“สฤณี” ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เผย ขบวนการฟอกเงินของแก๊งสแกมเมอร์และธุรกิจสีเทาที่ใช้ไทยเป็นฐาน มีอยู่ 3 ระดับ ซึ่งระดับใหญ่สุดคือแก๊งสแกมเมอร์จากกัมพูชาที่นำเงินสีเทามาฟอกผ่านตลาดหุ้น มูลค่าสูงถึง 22,000 ล้านบาท โดยมี “นักการเมืองระดับชาติ-นักกฎหมาย-โบรกเกอร์” คอยให้ความช่วยเหลือ ทั้งนี้ยังไม่รวมการซื้อหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์อีก 5,000-6,000 ล้านบาท พบมีความพยายามเข้าซื้อหุ้นเพื่อครอบงำกิจการในไทย หวังใช้เป็นแหล่งฟอกเงินในระยะยาว โดยธุรกิจเป้าหมายได้แก่ บริษัทพลังงาน สถาบันการเงิน และสินทรัพย์ดิจิทัล ชี้ “หุ้นบางจากฯ” ก็โดนมาแล้ว แนะ “ก.ล.ต.-ปปง.” ใช้กลไกตรวจสอบ พร้อมเร่งสกัด
ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกต่างเร่งจัดการกับแก๊งสแกมเมอร์ซึ่งมีฐานที่มั่นใหญ่ในกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นกวาดล้างเครือข่ายที่เกี่ยวข้องหรืออายัดทรัพย์สแกมเมอร์รายใหญ่อย่างบริษัท Prince Group ของเฉิน จื้อ เจ้าพ่อสแกมเมอร์เชื้อสายจีน ซึ่งมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แต่ท่าทีของรัฐบาลไทยที่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีจากค่ายสีน้ำเงินดูจะไม่กระตือรือร้นเท่าที่ควร จนหลายฝ่ายเกรงว่าเหล่าสแกมเมอร์ในกัมพูชาและเมียนมาร์ที่ถูกปราบปรามอย่างหนักอาจอาศัยช่องว่างย้ายมาตั้งฐานในไทยก็เป็นได้ ซึ่งสิ่งที่น่าจับตาอย่างยิ่งก็คือขบวนการฟอกเงินของแก๊งสแกมเมอร์ที่นำเงินสีเทาเข้ามาฟอกในประเทศไทยในหลากหลายรูปแบบ เพราะหากสามารถฟอกเงินสำเร็จก็จะยิ่งทำอาชญากรเหล่านี้มีเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ซึ่งติดตามเรื่องเครือข่ายสแกมเมอร์และทุนสีเทามาอย่างต่อเนื่อง ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ ว่า ปัจจุบันขบวนการฟอกเงินของแก๊งสแกมเมอร์และธุรกิจสีเทาซึ่งมีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นมี 3 ระดับด้วยกัน คือ
1.ระดับใหญ่ เป็นขบวนการข้ามชาติจากสแกมเมอร์ใหญ่ในกัมพูชาที่ส่งเงินสีเทามาฟอกในไทย มีการใช้ตลาดหุ้นในการฟอกเงิน ทั้งฟอกโดยตรงคือเอาเงินมาซื้อ-ขายหุ้น และสร้างกลไกฟอกเงินโดยเอาเงินมาซื้อหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งเป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้สิทธิในการบริหารหรือกำหนดกฎเกณฑ์ของบริษัทเพื่อใช้บริษัทดังกล่าวเป็นกลไกในการฟอกเงินในระยะยาว ซึ่งมีความน่าสงสัยว่าจะเกิดขึ้นแล้วในบางกิจการ โดยการฟอกเงินระดับนี้ต้องอาศัยเครือข่ายที่มีอำนาจในประเทศไทยคอยให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็น นักการเมืองระดับชาติ นักกฎหมาย หรือโบรกเกอร์
2.ระดับกลาง เป็นขบวนการข้ามชาติเช่นกันแต่อาจจะไม่ได้มีอิทธิพลมากเท่าขวนการฟอกเงินระดับใหญ่ ไม่ได้ฟอกเงินผ่านตลาดหุ้น แต่ใช้วิธีนำเงินจากธุรกิจสีเทาในต่างประเทศ เช่น เว็บพนัน เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซื้อทองคำ หรือทรัพย์สินอื่นๆในไทย โดยอาจจะใช้บริษัทอื่นบังหน้าหรือซื้อผ่านนอมินี และต้องอาศัยคนที่มีอำนาจในระดับหนึ่งในการให้ความช่วยเหลือ อาทิ เจ้าหน้าที่ตำรวจ นักกฎหมาย นักการเงิน
