“รศ.ดร.พิชาย” ชี้ กรณีอัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์คดี 112 อาจส่งผลให้ “ทักษิณ”ต้องติดคุก 3-15 ปี อีกทั้งกระทบต่อความเชื่อมั่น ทำ สส.เพื่อไทยไหลออกอีกระลอก แต่กลับเป็นคุณต่อ“ภูมิใจไทย” คาดเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคสีน้ำเงินจะได้ที่นั่งในสภามากขึ้น กระทั่งขึ้นมาเป็นพรรคอันดับ 2 ขณะที่“เพื่อไทย”หล่นลงมาอยู่อันดับ 3 ส่วน กรณีศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้“แม้ว”จ่ายภาษีขายหุ้นชินคอร์ปฯ 1.76 หมื่นล้าน เชื่อไม่กระทบทุนพรรค แต่ถ้าไม่มีจ่าย อาจถูกฟ้องล้มละลาย-ยึดทรัพย์ และหากเบี้ยวหนี้ โดยโอนทรัพย์สินให้ลูกก่อนถูกยึด จะเจอโทษจำคุกอีก 2 ปี ลั่น นี่ไม่ใช่วิบากกรรม แต่คือผลของการกระทำ !
เป็นที่ฮือฮาอย่างมากสำหรับกรณีที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ได้มีคำสั่งยื่นอุทธรณ์คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ม.112) ของนายทักษิณ ชินวัตร ขณะเดียวกันศาลฎีกาก็พิพากษากลับให้นายทักษิณต้องจ่ายภาษีกรณีขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นฯ จำนวนถึง 1.76 หมื่นล้านบาท ซึ่งหลายฝ่ายมองว่านี่อาจเป็น“วิบากกรรม”ครั้งใหญ่ของชายชื่อทักษิณ อีกทั้งอาจส่งผลให้พรรคการเมืองใหญ่อย่าง“เพื่อไทย”เข้าสู่ยุคถดถอยแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน !!
รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต. อาจารย์ประจำหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา คณะพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์การบริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) วิเคราะห์เหตุการณ์ครั้งนี้ว่า กรณีที่สำนักงานอัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์ในคดี 112 ของนายทักษิณนั้นถ้าศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าผิดจริงก็อาจส่งผลให้ทักษิณต้องติดคุก โดยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นมีโทษจำคุกขั้นต่ำ 3 ปี สูงสุด 15 ปี แต่ก็ยังมีโอกาสที่นายทักษิณจะยื่นฎีกาได้ ซึ่งคดีนี้ก็คงต่อสู้กันอีกยาวนาน โดยทั่วไปก็คงใช้เวลา 1-2 ปี ซึ่งปัจจุบันนายทักษิณถูกจำคุกในคดีที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ โดยได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี และได้รับโทษจำคุกมา 2 เดือนกว่าแล้ว ซึ่งเมื่อติดคุกครบ 1 ใน 3 ของโทษที่ได้รับ นายทักษิณก็คงยื่นขอพักโทษเพื่อให้ได้ออกมาคุมประพฤตินอกเรือนจำ เพราะเข้าเกณฑ์อายุเกิน 70 ปี แต่ว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกรมราชทัณฑ์
ส่วนที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระบุว่ากการที่ทักษิณยังมีคดีต่อ เนื่องจากอัยการยื่นอุทธรณ์คดี ม.112 จะส่งผลให้นายทักษิณไม่ได้รับการพิจารณาพักโทษนั้นยังขัดแย้งกับความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีการะบุว่านักโทษที่มีคดีต่อเนื่องยังสามารถยื่นขอพักโทษได้ แต่จะพิจารณาเป็นรายกรณีไป โดยขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและดุลพินิจของคณะกรรมการ อย่างไรก็ดีการที่อัยการสูงสุดสั่งอุทธรณ์ฟ้องคดีนายทักษิณในความผิดตามมาตรา 112 นั้นน่าจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของ สส. ซึ่งจะส่งผลให้ สส.พรรคเพื่อไทยมีการย้ายพรรคมากยิ่งขึ้น เชื่อว่ามีไม่น้อยทีเดียวที่พรรคภูมิใจไทยจะดึงไปสังกัดพรรค
