xs
xsm
sm
md
lg

แนะ “ทัพฟ้า” ทิ้งบอมบ์ฐานปฏิบัติการ“กัมพูชา” หากพบทหารเขมรเข้ามาวางทุ่นระเบิด !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ปานเทพ” แนะ 4 มาตรการตอบโต้“เขมร” ชี้ หากพบมีการเข้ามาวางทุ่นระเบิด กองทัพสามารถบุกฐานที่มั่นของทหารกัมพูชาได้ทันที เพราะถือเป็นการละเมิดอธิปไตยอย่างร้ายแรง โดยควรใช้เครื่องบินขึ้นโจมตี เพื่อลดความสูญเสียของทหารไทย พร้อมทั้งต้องดำเนินการทูตเชิงรุก ดึงนานาชาติเป็นแนวร่วมแซงชั่นกัมพูชาและล้างบางสแกมเมอร์ เพื่อทำลายเส้นเงินที่ถูกนำมาใช้ในภารกิจของกองทัพ รวมถึงส่งกลับแรงงานเขมรเพื่อสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจให้รัฐบาล“ฮุน มาเนต”

ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาระอุขึ้นอีกครั้ง หลังจากทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาดเป็นขาที่ 7 โดยระเบิดดังกล่าวเป็นระเบิด PMN-2 ที่ทหารกัมพูชาลักลอบตัดลวดหนามเข้ามาวางในจุดที่ห่างจากแนวชายแดนไทย-กัมพูชาถึง 1 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทยอย่างร้ายแรง

หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าเป็นเพราะรัฐบาลและกองทัพไทยไม่เด็ดขาดใช่หรือไม่จึงเกิดเหตุที่กัมพูชารุกรานไทยอย่างต่อเนื่องหลายครั้งหลายครา และไทยควรดำเนินมาตรการอย่างไรเพื่อกำราบไม่ให้กัมพูชากล้ารุกรานไทยอีก ?

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ซึ่งติดตามปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชามาอย่างต่อเนื่อง วิเคราะห์ว่า ที่จริงแล้วการที่กัมพูชาละเมิดไทยอย่างร้ายแรงนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่กัมพูชายิงจรวด BM-21 ถล่มพลเรือนของไทยในช่วงปลายเดือน ก.ค.2568 อีกทั้งทหารกัมพูชายังลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในดินแดนไทย ซึ่งเป็นการกระทำที่ละเมิดข้อ 3 ใน MOU 2543 ว่าด้วยการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการจัดทำหลักเขตแดนทางบก ในขณะเดียวกันก็เป็นการละเมิดข้อ 8 ใน MOU 2543 ที่ระบุว่าในกรณีที่มีความขัดแย้งใดๆ จะต้องมีการเจรจาด้วยสันติวิธีเท่านั้น ดังนั้นเมื่อกัมพูชากระทำการอันละเมิดอย่างร้ายแรงในทั้ง 2 ข้อดังกล่าว ฝ่ายไทยจึงมีสิทธิ์ยกเลิก MOU 43 ทันที แต่รัฐบาลอนุทินกลับไปประชุม JBC ซึ่งตีความได้ว่ารัฐบาลไทยได้สละสิทธิ์การประท้วงกรณีที่กัมพูชาละเมิด MOU 43 อย่างร้ายแรง

อย่างไรก็ดี ส่วนตัวเห็นว่าไทยยังพอมีช่องทางอยู่ เนื่องจากก่อนการประชุม JBC รัฐบาลอนุทินได้แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาว่าจะดำเนินการยกเลิก MOU 43 – MOU 44 โดยการทำประชามติ ซึ่งหมายถึงว่ารัฐบาลจะต้องเห็นถึงการละเมิดอย่างร้ายแรงของกัมพูชาจึงได้เสนอญัตติดังกล่าวต่อที่ประชุมรัฐสภาในนามนโยบายรัฐบาล และถ้อยแถลงนี้ถือเป็นข้อผูกพันระหว่างรัฐบาลกับประชาชน และอำนาจการยกเลิก MOU 43-44 ย่อมอยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน อีกทั้งกัมพูชาก็รับรู้ถึงเรื่องนี้ เนื่องจากโฆษกกระทรวงยุติธรรมของกัมพูชาได้แถลงเองว่าฝ่ายไทยยกเลิก MOU 43-44 เองไม่ได้

