xs
xsm
sm
md
lg

‘3ปัจจัย’ บวกนายกฯ ฝึกหัด ทำให้หาดใหญ่วิกฤต หวั่นนราธิวาสเจอน้ำมาเลย์ซ้ำเติมสาหัสเท่าหาดใหญ่!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผศ.ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำจาก ม.เกษตรฯ ชี้วิกฤตเมืองหาดใหญ่ เกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัยหลัก ที่สำคัญสุด เกิดจาก‘ความอ่อนด้อย’ภายในของเราเอง ระบุ 2นายกฯ ไม่ว่าจะเป็น ‘อิ๊งค์และอนุทิน’ ล้วนแต่เป็นนายกฯ ฝึกหัดในการสั่งการเรื่องโครงสร้างน้ำขณะที่หน่วยงานจัดการเรื่องน้ำทั้ง‘สทนช.-กรมอุตุ’ อยู่ในยุคสุญญากาศเจอวิกฤตหาดใหญ่จึงไปไม่ถูกติงการเมืองเลิกล้วงลูกในองค์กรแก้ปัญหาน้ำได้แล้ว เพราะรัฐต้องรับมือกับโลกใหม่ที่โหดร้ายมากขึ้นทั้ง‘เอลนิโญ ลานีญา’ให้ได้ พร้อมยกระดับใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยให้ทุกอย่างแม่นยำ
มั่นใจศุกร์ที่ 28 พ.ย.หาดใหญ่จะดีขึ้น แนะเตรียมรับมือกับ‘นราธิวาส’ มีโอกาสท่วมหนักคล้ายหาดใหญ่
เพราะน้ำจะข้ามพรมแดนจากมาเลย์เข้ามาซ้ำเติมสัปดาห์หน้า!


ข่าววิกฤตมหาอุทกภัยน้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย. ต่อเนื่องไปถึง 5 วัน ทำให้สังคมไทยได้เรียนรู้ถึงวิกฤตที่ซับซ้อนเกิดขึ้น และสะท้อนให้เห็นถึงการจัดการของรัฐไทยในการแก้ปัญหาซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำใช้คำว่า ‘ความอ่อนด้อย’ ภายในของเราเอง จนนำมาซึ่งความสูญเสีย ความโศกเศร้า หดหู่ของผู้ประสบภัยจากเสียงร้องโหยหวนขอความช่วยเหลือซึ่งใครได้เห็นภาพในจอทีวีและสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ล้วนเจ็บปวดและน้ำตาไหลรินโดยไม่รู้ตัวได้เช่นกัน

ทั้งที่ความจริงเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ไม่ควรมาถึงจุดนี้ แต่ก็อยากให้การแก้ปัญหาของหาดใหญ่ เป็นโมเดลในการรับมือที่คาดว่าจังหวัดนราธิวาสจะมีสถานการณ์น้ำเหมือนกับหาดใหญ่เพราะจะมีน้ำข้ามพรมแดนจากมาเลย์ทะลักมาที่นี่แน่นอน

ผศ.ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำ และอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ บอกถึง ‘วิกฤตมหันตภัยน้ำหาดใหญ่’ ที่เกิดขึ้นเริ่มมาจาก

ประเด็นแรก ฝนตกหนักทั้ง 2 รอบ รอบแรกช่วงวันที่ 19 พ.ย.ฝนตกหนักใส่เขตเมืองหาดใหญ่โดยตรง และที่สาหัสสุดก็คือน้ำจากพื้นที่เขาคอหงส์ไหลเข้าสู่เมืองหาดใหญ่โดยตรงวันละปริมาณน้ำเกือบ 200มิลลิเมตร

ขณะเดียวกันฝนหนักรอบที่ 2 คือช่วงวันที่ 21 พ.ย. ปริมาณน้ำฝนที่ตกหนักไปแตะที่เกือบ 350- 400 มิลลิเมตร ถือเป็นปริมาณฝนที่ตกหนักในรอบ 300 ปี ซึ่งเป็นที่รับรู้และน่าจะพอคาดการณ์กันได้ เพราะในรอบวันที่ 21 พ.ย.มีน้ำฝนที่ไหลมาจาก อ.สะเดาและคลองหอยโข่ง มารวมกันที่ตัวเมืองหาดใหญ่

