมื่อกิจการเปลี่ยนมาสู่เจเนอเรชันใหม่ วิธีคิด วิธีจัดการจะมุ่งมั่นในเรื่องของธุรกิจพอสมควร คือรุ่นนี้ต้องการทำการศึกษาที่ดี มีคุณภาพ แต่ทำแล้วเงินไม่เข้า จะทำไปทำไม บางคนก็เลือกขายที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งโรงเรียนไปเลยดีกว่า สมมุติที่ตั้งโรงเรียนมี 20 ไร่ ไร่ละ 20 ล้าน ขายได้ 400 ล้านบาท หากทำโรงเรียนเมื่อไหร่จะได้ 400 ล้านบาท แต่ถ้าจะยังฝืนทำคือ เขาต้องรักจริง ๆ”
อีกทั้งต้องไม่ลืมว่าที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งโรงเรียนเอกชน ล้วนแต่อยู่ในทำเลที่ดีและน่าสนใจ ติดถนนใหญ่ทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น 3 โรงเรียนดังที่ปิดการใน กทม.เรียกว่าเป็นที่ดินทำเลทอง คือติดถนนลาดพร้าว, ติดถนนวิภาวดี เมื่อเขาปิดกิจการไปแล้วหากมีการขายที่ดินเกิดขึ้นราคาจะตกตารางวา หรือไร่ละเท่าไหร่
ดร.ศุภเสฏฐ์ บอกอีกว่า ที่เราเห็นว่าโรงเรียนเอกชนเด็กลดลงและมีการปิดกิจการช่วงนี้ประมาณ 40-60 แห่ง แต่พบว่ายังมีโรงเรียนเปิดใหม่และเติบโตอีก 20 กว่าแห่งทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดคือโรงเรียนนานาชาติ ที่มีจำนวนนักเรียนเพิ่มเป็นหลักหมื่นคน โดยเฉพาะผู้ปกครองที่มีศักยภาพจะนิยมส่งลูกไปเรียนนานาชาติ เป็นหลักสูตรอินเตอร์เต็มรูปแบบและค่าเทอมก็อยู่ในระดับ 7 หลัก
ตรงนี้สอดคล้องกับที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้มีการนำเสนอไว้ว่าในปี 2568 ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทยโต 9.7% ชะลอตัวจากปีก่อนหน้าเล็กน้อยจากจำนวนโรงเรียนนานาชาติที่เปิดใหม่ 8 แห่ง น้อยกว่าที่เปิดในปี 2567 อยู่ 5 แห่ง และยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไปสู่นอกกรุงเทพฯ มากขึ้น เนื่องจากพื้นที่ที่จำกัดและการแข่งขันที่สูงในเมืองหลวงไปยังพื้นที่เชียงใหม่ ระยอง ภูเก็ต และภาคกลาง
นอกจากนี้ความนิยมหลักสูตรนานาชาติที่ทันสมัยยังคงหนุนการเติบโตของธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในไทย โดยผู้ปกครองที่มีศักยภาพ การลงทุนด้านการศึกษายังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนจากการที่จำนวนคนไทยที่มีทรัพย์สินมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์คาดว่าจะเพิ่ม 24% ในปี 2566-2571
นายกสมาคม ส.ปส.กช. บอกด้วยว่า คาดว่าในปี 2569 จะมีการปิดอีก 1% ของจำนวนโรงเรียนเอกชนที่มีอยู่คือประมาณ 40 โรง แต่ก็จะมีการเปิดโรงเรียนเอกชนเพิ่มใหม่อีก 10 แห่ง แต่จะเน้นเป็นหลักสูตร EP หรือ English Program คือหลักสูตรที่จัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ โดยยกเว้นบางวิชาที่เน้นความเป็นไทย ขณะที่ตึกเรียนและภูมิทัศน์ของโรงเรียนก็จะเน้นความสวยงามที่ผู้ปกครองต้องพร้อมจ่ายเช่นกันกระจายอยู่ในต่างจังหวัด
อย่างไรก็ดี โรงเรียนเอกชนที่จะอยู่รอดได้นั้นในส่วนของสมาคมฯ ได้มีการหารือกันกับผู้บริหารโรงเรียนทั่วประเทศ เชื่อว่าถ้าจะสู้ต่อต้องมีการพลิกโฉมใหม่ คือต้องมีการปรับภาพลักษณ์ ปรับคุณภาพครูผู้สอนและไม่ต้องเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ แต่ต้องเป็นโรงเรียนที่สามารถเก็บค่าเทอมได้