“ แปลว่าไทยได้ประกาศยกเลิก MOU 43-44 โดยการประกาศของรัฐบาลอนุทิน ขณะที่กัมพูชาก็รู้ว่าเป็นอำนาจของประชาชนไทยในการยกเลิก MOU 43-44 โดยการลงประชามติ ดังนั้นตรงนี้อาจจะเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ไทยสามารถยกเลิก MOU 43-44 ได้ทันทีหลังจากที่กัมพูชาได้ละเมิด MOU ดังกล่าวอย่างร้ายแรง ” อาจารย์ปานเทพ ระบุ

 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย และ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ลงนามสันติภาพไทย-กัมพูชา
อาจารย์ปานเทพ กล่าวต่อว่า ล่าสุดกัมพูชาได้ละเมิดปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ ซึ่งนายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย ได้ลงนามร่วมกับนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ประเทศมาเลเซีย ในช่วงปลายเดือน ต.ค. 2568 ซึ่งฝ่ายไทยและกัมพูชาทำข้อตกลงสันติภาพโดยนำเงื่อนไขจากการประชุมจีบีซีมาเป็นคำประกาศว่าจะต้องดำเนินการ 4 ข้อหลัก คือ 1.ถอนอาวุธหนัก 2.เก็บกู้ทุ่นระเบิด 3.ปราบปรามสแกมเมอร์ และ 4.จัดการปัญหาความขัดแย้งบริเวณแนวชายแดน แต่ในที่สุดกัมพูชาก็ยังละเมิดข้อตกลงในปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ ในขณะที่รัฐบาลไทยพยายามดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดโดยที่กัมพูชาไม่ให้ความยินยอม และแทนที่ทหารกัมพูชาจะร่วมกับไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามข้อตกลงที่มีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นสักขีพยาน แต่ทหารกัมพูชากลับลักลอบตัดรั้วลวดหนามเข้ามาวางระเบิดในฝั่งไทย ในจุดที่ลึกจากชายแดนเข้ามาถึง 1 กิโลเมตร โดยมีทหารกัมพูชายืนห่างออกไปจากแนวชายแดนแค่ 15 เมตรเพื่อรอดูผลลัพธ์จากทุ่นระเบิด ซึ่งถือเป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทยและละเมิดสันติภาพอย่างร้ายแรง

ดังนั้นมาตรการตอบโต้ที่ไทยควรทำคือ

1. ไทยต้องดำเนินการทูตเชิงรุก โดยนำเสนอให้นานาชาติเห็นถึงความไม่จริงใจของกัมพูชา โดยมีการประณามกัมพูชา และเรียงลำดับการกระทำที่แสดงให้เห็นว่ากัมพูชาไม่ได้ยึดแนวทางสันติภาพตามข้อตกลงระหว่างประเทศ เพื่อชี้ให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นคนละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า

2. ไทยต้องแสวงหาแนวร่วมจากนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา จีน หรืออาเซียน ในการแซงชั่นกัมพูชา เพื่อให้นานาชาติหยุดให้การช่วยเหลือหรือสนับสนุนกัมพูชาในทุกๆด้าน

3. ไทยต้องหาแนวร่วมในการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา อาทิ เกาหลีใต้ จีน อังกฤษ หรือชาติอื่นที่กำลังถูกแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาทำร้าย ไม่ว่าจะเป็นในนามอาเซียน หรือในนามเอเชียแปซิฟิก เพื่อร่วมกันจัดการกับภัยคุกคามของนานาชาติ และทำลายเส้นเงินของรัฐบาลกัมพูชาที่ถูกนำมาใช้ในกิจการของกองทัพ ซึ่งที่ผ่านมาสาเหตุที่แนวร่วมทั้งหมดไม่สามารถจัดการแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาได้นั้นปัจจัยหนึ่งก็มาจากการมีทุ่นระเบิดขัดขวางทำให้ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่เพื่อปราบปรามสแกมเมอร์ได้