3.ระดับท้องถิ่น เป็นขบวนการฟอกเงินขนาดย่อมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา เช่น เว็บพนันออนไลน์ ธุรกิจผิดกฎหมายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยการนำเงินสีเทามาฟอกนั้นต้องอาศัยกลไกท้องถิ่นในการฟอก เช่น ติดสินบนเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ หรือขอความช่วยเหลือจากนักการเมืองท้องถิ่น
“ การฟอกเงินของธุรกิจสีเทานั้นมีมูลค่าที่สูงมาก โดยพบว่ากลุ่มที่น่าสงสัยว่าเป็นการฟอกเงินจากแก๊งสแกมเมอร์ขนาดใหญ่ในกัมพูชาผ่านการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยนั้นมีมูลค่ารวมสูงถึง 22,000 ล้านบาท นอกจากนั้นยังนำไปลงทุนซื้อหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์อีก 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งหากรวมทั้ง 2 ส่วน มูลค่าจะสูงถึง 27,000-28,000 ล้านบาท โดยการฟอกเงินข้ามชาติในลักษณะนี้มีมา 4-5 ปีแล้ว ” สฤณี ระบุ
สฤณี กล่าวต่อว่า ในที่นี้จะขอพูดถึงแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติที่ฟอกเงินผ่านตลาดหลักทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งแม้การนำเงินสีเทามาลงทุนในหุ้นอาจจะดำเนินการผ่านนอมินีแต่ก็สามารถตรวจสอบได้ โดยสังเกตได้ว่าการลงทุนลักษณะนี้มักจะซื้อหุ้นคราวละมากๆซึ่งไม่พบในนักลงทุนรายย่อย ซึ่งหน่วยงานหลักๆที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบก็คือ ก.ล.ต.(คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) และ ปปง.(สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน)
สำหรับ ก.ล.ต.นั้นมีหน้าที่กำกับตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยต้องคอยสอดส่องว่าคนที่ซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มีอะไรที่สุ่มเสี่ยงจะผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ หรือเข้าข่ายการฟอกเงินหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น คนที่ช่วยฟอกเงินก็อาจจะไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่อยากให้คนสาวมาถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ ดังนั้นเขาก็ต้องอำพรางการถือหุ้น โดยซื้อหุ้นหรือถือหุ้นผ่านนอมินีซึ่งอาจจะเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลก็ได้ ซึ่งตามกฎหมายหลักทรัพย์ไทยนั้นการถือหุ้นทุก 5% ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดถือว่ามีนัยสำคัญ และต้องมีการรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์(แบบ 246-2) ต่อ ก.ล.ต. ซึ่งจะต้องระบุว่าผู้รับประโยชน์ที่แท้จริงคือใคร
“ ตอนนี้ก็เริ่มมีชื่อบุคคลที่น่าสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นนอมินีในการซื้อ-ขายหุ้นให้ใครหรือเปล่า หรืออาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ ซึ่ง ก.ล.ต.ก็สามารถตรวจสอบได้เลยว่ามีบริษัทจดทะเบียนอะไรบ้างในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ถือหุ้นโดยบุคคลที่น่าสงสัย ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ยิ่งถ้าเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนในต่างประเทศก็ยิ่งน่าสงสัย เช่น พบว่ามีนิติบุคคลที่น่าสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์จดทะเบียนในสิงคโปร์ก็ต้องสอบถามไปยังธนาคารกลางของสิงคโปร์เพื่อให้ร่วมตรวจสอบว่าเจ้าของหุ้นที่แท้จริงที่ถือโดยนิติบุคคลดังกล่าวเป็นใคร อันนี้เป็นพื้นฐานที่ ก.