“จากข้อมูลรู้อยู่แล้วว่าทางใต้น้ำจะท่วม สิ่งที่เราไม่รู้คือน้ำจะเยอะและฝนจะตกหนักขนาดนี้ แต่รู้ว่าน้ำจะมาเร็วจริง แต่ถ้าเราคาดการณ์ได้ เราจะลดความเสียหายได้ดีกว่านี้ ตรงนี้เป็นเรื่องจุดอ่อนของการคาดการณ์ของเราโดยตรง

รวมทั้งน้ำที่ อ.สะเดา เป็นปัญหาจากการขาดการประมวลการวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งที่เราก็รู้ว่ากว่าน้ำจาก อ.สะเดาจะมาต้องใช้เวลาเป็นวัน ดังนั้นการที่น้ำฝนจาก อ.สะเดามาซ้ำเติมตัวเมืองหาดใหญ่นั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลควรจะรู้และวิเคราะห์ได้ ไม่ควรจะรู้อะไรที่ฉุกละหุกแบบนี้”




ผศ.ดร.สิตางศุ์ ย้ำว่า หากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับน้ำ สามารถประเมินได้ว่า น้ำจาก อ.สะเดาที่มีฝนตกขนาดนี้ ซึ่งต้องใช้เวลาในการจะไหลมาสู่ตัวเมืองหาดใหญ่ ส่งผลให้น้ำท่วมที่เมืองหาดใหญ่จะหนักขนาดไหน นั่นหมายถึงเมืองหาดใหญ่จะมีน้ำท่วมสูงขึ้นอีกกี่เมตร และก็ต้องย้ำว่าหากน้ำท่วมสูงขึ้นเท่านี้ การยกของขึ้นที่สูงอาจจะไม่พอแล้ว และอาจจะต้องติดอยู่ในบ้านไม่สามารถออกมาได้แล้ว ต้องเผชิญปัญหาอะไร อย่างไร

‘หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต้องแจ้งเตือนประชาชนแบบชี้ให้เห็นถึงวิกฤตจริง ๆ ให้เห็นถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามกายภาพของพื้นที่หาดใหญ่ด้วย’


หากมองด้านกายภาพของเมืองหาดใหญ่ จะพบว่าเป็นพื้นที่เหมาะกับน้ำจะท่วมมาก อีกทั้งเมื่อดูตามเส้นทางน้ำ น้ำทุกเส้นจะมุ่งไปที่เมืองหาดใหญ่ ขณะที่ศักยภาพของคลองระบายน้ำ จะน้อยกว่าปริมาณน้ำมาก รวมทั้งช่วงปลายปีนี้อยู่ในสภาวะลานีญาอ่อน ๆ ซึ่งเราก็พบเจอมาแล้วจากเหตุการณ์น้ำที่อยุธยา ซึ่งในฐานะที่อาจารย์ดูเรื่องน้ำ จึงเชื่อมั่นว่าหวยต้องมาลงพื้นที่ภาคใต้แน่นอน ซึ่งหน่วยงานรับผิดชอบด้านน้ำ ต่างก็ต้องรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ประเมินสถานการณ์ช้าไป

ประเด็นที่ 2 เกิดจากกลไกในการคาดการณ์ของหน่วยงานรัฐที่อยู่ฝั่งน้ำอ่อนแอ ทั้งนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล แต่สิ่งที่เรามองเห็นคือนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 คนไม่ว่าจะเป็นนางสาวแพรทองธาร ชินวัตร ที่ต้องรับมือน้ำท่วมมาก่อน หรือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ถึงแม้จะอาวุโสกว่าอดีตนายกอิ๊งค์ แต่การสั่งการเรื่องโครงสร้างน้ำถือว่านายกฯ ทั้ง 2 ท่าน ล้วนเป็นนายกฯ ฝึกงานทั้งคู่

