‘น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ’ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม แจงเหตุที่ผู้กองธรรมนัสและพรรคกล้าธรรม
เป็นตำบลกระสุนตก จากเกมการเมือง ที่ใช้กลไกของอัลกอริทึม บนโซเชียลผลิตซ้ำทางความคิด ฉายภาพลบกระจายได้รวดเร็ว สร้าง‘ความเชื่อ’ ไร้หลักฐานจนอยู่เหนือ‘ความจริง’ ตั้งแต่‘มันคือแป้ง จนถึงสแกมเมอร์’ ขยี้พรรคอนุรักษนิยม มั่นใจ ผู้กองฯ ไม่ใช่มนุษย์สีเทาหรือพัวพันสแกมเมอร์ยันสมาชิกพรรคมีฐานะพร้อมจึงกระโจนเข้าสู่การเมือง มุ่งหวังชนะเลือกตั้งคาดมีสส.ทยอยย้ายเข้ากล้าธรรมเพียบ หวั่นกลไกความเชื่ออันตรายต่ออนาคตประเทศไทย ยอมรับ‘ความเชื่อ ชนะความจริง’แต่พรรคพร้อมเดินหน้าพิสูจน์ความจริง ในเวทีสาธารณะและในชั้นศาลต่อไป!
อุณหภูมิทางการเมืองกำลังร้อนแรงและนับวันยิ่งเข้มข้นขึ้น ระหว่างพรรคประชาชน (สีส้ม) กับพรรคกล้าธรรม (สีเขียว) โดยเฉพาะการงัดข้อมูลของฝ่ายสีส้มถึงความไม่ชอบมาพากล รวมถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในอดีต จวบถึงปัจจุบันที่ชี้ให้เห็นว่านักการเมืองระดับตัวพ่อพัวพันธุรกิจสีเทา เกี่ยวโยงกับแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติที่เป็นอันตรายต่อพี่น้องคนไทย รวมถึงประเด็นอื่น ๆ ก็ทยอยถูกเปิดออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ทุนสีเทายึดประเทศ, โกงโควตาหวยคนพิการ, ประชาชนถูกสวมสิทธิ แอบอ้างชื่อเป็นสมาชิกพรรค, แจกกล้วยดูด สส.งูเห่า, เงินบริจาคมูลนิธิกันจอมพลัง ฯลฯ ”
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีประเด็นที่สื่อขุดคุ้ยเรื่องของ นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.พรรคกล้าธรรม เอี่ยวเว็บพนัน ถูกเชื่อมโยงมาถึงผู้กองธรรมนัส ทำให้สังคมตั้งคำถามและเชื่อว่าน่าจะเป็นความจริงใช่หรือไม่?
ขณะเดียวกัน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม รวมทั้งแกนนำพรรคกล้าธรรมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น ได้ออกมาชี้แจงและตอบโต้ ทั้งนี้เพื่อให้สังคมได้รับรู้ความจริงว่าไม่ได้เป็นดั่งข้อกล่าวหาทั้งสิ้น
หากจะย้อนไปในอดีต สังคมต่างก็ได้รับรู้สิ่งที่ ผู้กองธรรมนัส ต้องเผชิญข้อกล่าวหามาอย่างเนืองนิจ โดยมีคลิปล้อเลียนดังเป็นไวรัล ‘มันคือแป้ง’ ตอกย้ำให้สังคมได้รับรู้ จากการถูกขุดคุ้ยเรื่องยาเสพติดในต่างประเทศและวุฒิการศึกษา ‘ด็อกเตอร์ปลอม’ ที่ถูกฝ่ายค้านซักฟอกในสภาเมื่อปี 2563 จากกรณีศาลออสเตรเลียเคยตัดสินเมื่อปี 2537 ว่ามีความผิดฐานนำเข้าและค้ายาเสพติด ซึ่งคดีความต่าง ๆ ได้สิ้นสุดลงแล้ว
แต่ต้องยอมรับว่าการซักฟอกครั้งนั้นมีผลให้สังคมเกิดความไม่เชื่อมั่นในความโปร่งใสต่อตัวผู้กองธรรมนัส พร้อมๆ กับเกิดวลีเด็ดเป็นไวรัล ‘มันคือแป้ง’กระทั่งทุกวันนี้ยังมีคลิปล้อเลียนเพียงแค่เราเข้า Google Search พิมพ์ข้อความที่ต้องการ (keyword) ว่า ‘มันคือแป้ง’ ก็จะมีทั้งเพจข่าว Facebook, TikTok, YouTube หรือ Twitter มาให้เราเลือกดู!