ล.ต.จะติดตามสแกมเมอร์ ซึ่งพอบุคคลเหล่านี้มีการอำพรางการถือหุ้น ก็คงไม่หยุดแค่นั้น ในเมื่อสามารถปิดบังตัวตนได้แล้วก็อาจจะฉวยโอกาสปั่นหุ้นเพื่อทำกำไร สมมุติใช้นอมินี 4 รายในการซื้อหุ้น ทั้ง 4 คนนี้ก็โอนหุ้นซื้อ-ขายกันไปมาเพื่อให้นักลงทุนทั่วไปรู้สึกว่าหุ้นตัวนี้เป็นที่ต้องการของตลาดและราคาปรับตัวสูงขึ้นก็เข้ามาซื้อในราคาที่สูงเพื่อหวังทำกำไร แต่กลายเป็นว่าคนที่ได้กำไรตัวจริงคือเจ้าของหุ้นที่เป็นทุนเทา” สฤณี กล่าว
ส่วนการตรวจสอบโดย ปปง.นั้น “สฤณี” อธิบายว่า ปปง.จะมีอำนาจในการเรียกข้อมูลที่น่าสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินหรือปิดบังอำพลางทรัพย์สินที่เชื่อมโยงกับการทุจริตมาตรวจสอบ รวมทั้งมีอำนาจในการตรวจค้น โดยจะตั้งต้นจากมูลฐานความผิดในกฎหมาย ปปง. ซึ่งธุรกิจสแกมเมอร์มีความผิดชัดเจนอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องการฉ้อโกงประชาชน และการค้ามนุษย์ ซึ่งเหยื่อจำนวนมากถูกหลอกลวงไปทำงานในแก๊งสแกมเมอร์โดยไม่สมัครใจ โดย ปปง.สามารถดำเนินการได้ ดังนี้
1.ตั้งต้นจากเคสที่มีข้อมูลหลักฐานชัดเจนแล้ว ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการดำเนินการ เช่น กรณี “ปรินซ์กรุ๊ป” ของนาย
เฉิน จื้อ ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้ร่วมมือกันยื่นฟ้องและยึดทรัพย์ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.8 แสนล้านบาท หรือกรณี “ฮุยวัน กรุ๊ป” กลุ่มบริษัททางการเงินของกัมพูชา ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกจัดให้เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและถูกสหรัฐฯตัดขาดจากระบบการเงินของอเมริกาด้วยข้อสงสัยว่าแพลทฟอร์มของฮุยวันถูกใช้เป็นเครื่องมือของอาชญากร
2. ปปง.สามารถใช้กฎหมายฟอกเงินในการดำเนินการ อาทิ กฎหมายฟอกเงินระบุว่าตัวกลางในการซื้อขายสินทรัพย์มีหน้าที่รายงานต่อ ปปง.หากพบเห็นความผิดปกติในการซื้อขายนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวกลางในการซื้อขายหลักทรัพย์ ซื้อขายทองคำ ซื้อขายสังหาริมทรัพย์ ยกตัวอย่างเช่น อยู่ดีๆโบรกเกอร์ในตลาดหลักทรัพย์ได้รับคำสั่งซื้อหุ้นบิ๊กล็อต มูลค่า 300 ล้านบาท ซึ่งคำสั่งส่งมาจากบุคคลที่ไม่เป็นที่รู้จัก ไม่มีข้อมูลว่าบุคคลนี้รวยมาจากไหน ทำมาหากินอะไร ทำไมมีเงินซื้อหุ้นในมูลค่าที่สูงขนาดนั้น โบรกเกอร์ก็มีหน้าที่รายงานธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยดังกล่าวให้ ปปง.รับทราบ
“ ที่ผ่านมาก็มีการสั่งซื้อหุ้นบิ๊กล็อตหลายครั้งจากบุคคลซึ่งเป็นที่ซุบซิบในตลาดหุ้นว่าเป็นใคร มาจากไหน ทำไมรวยจัง ซื้อหุ้นทีละหลายร้อยล้าน ก็ถือว่าอยู่ในข่ายที่ ปปง.ดำเนินการตรวจสอบได้เลย ไปย้อนดูสิว่าโบรกเกอร์ที่เกี่ยวข้องเคยมีการส่งรายงานการทำธุรกรรมที่น่าสงสัยมายัง ปปง.ไหม ถ้ายังไม่ส่ง ทำไมถึงไม่ส่ง หรือจะเรียกโบรกเกอร์มาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผู้สั่งซื้อหุ้นที่มีความน่าสงสัยก็สามารถทำได้ ” สฤณี ระบุ