“ คดี 112 คุณทักษิณก็มีโอกาสติดคุก 3 ปี ถึง 15 ปี ซึ่งสถานการณ์ของคุณทักษิณทำให้โอกาสที่ สส.เพื่อไทยจะโยกไปอยู่ภูมิใจไทยหรือพรรคอื่นเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเมื่อก่อน สส.เพื่อไทยเชื่อว่าคุณทักษิณสามารถดีลกับชนชั้นนำได้ แต่พอเกิดเรื่องนี้ทำให้สิ่งที่เคยเชื่อพังทลายลงไป ” รศ.ดร.พิชาย ระบุ
ส่วนกรณีที่ศาลฎีกาพิพากษากลับให้นายทักษิณต้องจ่ายภาษี ขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นฯ 1.76 หมื่นล้านบาทนั้น “รศ.ดร.พิชาย” มองว่า อาจจะไม่กระทบต่อฐานะการเงินของนายทักษิณมากนักเนื่องจากตามรายงานของนิตยวารฟอร์บ ปี 2025 ระบุว่าทักษิณมีทรัพย์สินรวมมูลค่า 2,100 ล้านดอลลาร์ หรือ 72,512,985,867.22 บาท แต่ก็ไม่ทราบว่านายทักษิณมีทรัพย์สินอยู่ที่ไหนบ้าง ทรัพย์สินดังกล่าวอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ ส่วนทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศสรรพากรจะตามเจอหรือเปล่า แต่ตามกระบวนการกฎหมายถ้าศาลพิพากษาให้จ่ายภาษีแต่ไม่มีเงินชำระก็ต้องฟ้องล้มละลายและยึดทรัพย์มาชำระภาษี
“ เชื่อว่าคุณทักษิณคงไม่ยอมจ่ายง่ายๆหรอก ต้องใช้วิธีการดึงเรื่องไปเรื่อยๆ เช่น เจรจาขอผ่อนจ่ายเดือนละเท่าไหร่ก็ว่าไป แล้วแต่จะตกลงกับสรรพากร แต่ถ้าคุณทักษิณโอนทรัพย์สินให้ลูกไปแล้วก็ต้องดูว่าโอนวันที่เท่าไหร่ ” รศ.ดร.พิชาย กล่าว
ทั้งนี้ กฎหมายระบุว่า ถ้าโอนทรัพย์สินหลังจากรู้ว่าจะถูกฟ้องล้มละลายหรือถูกฟ้องไปแล้ว โดยมีเจตนาเพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ ถือเป็นความผิดทางอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 โดยต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะเดียวกันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สามารถร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนการโอนทรัพย์สินนั้นได้ หากการโอนมีลักษณะเป็นการทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ หรือมีเจตนาทุจริต แม้ว่าการโอนนั้นจะเกิดขึ้นก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในระยะเวลาที่กำหนดตามกฎหมายล้มละลายก็ตาม และหากศาลมีคำสั่งเพิกถอนการโอน ทรัพย์สินที่โอนไปให้บุคคลอื่นจะกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของกองทรัพย์สินของลูกหนี้ เพื่อนำไปคืนให้แก่เจ้าหนี้หรือหากมีเจ้าหนี้หลายรายก็จะนำไปเฉลี่ยคืนให้แก่เจ้าหนี้แต่ละราย
อย่างไรก็ดี ไม่แน่ชัดว่าปัจจุบันนายทักษิณมีทรัพย์อยู่ในประเทศไทยจำนวนเท่าไหร่ โดยข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 รายงานว่านายทักษิณมีพอร์ตหุ้นในประเทศไทยมูลค่าประมาณ 1,398 ล้านบาท