ทว่าเขายังประกาศให้สังคมได้เข้าใจว่าการต่อสู้ทางการเมือง หากนักการเมืองได้รับแจกกล้วยก็จะอยู่ในมุ้งอย่างสงบ อีกทั้งยังเปรียบตัวเองว่า "เหมือนเป็นคนเลี้ยงลิง จึงต้องเอากล้วยให้ลิงกินตลอดเวลา" ชี้ให้เห็นว่าเขานั่นแหละคือเจ้าของสวนกล้วยขนาดใหญ่?
ดังนั้นข้อกล่าวหาที่ผู้กองธรรมนัสและพรรคกล้าธรรมถูกถล่มจนกลายเป็นตำบลกระสุนตกเป็นเพราะสังคมเกิดความเชื่อตามข้อครหาเหนือข้อเท็จจริงใช่หรือไม่ และเรื่องนี้จะทำความจริงให้ปรากฏได้อย่างไร
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ หรือผู้การป๊อบ ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้กองธรรมนัสและพรรคกล้าธรรมคือปรากฏการณ์โจมตีกันในทางการเมือง เพราะเป็นจังหวะใกล้เลือกตั้งและต้องการตีพรรคอนุรักษนิยมไม่ว่าจะเป็นพรรคกล้าธรรมหรือพรรคภูมิใจไทยก็เข้าเป้าทั้งหมด ซึ่งประเด็นที่เขาโจมตี เป็นการใส่ข้อกล่าวหาและเป้าหมายที่คาดหวังสิ่งที่จะเกิดขึ้น ด้วยการไปด้อยค่าคนอื่น พรรคอื่นและทำตัวเขาเองให้ได้รับความนิยม ประกาศกับสังคมว่านี่คือการเมืองใหม่ แต่ความจริง ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“ถ้าเขาทำการเมืองสร้างสรรค์ เรายินดีกับการทำงานของ สส.ที่มาตรวจสอบ แต่ควรจะทำงานแบบมีหลักฐาน เอกสาร ชัดเจน ไม่ใช่โจมตีไปเรื่อย ตอนนี้ก็มาโจมตีนายกฯ อนุทิน ปล่อยปละละเลยให้เกิดการโกยหวย ซึ่งจริง ๆ เรื่องนี้คดีอยู่ที่ดีเอสไอ ตรวจสอบกันมาหลายปีแล้ว”
ปรากฏการณ์ที่สส.พรรคประชาชน ออกมาสร้างประเด็นโจมตีอยู่นั้น ก็คือ การออกมาตรวจสอบแล้วสร้าง ‘ความเชื่อ’ ให้เกิดขึ้นบนโลกโซเชียล เพื่อทำให้คนเข้าใจแบบสิ่งที่เขาต้องการ ผลลัพธ์ก็จะออกมาเช่นนี้
ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม บอกอีกว่า การที่ผู้กองธรรมนัส และพรรคฯกำลังเป็นตำบลกระสุนตก หากเรายึดเพียงการใช้ข้อกล่าวหามันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะถ้าเราไปศึกษากลไกของอัลกอริทึม (Algorithm) เขาจะมีแพลตฟอร์มในการทำคอนเทนต์เพื่อขึ้นฟีด ให้พี่น้องประชาชนได้เห็น ซึ่งถ้าคนติดตามเรื่องราวโซเชียลใด ๆ จะทำให้พี่น้องประชาชนมีอารมณ์ร่วม ในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องมีข้อเท็จจริง โดยถ้านำเหตุผลหลักการ มาเปิดและแถลงให้เห็น คงไม่มีคนอ่าน
“ถ้าเราปล่อยให้สังคมมีมาตรฐาน ในเรื่องการแสดงข้อกล่าวหา และ ปรักปรำ สร้างความเกลียดชัง ให้คนเข้าใจผิด ทำให้คนที่ถูกกล่าวหา ถูกดูแคลน ผมว่าจะเป็นมาตรฐานที่จะถูกปูให้กับอนาคตของประเทศ ผมว่าไม่ถูกต้องและอันตราย”
ที่สำคัญกลไกของอัลกอริทึม (Algorithm) ที่เป็นภาพลักษณ์ด้านลบจะกระจายเร็ว ถูกป้อนให้เห็นมากขึ้น แม้ข้อมูลจะยังไม่ถูกยืนยันก็ตาม ว่ากันว่าอัลกอริทึมจะเลือกโชว์สิ่งที่คิดว่า ‘ตรงใจ’ ผู้ใช้ ผู้ดู ยิ่งคนเริ่มเห็นเนื้อหาเชิงลบเกี่ยวกับบุคคลหนึ่งบ่อย ๆ ระบบจะเสนอต่อเนื่อง ทำให้คนที่เข้าไปดูเชื่อว่าคนนั้น ‘ไม่ดี’ โดยไม่มีข้อเท็จจริงเข้าไปเสริมหรือไปต้านสิ่งที่เรากำลังดู
จากข้อกล่าวหาจะกลายเป็นเรื่องของความเชื่อ!