ทั้งนี้จากการอภิปรายในสภาของ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2568 พบว่ามีการซื้อขายหุ้น บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชัน โดยทุนต่างชาติที่อาจเชื่อมโยงกับ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ นักลงทุนชาวต่างชาติผู้มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ สมเด็จฮุน เซน และนายยิม เลียก โดยในปี 2567 มีกองทุนลึกลับพยายามเข้าซื้อหุ้นบางจากฯ ที่กองทุนประกันสังคมถืออยู่กว่า 14% มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท แต่ไม่สามารถระบุตัวตนผู้ซื้อที่แท้จริงได้ ทำให้ดีลไม่เกิดขึ้น ต่อมากองทุนจากสิงคโปร์ได้เข้ามาถือหุ้นบางจากฯ ชั่วคราว ก่อนรีบขายออกให้บริษัทในไทยถึง 9% และมีการกว้านซื้อหุ้นต่อเนื่องจนถือครองได้ถึง 20% ซึ่งเส้นทางนี้โยงไปถึงเครือข่ายของนายเบนจามินโดยตรง โดยนายวิโรจน์ชี้ว่านายเบนจามินถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนพัวพันกับทุนสีเทาและขบวนการคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์กับนักการเมืองไทย โดยปรากฏภาพถ่ายร่วมกับ นายทักษิณ ชินวัตร และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งนายวิโรจน์แสดงความเป็นห่วงว่าเงินสกปรกกำลังทะลักเข้ามาใช้ตลาดทุนไทยเป็นช่องทางฟอกเงิน อีกทั้งเครือข่ายทุนเทาข้ามชาติอาจมีความพยายามที่จะฮุบหุ้นบางจากฯ บริษัทปิโตรเลียมและพลังงานที่สำคัญของไทยอีกด้วย
สฤณี ชี้ว่า การที่ทุนสีเทาพยายามเข้าซื้อหุ้นเพื่อครอบงำกิจการต่างๆในไทยนั้นก็เพื่อให้เขาสามารถฟอกเงินได้ในระยะยาว โดยธุรกิจที่เป็นเป้าหมายของทุนเทาได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจเข้ามาในรูปแบบของการซื้อหุ้น หรืออาจใช้วิธีเข้ามาจัดตั้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเพื่อใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน เพราะการซื้อ-ขาย ทำกำไรในอสังหาฯสามารถเมคตัวเลขได้ ส่วนอีกธุรกิจหนึ่งก็คือสถาบันการเงิน , กระดานคริปโต หรือศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เป็นตัวกลางในการซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน และเก็บรักษาสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ) เนื่องจากการที่แก๊งสแกมเมอร์หรือทุนสีเทาจะนำเงินไปฝากในสถาบันการเงินทั่วไปนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะธนาคารแต่ละแห่งจะมีระบบ KYC ซึ่งเป็นกระบวนการยืนยันตัวตนตามกฎหมาย ดังนั้นหากมีสถาบันการเงินหรือกระดานคริปโตของตัวเองทุนเทาก็จะสามารถนำเงินมาฟอกได้สะดวก หรือถ้าทุนเทามีหุ้นใหญ่ในสถาบันการเงินก็สามารถกำหนดได้ว่าหากบุคคลนั้นบุคคลนี้นำเงินมาฝากก็ไม้ต้องผ่านระบบ KYC
“ การที่ทุนเทาจะเข้ามาเป็นหุ้นใหญ่หรือเจ้าของกิจการเพื่อฟอกเงินในระยะยาวได้สะดวกนั้นคนกลุ่มนนี้จะต้องเป็นแก๊งอาชญากรรมขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลมาก และมีเส้นสายทั้งในแวดวงธุรกิจและการเมือง ซึ่งจากตัวเลขที่ทุนเทาเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยถึง 22,000 ล้านบาทนั้น ก็มีทั้งหุ้นสถาบันการเงิน กิจการพลังงาน สินทรัพย์ดิจิทัล อีกทั้งยังมีความสนใจในธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์แต่เนื่องจากนโยบายนี้ถูกพับไปเสียก่อน ” สฤณี กล่าว
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