ส่วนประเด็นที่หลายฝ่ายเชื่อว่าหากนายทักษิณถูกจำคุกและไม่สามารถออกมาช่วยลูกพรรคเพื่อไทยหาเสียงจะส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้านั้น “รศ.ดร.พิชาย” มองว่า ปัจจุบันนี้นายทักษิณกำลังรับโทษจำคุกในคดีคอร์รัปชั่นเป็นเวลา 1 ปี โดยเข้ารับการคุมขังตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย.2568 ดังนั้นครบ 1 ปีก็จะประมาณเดือน ก.ย.2569 แต่หากได้รับการพิจารณาให้พักโทษหลังได้รับโทษแล้ว 1 ใน 3 ก็จะออกมาคุมประพฤตินอกเรือนจำใกล้ช่วงเลือกตั้ง ถ้าทักษิณสามารถช่วยหาเสียงก่อนเลือกตั้งก็อาจจะมีผลอยู่บ้างเพราะคนที่ยังนิยมในตัวนายทักษิณก็ยังมีอยู่ แต่เชื่อว่าทักษิณคงมีความระมัดระวัง ไม่ลงมายุ่งเกี่ยวทางการเมืองมากนัก
“ ที่จริงการต่อสู้ในคดี ม.112 ของคุณทักษิณนั้นก็ไม่ได้มีข้อห้ามในการช่วยหาเสียงแต่อย่างใด แต่คุณทักษิณก็คงระมัดระวังเพราะหากทำอะไรให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองก็อาจจะกระทบต่อสถานะของเขาได้ อย่างไรก็ดีหากดูจากผลโพลแล้วกรณีการติดคุกของคุณทักษิณก็ดูจะไม่ได้มีผลอะไรต่อคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยมากนัก แต่คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยนั้นเสื่อมถอยลงตั้งแต่กรณีคลิปเสียงของคุณอุ๊งอิ๊งกับฮุน เซนแล้ว ซึ่งกรณีดังกล่าวทำให้คะแนนของเพื่อไทยตกลงกว่าครึ่งหนึ่ง ขณะที่คุณทักษิณก็มีภาพนั่งคุยกับนายเบน สมิธ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับเครือข่ายทุนสีเทาและแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา รวมถึงคุณธรรมนัส ทำให้เกิดความกังขาต่อสังคม นอกจากนั้นนโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์หรือกาสิโนของรัฐบาลเพื่อไทยก็ยังเจอกระแสต่อต้านอย่างหนักอีกด้วย ประเด็นเหล่านี้ก็อาจจะถูกนำมาโจมตีในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ” รศ.ดร.พิชาย ระบุ
สำหรับกรณีที่ศาลฎีกาพิพากษากลับให้นายทักษิณต้องจ่ายภาษีขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นฯ 1.76 หมื่นล้านบาท จะส่งผลต่อทรัพยกรที่พรรคเพื่อไทยใช้ในการเลือกตั้งหรือไม่นั้น “รศ.ดร.พิชาย” ชี้ว่า ไม่น่าจะส่งผล เนื่องจากการทำงานทางการเมืองที่ผ่านมานั้นนายทักษิณไม่ได้ใช้เงินตัวเอง แต่ใช้วิธีระดมเงินจากกลุ่มทุนต่างๆ อย่างไรก็ดีขณะนี้กระแสนิยมของพรรคเพื่อไทยลดลงอย่างมาก ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งหน้านายทักษิณก็อาจจะต้องใช้ทรัพยากรของครอบครัวเพื่อขับเคลื่อนทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าทรัพยากรของตระกูลชินวัตรก็คงมีมากพอสมควร เพราะฉะนั้นการจ่ายภาษีหุ้นชินคอร์ปตามคำสั่งศาลจึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการสู้ศึกเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย
การที่ทักษิณต้องเผชิญกับคดีความต่างๆในช่วงนี้ถือว่าเป็นประโยชน์โดยตรงต่อพรรคภูมิใจไทยเพราะทำให้ภูมิใจไทยสามารถดึง สส.ให้ไปสังกัดพรรคได้ง่ายขึ้น เช่นกรณี น.ส.สุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ที่ย้ายไปอยู่พรรคภูมิใจไทย ขณะที่พรรคประชาชนคู่แข่งสำคัญของพรรคเพื่อไทยก็ยังคงเป็นพรรคอันดับหนึ่งอยู่ และแม้พรรคเพื่อไทยจะลงมาเป็นพรรคขนาดกลาง แต่ก็ยากที่เพื่อไทยจะไปจับกับพรรคประชาชน เนื่องจากอุดมการณ์ของสองพรรคนี้นั้นแตกต่างกันมาก