4. ไทยต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองทันทีต่อการละเมิดปฏิญญาสันติภาพอย่างร้ายแรง เช่น การลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดซึ่งลึกเข้ามาในเขตแดนไทยถึง 1 กิโลเมตร เท่ากับเป็นการรุกล้ำอธิปไตยไทย ซึ่งไทยต้องตอบโต้ทันที ไม่ใช่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป 2-3 วันแล้วค่อยตอบโต้ ซึ่งครั้งนี้เหตุที่ไทยไม่มีการตอบโต้อาจเป็นเพราะตอนเกิดเหตุเรายังมีสัญญาสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชาซึ่งเป็นพันธนาการต่อฝ่ายทหารของไทย ทำให้ทหารไทยไม่มีการตอบโต้หรือรุกเข้าไปในพื้นที่ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคง แต่เมื่อนายกฯอนุทินได้ประกาศแล้วว่าไทยได้ยุติปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา และให้อำนาจทหารตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว หากกัมพูชายังละเมิดสันติภาพไทยอีก กองทัพก็ต้องปฏิบัติการอย่างเด็ดขาดทันที

“ ไทยจะต้องสื่อสารเชิงรุก ประกาศให้นานาชาติรับรู้ถึงการกระทำของกัมพูชาซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคง ขณะที่แก๊งสแกมเมอร์ก็เป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติและประชาคมโลก เราจะต้องยืนยันว่าการที่กัมพูชาไม่ร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิดอาจจะเป็นเพราะกัมพูชาคาดหวังว่าจะให้พื้นที่กาสิโนและแหล่งสแกมเมอร์ยังคงอยู่ต่อไป ไม่ใช่แค่รัฐบาลอนุทินออกมาประกาศว่าข้อตกลงสันติภาพได้ยุติลงแล้ว และไม่มีอะไรมากไปกว่าการประท้วง เมื่อนายกฯให้อำนาจกองทัพตัดสินใจแล้วหลังจากนี้หากมีเหตุการณ์ละเมิดสันติภาพ เช่น พบว่ากัมพูชาลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในเขตแดนไทยอีก ทหารไทยต้องบุกเข้าไปทำลายฐานปฏิบัติการของทหารกัมพูชาที่เข้ามาวางทุ่นระเบิดให้ราบคาบโดยทันที ไทยมีความชอบธรรมที่เครื่องบินของกองทัพอากาศจะบินขึ้นไปโจมตีและทำลายฐานปฏิบัติการดังกล่าวของทหารกัมพูชาเพื่อลดการสูญเสียของทหารไทย ” อาจารย์ปานเทพ กล่าว


อาจารย์ปานเทพ ชี้ว่า แนวทางการยุติความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชานั้นไทยต้องดำเนินการทางการทูตเชิงรุกและดำเนินการทางทหารไปพร้อมๆกัน ซึ่งหากเป็นประเทศที่มีอารยะ ไม่ละเมิดสัญญา ไม่ใช้เล่ห์เพทุบาย ไม่ใส่ร้าย ไม่รุกรานประเทศไทย ก็ไม่มีปัญหา แต่หากมีพฤติกรรมตรงกันข้ามซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของไทยอยู่ตลอดเวลา ไทยก็จำเป็นต้องใช้ปฏิบัติการทางการทหารเข้ากำราบจนกระทั่งกัมพูชาหมดอำนาจต่อรอง ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่สันติภาพของประเทศไทย