‘ทำไมถึงบอกว่าเป็นนายกฯ ฝึกงานทั้งคู่ เพราะทั้งคู่ไม่เข้าใจกลไกบริหารจัดการน้ำ โครงสร้างน้ำ การตั้งศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจตาม พ.ร.บ.น้ำไม่เกิดขึ้นทั้งที่น้ำท่วมในระดับวิกฤต แต่มีการตั้งศูนย์ฯที่มีโครงสร้างใหญ่ไม่คล่องตัว และยังไปร่วมระหว่างหน่วยจัดการน้ำกับฝ่ายป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ไปด้วยกัน ซึ่งมันไม่ควรเป็นเช่นนั้น”

ที่สำคัญองค์กรน้ำ อย่าง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) อยู่ในสภาวะสุญญกาศ ไม่มีเลขาธิการ สทนช.เพราะ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 4 พ.ย.นี้ ย้ายนายดนุชา พิชยนันท์ ที่เพิ่งมารับตำแหน่งเลขาธิการ สทนช.เมื่อ 1 ตุลาคม 2568 ไปเป็นเลขาธิการสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เมื่อยังไม่มีเลขาธิการฯ แล้วจะให้ใครสั่งการจะให้รักษาการเลขาธิการฯ ถามว่าจะให้มีอำนาจเต็มที่เหมือนมีเลขาธิการได้หรือไม่

“ก่อนหน้านี้ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช.ก็มีการวางแผน ก่อนเข้าหน้าฝน ให้มีการพร่องน้ำในพื้นที่ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนตัวผู้นำองค์กร ก็เริ่มมีความไม่เชื่อมต่อ เพราะท่านอนุชา ย้ายเข้ามาได้ไม่ก็วันก็มีคำสั่งย้ายไปเป็นเลขาสภาพัฒน์ ถึงจะรอโปรดเกล้า แต่เชื่อว่าใจไม่ทำแล้ว สทนช.จึงเป็นสุญญากาศ ไม่มีความชัดเจน คือ ใครจะมาทำเรื่องน้ำ ไม่ใช่เอาใครมาก็ได้ ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจด้วย”

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายกันในกรมอุตุนิยมวิทยา คนที่ย้ายมานั่งใหม่ ก็ไม่รู้มาจากไหน เสียงแว่ว ๆ กันมาว่าคนนี้รู้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะบุคลากรที่รู้เรื่องก็มีการโยกย้ายสลับเปลี่ยนตำแหน่งกันหลายคน

“ฝั่งกำกับดูแลและคาดการณ์เรื่องน้ำ เวลานี้ค่อนข้างวุ่นวายมาก และมาเกิดในช่วงที่เกิดวิกฤตน้ำที่หาดใหญ่ ปริมาณน้ำมาก จึงรับมือไม่ได้ ไม่ทัน”

สภาวะที่เกิดขึ้นขององค์กรฝั่งน้ำทั้งในเรื่องการประมวลผล และข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคใต้จึงดูอ่อนด้อย ล้มเหลว ว่ากันว่า สทนช. ไม่ได้ทำหน้าที่เป็น Regulator คือไม่ได้ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกำกับดูแลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ โดยเฉพาะพื้นที่ทางภาคใต้ปัจจุบันที่มีสถานการณ์ฝนตกหนัก น้ำป่า ที่เกิดขึ้นกว่า 10 จังหวัด เรียกว่าช้าไม่ทันการณ์

“การคาดการณ์ที่ช้าไป หรือไม่ทันการณ์ ทำให้การเตือนหรือให้ข้อมูลเพื่อเตือนประชาชน เกิดความไม่เชื่อ หรือ เตือนช้าเกินไป แม้จะมี cell broadcast แต่ก็ไม่ได้สร้างความตระหนักรู้ awareness ขนาดนั้น และคนก็ไม่เชื่อ จึงเป็นเหตุให้คนไม่อพยพออกไป จึงมีประชาชนติดอยู่ในพื้นที่วิกฤตน้ำท่วมที่หาดใหญ่มากขนาดนั้น”