“คอนเทนต์ที่เขาทำสร้างความนิยม สร้างความสนใจ สร้างคะแนนเสียงและแสดงตนว่าเป็นผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของประเทศ ถามว่า สส.ฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบดีหรือไม่ ต้องบอกว่าดี ในอดีต สส.ฝ่ายค้านจะปล่อยข้อมูลอะไรออกมาตรวจทานซ้ำ ๆ เพื่อเสนอข้อมูลให้เป็นที่น่าเชื่อถือ”
ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อฝ่ายค้านนำเสนอข้อมูลอะไรออกมา สื่อมวลชนจะเป็นคนนำเสนอ และกลั่นกรองข้อมูลด้วยความระมัดระวัง ถ้าอีกฝ่ายให้เสนอข้อมูลที่ไม่มีหลักฐาน สื่อมวลชนจะไม่นำเสนอเพราะไม่ต้องการเป็นเครื่องมือและถูกฟ้องเป็นคดีความ แต่ปัจจุบันทุกคนเป็นสื่อ มีพื้นที่ของตัวเอง อยากทำคอนเทนต์อะไรก็สามารถลงในพื้นที่ของตัวเอง และแชร์ต่อให้สังคมได้รับรู้และสร้าง ‘ความเชื่อ’ ได้อย่างรวดเร็ว
ถ้าจะถามว่าทำไม? ผู้กองธรรมนัสจึงเป็นเป้าหมายในการโจมตี ผู้การป๊อบ บอกว่าการที่จะสร้างคะแนนความเชื่อถือได้ต้องเลือกเป้าหมายที่มีการปั่นจนติดกระแสไปแล้ว อยากให้สังคมตามดูแต่ละประเด็น โดยเริ่มจากนายรังสิมันต์ โรม พรรคประชาชน พูดเรื่องผู้กองธรรมนัส เชื่อมโยงและสัมพันธ์กับ นายเบน สมิท พูดถึงแก๊งสแกมเมอร์ และผลิตซ้ำทางความคิดไปเรื่อย ๆ จนคนเชื่อและคล้อยตามว่าผู้กองธรรมนัสเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ส่วนข้อเท็จจริงที่ผู้กองธรรมนัสและพรรคกล้าธรรมพูดออกไปก็ไม่ทำให้หักล้างหรือลบความเชื่อในสิ่งที่รับรู้กันไปแล้ว
“การเขียนเรื่องราว สร้างความเกลียดชัง สร้างข้อมูลไม่จริงแม้ผู้ถูกกล่าวหาพยายามอธิบาย ทุกอย่างถูกตรวจสอบมีเอกสารหลักฐาน อธิบาย ครบถ้วนแล้ว มีคำโต้แย้งถูกต้อง แต่ก็จะมีคนที่ไม่ยอมแพ้ จะคิดว่า มีอะไรมากกว่านั้น คือ มันเป็นจิตใต้สำนึกของคน ซึ่งตรงนี้ โซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์มต่างๆ ก็เข้าใจ ถึงมีสูตรในการทำคอนเทนต์ที่จะให้ขึ้นฟีดติดอย่างรวดเร็ว”
ดังเช่นกรณีของ ‘มันคือแป้ง’ ที่ติดไวรัล ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีเหตุมีผล และไม่ให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ที่สร้างความเชื่อแบบผิด ๆ เพราะถ้าประเทศนี้เป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องมีกระบวนการยุติธรรม เมื่อกระบวนการยุติธรรมตัดสินแล้วจะบอกว่า ภายใต้การพิพากษาของศาล ที่มีคำวินิจฉัยชัดเจนครบถ้วน ฉันก็ยังอยากให้คุณผิดคือ ตรรกะ มันเพี้ยนๆ แล้วเพราะเราโดนจูงมาทางนี้จริงๆ หรือเหมือนกรณีเรื่องหวย ฝ่ายค้านไปดึงเอาเรื่องที่อยู่ภายใต้กระบวนการยุติธรรม คือ DSI กำลังสอบสวนคดีมาเป็นประเด็นโจมตีนายกรัฐมนตรีอนุทิน และพรรคกล้าธรรมได้อีก