“ต้องรีโนเวตให้สถานที่เรียนดูสวยงาม บ่งบอกว่า นี่คือโรงเรียนทันสมัย ครูก็ต้องทันสมัย ปรับเปลี่ยนสื่อการเรียนการสอน พัฒนาเครื่องมือ ใช้ AI เข้ามาช่วยในการสอน ส่วนผู้เรียนก็จะรู้ว่า เรียนที่นี่ได้อะไร แตกต่างจากที่อื่นอย่างไร จึงต้องมีคำตอบให้ผู้ปกครองและผู้เรียนชัดเจน”
สำหรับขนาดของโรงเรียนไม่จำเป็นต้องเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ ที่มีปริมาณนักเรียนมาก แต่มีคนค้างค่าเทอมเป็นจำนวน 2,000-3,000 คน เราก็ต้องลดขนาดลงมารับนักเรียนเฉพาะคนที่จ่ายได้ ซึ่งปริมาณครูก็ต้องเป็นไปตามสัดส่วนของประชากรนักเรียนนั่นเอง
“ปรับแบบนี้ก็เพื่อให้โรงเรียนเอกชนอยู่ได้ สู้กันไป ถ้าไม่สู้ก็ต้องเลิกกิจการ หลายแห่งพยายามปรับเพราะผู้ปกครองต้องการในการเรียนระดับสามัญและยอมเสียค่าเรียนแพงขึ้น ทั้งเป็นหลักสูตร EP และหลักสูตร TRILINGUAL หรือหลักสูตร 3 ภาษา ที่เน้นการเรียนการสอน 3 ภาษา คือ ภาษาไทย อังกฤษ และภาษาจีน โรงเรียนประเภทนี้ ครอบครัวระดับกลางขึ้นไปก็ยังสู้ค่าเทอมไหวเมื่อเทียบค่าเทอมกับโรงเรียนนานาชาติ”
ที่สำคัญในกิจการโรงเรียนเอกชนนั้น เรายังต้องคาดการณ์ต่อว่าถ้าเรายังอยู่ต่อไปค่าใช้จ่ายที่จะตามมาเพราะจำนวนนักเรียนลดลง ค่าธรรมเนียมในการศึกษาเราเก็บได้เท่าไหร่ ซึ่งเราจะพบว่าต้นทุนสูงมากทั้งเรื่องของค่าจ้างครูผู้สอน และยังต้องเตรียมเงินเกษียณที่ต้องมอบให้ครูแต่ละคนตามกฎหมายขั้นต่ำ 300,000-400,000 บาท บางคนก็เป็นล้านบาท แต่ถ้าเราปิดกิจการตอนนี้ก็ต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย เวลานี้ครูเอกชนในระบบมีประมาณ 109,000 คน และยังมีครูนอกระบบอีก ซึ่งถ้าไม่เลิกกิจการครูอยู่ได้ แต่เจ้าของกิจการอยู่ไม่ได้
“เมื่อปิดกิจการ ครูที่อายุยังน้อย มีโอกาสไปหางานใหม่ได้ เปลี่ยนอาชีพไม่ต้องเป็นครูก็ได้ แต่ครูที่อยู่นาน ๆ จะลำบาก ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เวลานี้ที่โคราชกำลังจะปิดกิจการอีก 2 แห่งคือ ที่ อ.โนนสูงและ อ.เมือง หากโครงสร้างประชากรยังเป็นเช่นนี้ จากการปิดกิจการระดับอนุบาล ประถม มัธยม อาชีวะ ต่อไปก็กระทบระดับมหาวิทยาลัยแน่เพราะไม่มีคนไปเรียน สมาคมก็เคยหารือกับ ม.ราชภัฏก็เห็นๆ ปัญหากันอยู่นะ”
ดร.ศุภเสฏฐ์ ย้ำว่า คาดการณ์กันว่าประมาณ 10 ปีข้างหน้า โรงเรียนเอกชนอาจจะมีการปิดกิจการอีก 1,000 แห่ง เช่นที่นครราชสีมา มีอัตราการเกิดที่ต่ำสุด ขณะที่ผู้ปกครองต้องการคุณภาพการศึกษาที่ดี แต่ไม่อยากจ่ายแพง ทุกอย่างมันสวนทางทำให้ธุรกิจการศึกษาเอกชนรอดยาก และในส่วนของโรงเรียนเอกชนที่ อ.หาดใหญ่กว่า 60 แห่งที่ถูกน้ำท่วม และในจังหวัดตรัง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ทางสมาคมฯ จะลงไปดูพื้นที่และให้แต่ละโรงเรียนสรุปความเสียหายและความต้องการให้สมาคมฯ ประสานขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างไร เพราะคาดว่าแต่ละแห่งเสียหายขั้นต่ำ 20-30 ล้านบาท!
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