ผศ.ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำจาก ม.เกษตรฯ
ประเด็นที่ 3 การตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ในภาวะวิกฤต ก็ดูงงๆ สับสน นายกฯ อนุทินก็ลงพื้นที่ จนกระทั่งมีการตั้งนายธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ ไปเป็นผู้บัญชาการฯ จึงดูจะเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่ารองนายกฯธรรมนัส ทำได้โดยเฉพาะในเรื่องของความร่วมมือทั้งกองทัพ ภาคเอกชน หรือ มูลนิธิฯอาสาสมัครต่าง ๆ

อย่างไรก็ดี หากมีการตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์ฯ ได้รวดเร็ว สถานการณ์การแก้ปัญหาก็น่าจะไม่ดูเลวร้ายขนาดนี้ เพราะช่วงที่นายธรรมนัส ลงไปครั้งแรกในฐานะรองนายกฯ และ รมว.เกษตรฯ ยังไม่มีอำนาจในการสั่งข้ามกระทรวงได้ เพราะไม่ได้รับมอบหมายอำนาจโดยตรง ซึ่งทุกอย่างดูจะสับสนไปหมดในการจะสั่งการหรือประสานในพื้นที่หรือข้ามกระทรวง แต่เมื่อนายกฯ อนุทิน สั่งตั้งนายธรรมนัส มันก็ดูชัดขึ้นในลักษณะ single command ไปบัญชาการสถานการณ์วิกฤต

“ก่อนหน้านายกฯ ก็บอกว่ามีแผน แต่แผนมันอยู่ในกระดาษ ไม่ถูกนำไปimplement หรือนำไปสู่การปฏิบัติจริง แต่หลังจากมีการตั้งรองธรรมนัส แล้ว ก็มีการตั้งศูนย์บัญชาการอะไรขึ้นมาอีก และการประกาศเขตภัยพิบัติทยอยตามมา งบประมาณไม่มีปัญหาทุกอย่างดูชัดเจนขึ้น”

ดังนั้นวิกฤตน้ำท่วมที่หาดใหญ่ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึง function ในการทำหน้าที่หรือการปฏิบัติงานต่าง ๆ ควรต้องดำเนินการและประสานหรือบูรณาการระหว่างหน่วยงานได้ด้วย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้ทำหน้าที่เป็น ‘หัว’ ถ้าไม่เข้าใจการแก้ปัญหาก็จะลำบากและล่าช้า




ผศ.ดร.สิตางศุ์ ระบุว่า วิกฤตน้ำท่วมที่หาดใหญ่ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาล ไม่สามารถรับมือกับโลกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นได้ เพราะโลกที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่เหมือนเดิม ซึ่งเรากำลังพูดถึงภาวะโลกร้อน ปรากฏการณ์ เอลนิโญ ลานีญา แต่เรายังไม่ตระหนักว่า มันกำลังเกิดขึ้นจริง

“คือพื้นที่เดิมของเรา ภัยเดิม ก็รับไม่ได้ แล้วมีภัยใหม่ที่หนักกว่าเดิม เราไม่พร้อม การคิดแก้ปัญหาน้ำคิดแบบเดิม สร้างแบบเดิมแก้ปัญหาไม่ได้ ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ คิดใหญ่ ต้องรื้อระบบใหม่ ที่สำคัญเราต้องลงทุน ประสานเรื่องข้อมูล ถ้ามีข้อมูลที่แม่นกว่า นี้ ไม่ต้องถึง 100% เราจะรู้ความเสียหายได้มาก การจะรู้ตัวล่วงหน้า ก็ต้องลงทุนพวกนี้ ให้มากขึ้น เรื่องเทคโนโลยี ต้องใช้เครื่องมือ วิทยาศาสตร์ เรื่องบริหารการจัดการ เราต้องใช้มืออาชีพในการบริหารการจัดการเรื่องน้ำไม่ใช่ใครก็ได้”