นอกจากนั้นจะต้องทำการตรวจสอบเรื่องการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงการตัดกระแสไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตที่ส่งขายไปยังกัมพูชาด้วย เนื่องจากมีประชาชนแจ้งว่าไทยปิดด่านไม่สนิท มีการลักลอบส่งสินค้าไทยไปกัมพูชา มีการลักลอบส่งเสาสัญญาณโทรศัพท์ และเสาสัญญาณอินเทอร์เน็ต มีภาพทหารกัมพูชาที่ยังสามารถไลฟ์สดได้ เพราะหากปิดด่านไม่สนิทหรือยังมีการลักลอบส่งไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตไปยังกัมพูชา กองทัพกัมพูชาก็ยังมีศักยภาพที่จะต่อกรกับไทย สันติภาพก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น ที่สำคัญถ้าไทยไม่จัดการกัมพูชาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็เท่ากับปล่อยให้กองทัพกัมพูชาสะสมแสนยานุภาพเพื่อมารุกรานไทย ยิ่งทอดเวลานานออกไปโอกาสที่ทหารไทยจะได้รับอันตรายก็ยิ่งมีมากขึ้น

“ การใช้กำลังทหารไม่ใช่ความโหดร้ายเสมอไป ถ้าจำเป็นก็ต้องทำเพื่อให้อำนาจต่อรองทางการทูตมีมากพอที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ทำให้สิ่งที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติลดลง มั่นใจว่าชาวบ้านที่อยู่ตามแนวชายแดนพร้อมจะอพยพถ้ารัฐบาลและทหารไม่ทำให้ยืดเยื้อ แต่ถ้าชาวบ้านอยู่ภายใต้ความหวาดระแวงและสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านตามแนวชายแดนไทยจะเสียหายหนักมากกว่า และยิ่งเวลาทอดนานออกไปแสนยานุภาพของกัมพูชาก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เพราะหลังจากที่ทหารกัมพูชาปะทะกับไทยรอบแรกเขาก็รู้ว่าไทยมีอาวุธอะไร และเขาขาดอาวุธอะไร เขาก็ใช้เงินจากธุรกิจสีเทามาซื้ออาวุธที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ดังนั้นแน่นอนว่าปัจจุบันกองทัพกัมพูชามีอาวุธมากกว่า 5 วันแรกที่ปะทะกับไทย ไม่ว่าจะเป็นอาวุธหนัก โดรน หรือแอนตี้โดรนจำนวนมากที่ปรากฏตามแนวชายแดนอย่างผิดหูผิดตา การสร้างกระเช้าและฐานถาวรมีมากขึ้นเรื่อยๆ ” อาจารย์ปานเทพ ระบุ

ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าไทยควรใช้มาตรการทางเศรษฐกิจกดดันกัมพูชา โดยการส่งแรงงานกัมพูชากลับประเทศนั้น “อาจารย์ปานเทพ” มองว่า เป็นสิ่งที่ควรดำเนินการ ซึ่งการผลักดันแรงงานกัมพูชากลับไปนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมของไทยแต่อย่างใดเนื่องจากเรามีแรงงานจากประเทศอื่นทดแทนอยู่แล้ว ซึ่งรัฐบาลไทยก็ประกาศแล้วว่าจะไม่ต่ออายุใบอนุญาตให้แรงงานกัมพูชาประมาณ 1 แสนคนซึ่งใบอนุญาตจะหมดอายุ และจะเปิดให้ลงทะเบียนแรงงานจาก 3 ชาติ คือ เมียนมา ลาว และเวียดนาม เข้ามาทดแทน ซึ่งตรงนี้เป็นมาตรการที่จะกดดันให้แรงงานกัมพูชาซึ่งไม่สามารถทำงานในไทยต่อได้กลับไปกดดันรัฐบาลของเขาต่อไป

“ มาตรการนี้จะเป็นแรงกดดันของชาวกัมพูชาที่ส่งไปถึงรัฐบาลฮุน มาเนต ซึ่งก็ถือเป็นความชอบธรรมของไทย เพราะวางใจไม่ได้ว่าชาวกัมพูชาที่เข้าอยู่ในไทยมีทหารแฝงตัวเข้ามาหรือไม่ ที่จริงแล้วรัฐบาลจะไล่แรงงกัมพูชากลับไปทั้งหมดก็ได้ แต่รัฐบาลอาจจะต้องการให้เวลาผู้ประกอบการปรับตัว แต่ถ้าเป็นผมจะขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการให้ส่งแรงงานกัมพูชากลับไปให้หมด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคง ” อาจารย์ปานเทพ กล่าว

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j



กำลังโหลดความคิดเห็น