“ การเพลี่ยงพล้ำของคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยจะส่งผลบวกให้แก่พรรคภูมิใจไทย ทำให้ภูมิใจไทยขึ้นมาเป็นพรรคอันดับสองในการเลือกตั้งครั้งหน้า ขณะที่พรรคประชาชนเป็นพรรคอันดับ 1 แต่คุณทักษิณเองก็มองว่าถ้าเพื่อไทยจับกับพรรคประชาชนอาจทำให้ชนชั้นนำหมั่นไส้และทำให้ถูกเล่นงานได้ ส่วนโอกาสที่เพื่อไทยจะจับกับพรรคภูมิใจไทยก็ยังเป็นไปได้อยู่ พรรคประชาชนก็พยายามจะทำให้ได้ถึง 200 ที่นั่งขึ้นไปเพื่อจัดตั้งรัฐบาล แต่ถ้าพรรคประชาชนได้ไม่ถึง 200 เสียง พรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทยก็คงจะรวมกันจัดตั้งรัฐบาลได้ คือคุณทักษิณแกคุยได้หมด แต่อาจจะคุยกับภูมิใจไทยบนเงื่อนไขที่พรรคเพื่อไทยไม่มีคุณภูมิธรรม เวชยชัย และไม่มีคุณทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคหัวหน้าพรรคประชาชาติ เพราะสองคนนี้เขามีรอยแผลกับคุณอนุทินอยู่ ” รศ.ดร.พิชาย กล่าว
ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าการที่นายทักษิณต้องเผชิญคดีความหลายคดีพร้อมกันอาจส่งผลให้นายทักษิณถอดใจกับเวทีการเมืองนั้น ด้าน “รศ.ดร.พิชาย” เห็นว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะหากทักษิณถอดใจสถานการณ์ก็จะยิ่งแย่ลง และหากไม่มีนายทักษิณพรรคเพื่อไทยก็ต้องล่มสลาย ถ้าทักษิณไม่สู้เพื่อไทยก็จะแตกเป็นชิ้นๆ สส.เพื่อไทยก็แตกฉานซ่านเซ็นไปอยู่พรรคโน้นพรรคนี้
“ ทักษิณจำเป็นต้องมีฐานอำนาจทางการเมืองเอาไว้ต่อรอง เพราะถ้าไม่มีอำนาจทางการเมืองไว้คอยไว้ปกป้องสถานการณ์ของนายทักษิณก็จะยิ่งแย่ ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งหน้าตระกูลชินวัตรก็คงต้องสู้เต็มที่” รศ.ดร.พิชาย
อย่างไรก็ดี “รศ.ดร.พิชาย” มองว่า การที่นายทักษิณโดนคดี 112 และต้องจ่ายภาษีจากกรณีขายหุ้นชินคอร์ปถึง 1.76 หมื่นล้านบาทนั้น ไม่ใช่เรื่องของวิบากกกรม แต่เป็นผลจากการกระทำของนายทักษิณ จึงมีผลทางกฎหมายออกมาแบบนี้ ซึ่งเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองอย่างที่บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการสกัดไม่ให้นายทักษิณออกมาช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า เนื่องจากคดีนี้ยังไม่ถึงชั้นฎีกา ดังนั้นกว่าคดีจะสิ้นสุดต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าศาลฎีกาจะตัดสินก็คงเลยช่วงช่วงการเลือกตั้งไปแล้ว
“ เรื่องนี้ถือเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่คนทำผิดต้องได้รับโทษ ก็เหมือนกับคนทั่วไปที่โดนคดี ไม่ว่าจะมีอำนาจวาสนามากแค่ไหนก็ตาม ที่แล้วมาคุณทักษิณก็หนีตลอด และคุมกลไกบางอย่างในระบบราชการทำให้ยังไม่ได้รับโทษ อย่างคดี 112 นั้นปกติถ้าศาลชั้นต้นยกฟ้อง อัยการก็มักจะอุทธรณ์เสมอ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ ” รศ.ดร.พิชาย กล่าว
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