สิ่งที่อยากขอร้องและเชื่อว่าสำคัญมากคือ การเมืองต้องเลิกล้วงลูกในการโยกย้ายคนทางฝั่งน้ำได้แล้ว อีกทั้งภาคใต้ ถือเป็นจุดอ่อนของการจัดการน้ำ เรามีข้อมูล ของภาคใต้น้อยกว่าลุ่มเจ้าพระยา ขณะที่ภาคใต้มีน้ำท่วมทุกปี ปีนี้หาดใหญ่หนักมาก

“แต่ต้องไม่ลืมว่าเราต้องอยู่ร่วมกับน้ำ แต่ธรรมชาติมันเปลี่ยนไป โหดร้ายมากขึ้น เราจะจัดการอย่างไรกับมัน เพราะการแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่ละเมือง ต้องมองปัญหาเป็นเฉพาะเมือง เฉพาะจุด จริงๆ ต้องวางแผนกันใหม่ ต้องดูจุดอ่อนแต่ละเมือง ทั้งหาดใหญ่ หรือ เชียงใหม่ การแก้ปัญหาน้ำท่วม ต้องแก้เฉพาะจุดจริงๆ อย่าแค่สร้างโครงสร้าง ต้องรื้อระบบการ forecast ใหม่ ตั้งแต่การคาดการณ์ของกรมอุตุ ฯ ทำอย่างไร จะแม่นกว่าเดิม เอาวิทยาศาสตร์มาช่วย แบบจำลองเดิมใช้ไม่ได้ ก็ต้องไปลงทุนอะไรให้มันใช้ได้ การบริหารงานจัดการโครงสร้าง ให้เกิด function ตัวบุคลากร ก็ต้องมีความรู้มีความเชี่ยวชาญ ผู้นำก็ต้องเข้าใจ ฝ่ายบริหารต้องเข้าใจ”

ประเด็นสำคัญจะต้องขับเคลื่อนทุกองค์ประกอบ เรื่องของข้อมูล ที่จะมาสนับสนุน ต้องมีความแม่นยำมากกว่านี้ ในเชิงพื้นที่ ก็ต้องวางแผนแก้ปัญหาตามภูมิสังคมของพื้นที่แต่ถ้าจุดที่ธรรมชาติ เยอะจริง เช่น ฝนเยอะ 300-400 ป้องกันไม่ได้ ทำอย่างไรก็ต้องท่วม ก็จำเป็นที่จะต้องหาวิธีลดความเสียหายให้น้อยที่สุด โดยกลไกในการแจ้งเตือน การ Simulated ด้วยการสร้างแบบจำลอง คณิตศาสตร์และมีการแจ้งเตือนอย่างไรก่อนเหตุการณ์ให้ทัน จัดแผนการรับมือให้ทัน






ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำ ระบุว่าจากปริมาณน้ำในพื้นที่หาดใหญ่ คาดว่าระดับน้ำท่วมน่าจะดีขึ้นในวันพฤหัสที่ 27 พ.ย.นี้ ต่อเนื่องถึงวันศุกร์ที่ 28 พ.ย.เพราะฝนลดลงและระดับน้ำท่วมในพื้นที่ก็จะลดลงตามไปด้วย หากไม่มีฝนรอบใหม่ตกรุนแรงเพิ่มเติมเข้ามาอีก แต่สิ่งที่น่าห่วงคือพื้นที่จังหวัดสตูล ปัตตานี ยะลา นราธิวาส

“นราธิวาส น่าห่วงที่สุด สัปดาห์หน้าน้ำน่าจะท่วมอาจใกล้เคียงกับเมืองหาดใหญ่ เพราะน้ำจากมาเลย์ ที่เราเรียกว่าน้ำข้ามพรมแดนน่าจะไหลเข้ามาเยอะรวมกับปริมาณน้ำฝนที่ตกหนัก ถ้ารัฐเรียนรู้บทเรียนจากหาดใหญ่ ก็ต้องรีบดำเนินการและจะเตือนประชาชนให้รับรู้ล่วงหน้าได้อย่างไร”

ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้นราธิวาสต้องเผชิญวิกฤตเช่นเดียวกับเมืองหาดใหญ่ที่นายกฯ อนุทินรู้ซึ้งแล้วว่าปัญหาเกิดจากอะไร!

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j



กำลังโหลดความคิดเห็น