อีกทั้งการโจมตีถี่ ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง เพราะใกล้เลือกตั้ง และพรรคกล้าธรรมก็มีบรรดา สส.พรรคต่าง ๆ ทยอยย้ายมาสังกัดกันมาก และถ้าเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้น สส.เหล่านี้มองเห็นว่าพรรคกล้าธรรมมีโอกาสเป็นรัฐบาลก็จะสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้ กรณีการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องประชาชนที่มีปัญหา คือ เราก็ทำงานทุกวัน เสาร์ อาทิตย์ ก็ไม่หยุดซึ่งต่างจากฝ่ายค้าน ที่ไม่ต้องลงพื้นที่
“สส.จะตัดสินใจย้ายไปพรรคไหน หลักการสำคัญคือประเมินว่าจะมีโอกาสได้รับเลือกตั้งในพื้นที่ตัวเองหรือไม่คือได้เป็นสส.ดูแลประชาชนพื้นที่ตัวเองหรือไม่ ส่วนผลประโยชน์ตามมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่เพราะเงินเป็นปัจจัยสำคัญ พรรคนี้สนับสนุนแสนบาท อีกพรรคสนับสนุนเป็นล้าน ๆ บาท แต่ถ้าไปแล้วสอบตกกี่ล้านก็ไม่มีใครไป ผมอยู่กับวงการเมืองมานานจึงเห็นและเข้าใจดี”
ต่อคำถามที่ว่าเหตุใด ผู้การป๊อบ จึงเลือกมาอยู่พรรคกล้าธรรม ทั้ง ๆ ที่ถูกมองเป็นพรรคทุนสีเทาและผู้กองธรรมนัสก็มีเรื่องฉาว ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เขาบอกว่า เชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นคนมีความรู้ความสามารถ มีความพร้อมหลายด้าน และมีพรรคการเมืองสนใจตัวเขาหลายพรรคเช่นกัน ที่สำคัญได้ศึกษาเกี่ยวกับตัวตนผู้กองธรรมนัส และพรรคกล้าทำ ทำให้มีความมั่นใจว่า ผู้กองธรรมนัส ไม่เกี่ยวพันกับธุรกิจที่ไม่ถูกต้อง และถ้าผู้กองฯทำจริงไปอยู่ร่วมไม่ได้แน่นอน
“ผู้กองธรรมนัสเป็นผู้แทน เป็นรัฐมนตรี สิ่งหนึ่งที่นักการเมืองถูกตรวจสอบคือ บัญชีทรัพย์สิน ทั้งฝ่ายค้านและทุกคนที่สนใจก็ไปเอกซเรย์ เส้นทางการเงินของผู้กองได้ว่าร่ำรวยผิดปรกติหรือเปล่า ซึ่งผู้กองก็พูดหลายรอบว่าก่อนเข้ามาการเมืองต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ผมจึงมั่นใจว่าผู้กองไม่เป็นสีเทา”
นอกจากนี้การจะตัดสินใจเลือกไปอยู่พรรคไหน ก็ต้องพิจารณาว่าพรรคที่จะไปสามารถแก้ปัญหาให้กับประชาชนในเขตพื้นที่ของตัวเองได้ ซึ่งผู้การป๊อบ เป็นผู้แทนเขตสายไหมมาหลายสมัย หากเลือกไปอยู่กับพรรคการเมืองที่ไม่สามารถไปทำอะไรให้พี่น้องได้ ครั้งต่อไปจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนหรือ แต่ถ้าเลือกพรรคกล้าธรรมวันนี้ ทุกสารพัดปัญหาที่เกิด ถึงวันนี้ยังแก้ไม่ได้ แต่ก็มีความชัดเจนที่จะไปแก้ในโอกาสต่อไป เมื่อความเชื่อ บวกกับความหวัง ประชาชนเกิดความมั่นใจจึงตัดสินใจเลือกมาอยู่พรรคกล้าธรรม
“ไปลงพื้นที่จะรู้ว่าพรรคกล้าธรรมได้รับความสนใจหรือไม่ เช่น กทม. แม้ความนิยมไม่เด่นชัดเหมือนฝ่ายพรรคก้าวหน้าแต่เมื่อดูข้อมูลประชากร ยังมีบางพื้นที่ให้ความไว้วางใจพรรคกล้าธรรม ส่วนพื้นที่ทั่วประเทศเรามี สส.เยอะ พรรคกล้าธรรมได้รับความนิยมและความไว้วางใจมากโดยเฉพาะพื้นที่ชายขอบ ที่ประชาชนไม่ได้รับการดูแล เหมือนคนในเมือง ยังมีความต้องการสิ่งพื้นฐานเหมือนคนในเมือง จะชอบพรรคกล้าธรรม เพราะพรรคเราลงไปจัดการปัญหาจริงๆ”
ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม ย้ำว่าพรรคเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง และสส.ของพรรคก็มีหน้าที่ลงพื้นที่กันทุกคน เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงปัญหา และแก้ไขปัญหาโดยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประชาชนในพื้นที่ซึ่งอยู่ใน DNA ของสส.พรรคกล้าธรรม อีกทั้ง สส.พรรคกล้าธรรมมีเวลาทำงานเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งพรรคกล้าธรรมก็ไม่ได้เชื่อมากว่าจะเป็นพรรคอันดับ 1 แต่จะเป็นอันดับใดก็ได้ขึ้นอยู่กับประชาชนให้ความไว้วางใจ
รวมไปถึงกระแสที่ว่าพรรคกล้าธรรม เป็นพรรคทุนหนา ทุนหนัก รวยจริง นั้น ข้อเท็จจริง สส.ที่มาอยู่พรรคกล้าธรรม ส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จกันมาแล้ว คือมีธุรกิจของตัวเอง จึงมีความสามารถในการพึ่งพาตัวเอง และพร้อมอาสาจะเป็นผู้แทนดูแลประชาชน และทุกคนพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบทรัพย์สิน ส่วนเรื่องข่าวลือจะใช้เงินซื้อเสียงมหาศาลนั้น ไม่น่าเป็นไปได้และน่าจะเป็นข้อกล่าวหา เพราะถ้าใช้เงินซื้อเสียง ก็จะง่ายต่อการถูกจับได้ ในสังคมที่ง่ายต่อการตรวจสอบ
อีกทั้งเชื่อว่าด้วยความพร้อม และความมุ่งมั่นของพรรคกล้าธรรมเชื่อมั่นว่าจะมีสส.อีกหลายคนที่จะทยอยย้ายมาสังกัดพรรคกล้าธรรมในเร็ว ๆ นี้ ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคกล้าธรรม โตเร็วจริงๆ จึงไม่ผิดที่พรรคกล้าธรรมจะตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีในประเด็นต่าง ๆ โดยเฉพาะถูกตีตราว่าเป็นพรรคไม่ดีหรือพรรคสีเทา นั่นเอง
ส่วนประเด็นสำคัญที่ผู้กองธรรมนัส และพรรคกล้าธรรมต้องคำนึงเมื่อสังคมเลือกที่จะ ‘เชื่อ’ ซึ่งเป็นความรู้สึก ผสมผสานข้อมูลอัลกอริทึมและมี ‘ภาพจำ’ ไปแล้วเราจะลบล้างความเชื่อที่ไม่ต้องการหลักฐานได้อย่างไร ขณะที่ความจริงต้องพิสูจน์ได้ โดยอาศัยหลักฐาน การตรวจสอบและกระบวนการยุติธรรมเป็นสำคัญ
กรณีผู้กองธรรมนัส จึงน่าจะเป็นโมเดลสำคัญตามที่ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม อธิบายกลไกของอัลกอริทึม (Algorithm) ซึ่งปรากฏให้เห็นชัดว่า ‘ภาพจำ’ ชนะ ‘ข้อมูลจริง’....เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้กองธรรมนัสและพรรคกล้าธรรม จึงเลือกที่จะเดินหน้าพิสูจน์ความจริง ในเวทีสาธารณะและในชั้นศาลต่อไป!!
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j



