โรงพยาบาลรัฐ-เอกชน-คนไข้บัตรทอง 48ล้านคน! รอความหวัง สปสชจะได้รับงบกลาง8,000 ล้านบาท เพื่อกอบกู้วิกฤตสาธารณสุข ส่วนเสียงเรียกร้อง‘ปฏิรูป สปสช.’ ผู้คุมเงินบัตรทอง 2 แสนล้านบาท ไร้ผลเมื่อ‘พัฒนา พร้อมพัฒน์’ รมว.สาธารณสุขย้อนถาม ระบบ สปสช.ดีอยู่แล้ว ต้องปฏิรูปอะไรและยังไม่ได้เสนอของบกลาง 8 พันล้านด้าน‘หมอเหรียญทอง’ ยืนยัน สปสช.จะหยุดวิกฤตนี้ได้เมื่อ‘สปสช.’ ต้องกล้าหาญ หยุดสนองการเมืองเพราะทุกกองทุนมีปัญหางบไม่เพียงพอ เรียกร้อง 3 ฝ่ายหยุด‘ประชานิยม’ถ้าทำไม่ได้บัตรทองไม่ล่มสลาย แต่จะด้อยคุณภาพ ชีวิตประชาชนจะตกต่ำประชาชนต้องเตรียมพร้อม‘กัดฟันพึ่งตัวเอง’ ระบบCOPAY ควรใช้ แต่ต้องคำนึงถึงต้นทุนแท้จริงก่อน!
การออกมาเรียกร้องขององค์กรแพทย์จากโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ ที่ต้องเผชิญและแบกรับปัญหามานานทั้งโรงพยาบาลขาดทุน ขณะที่แพทย์ พยาบาล ต่างทำงานหนักแต่ไม่ได้รับเงิน เนื่องจากรายได้หลักของโรงพยาบาลรัฐมาจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ บริหารโดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งมีงบประมาณปีละ 200,000 กว่าล้านบาท ดูแลผู้ถือบัตรทองกว่า 48 ล้านคน เมื่อโรงพยาบาลได้ให้การรักษาคนไข้ไปแล้ว แต่ สปสช.ไม่ได้จ่ายเงินตามจริง และค้างชำระหนี้ที่ต้องจ่ายจำนวนมาก อีกทั้งบางโรงพยาบาลได้ถูกเรียกเงินที่จ่ายไปแล้วคืน จึงก่อให้เกิดวิกฤตในระบบสาธารณสุขที่ผู้ที่เกี่ยวข้องเริ่มทนไม่ไหว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นผู้ที่ได้รับผลกระทบที่สุดคือคนไข้บัตรทอง เพราะเมื่อ สปสช.ไม่จ่ายเงิน โรงพยาบาลก็ไม่มีเงินที่จะไปใช้ในการบริหารโรงพยาบาลได้ และอาจถึงขั้นลดคุณภาพของยาที่จะใช้กับผู้ป่วยบัตรทองได้เช่นกัน แต่จะให้ถึงขั้นโรงพยาบาลรัฐปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยบัตรทองก็เป็นเรื่องที่โรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ทุกแห่งไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ ส่วนโรงพยาบาลเอกชนที่มีอยู่กว่า 400 แห่ง ยังรับระบบ สปสช. ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 10 แห่งเท่านั้นซึ่งถูกค้างชำระหนี้ทุกโรงพยาบาลเช่นกัน
แม้ว่าประเด็น สปสช.ไม่จ่ายหรือค้างชำระสถานพยาบาลต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาซ้ำซาก มีการส่งสัญญานให้เห็นมาหลายปีตั้งแต่ บรรดาคลินิกปฐมภูมิ ที่เข้าร่วมสิทธิบัตรทองต่าง ๆ ก็ทยอยยกเลิกเพราะ สปสช.จ่ายเงินล่าช้า คลินิกต้องประสบปัญหาเงินหมุนเวียนและยังมีปัญหาเรื่องงบประมาณการรักษาโรคเรื้องรังไม่เพียงพอ สิ่งที่เห็นแต่ละครั้งที่คลินิกทยอยยกเลิกก็คือ คนไข้บัตรทองถูกลอยแพ และ สปสช.ก็ต้องขอให้โรงพยาบาลรัฐช่วยรับไปดูแลก่อนจนกว่าจะหาคลินิกส่งต่อใหม่ได้
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ปรากฎให้สังคมได้เห็นและเรียกได้ว่าเป็นวิกฤตบัตรทองหรือวิกฤตศรัทธาที่มีต่อ สปสช.เด่นชัดที่สุดก็คือการออกมาถล่ม สปสช.ของ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ จะเรียกว่าเป็นยุทธวิธีอะไรก็แล้วแต่ ตั้งแต่การ ‘เรียกร้อง-ชน-ด่า-ประจาน-เบี้ยวหนี้’ แต่เป้าหมายคือการทวงหนี้ที่ สปสช.ไม่จ่ายให้กับรพ.มงกุฎวัฒนะ ที่เป็นคู่สัญญาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในหน้าเฟซบุ๊กของหมอเหรียญทอง หรือของ รพ.มงกุฎวัฒนะ การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง และการเข้าพบผู้บริหาร สปสช.ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่เคยจบสิ้น ซึ่งหนี้ค้างจ่ายล่าสุดที่ สปสช.ค้าง รพ.มงกุฎวัฒนะ น่าจะกว่า 100 ล้านบาท ส่งผลให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงจนเป็นเหตุให้ต้อง ‘หยุดรับรักษาชั่วคราว’
แต่การลุกขึ้นมาเปิดโปง ต่อต้าน สปสช.ที่ไม่จ่ายหนี้ค้างโรงพยาบาลรัฐครั้งนี้ ต้องยอมรับว่าสอดประสานเสียงกันได้อย่างดี ทั้งจากคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา, อาจารย์แพทย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ , 4 องค์กรแพทย์ และแพทย์หลายท่านที่ออกมาโพสต์ในเพจส่วนตัว และครั้งนี้ต้องยอมรับว่า สปสช.หนาว ๆ ร้อน ๆ จริง ๆ
ตัวอย่างเช่นเพจ Veerapun Suvannamai ซึ่งเป็นเพจ สว.หมอวีระพันธ์ ที่เรียกได้ว่าโพสต์รัว ๆ และนำข้อมูล สปสช.เป็นหนี้ค้างจ่ายโรงพยาบาลรัฐ แต่ละแห่งเท่าไหร่ มาเปิดเผย และยังโพสต์ชี้ให้เห็น สปสช.รู้! ระบบน่าจะมีปัญหา โดยเฉพาะเรื่อง adjRW 8,350 บาท
เพจ ‘Somsak Tiamkao’ ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า อายุรแพทย์ระบบประสาท โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น โพสต์ต่อเนื่องเตือนเรื่องระบบ สปสช.มานาน ล่าสุดโพสต์ อยากชวนแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องด้านการเงินของ รพ.ต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากระบบของ สปสช., เตือนอยากให้คนไทยทุกคนรับรู้ว่าท่านอาจจะได้รับผลกระทบจาก รพ.ขาดสภาพคล่องด้านการเงินเร็ว ๆ นี้
เพจ ‘หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า’ สรุปดรามา ‘บัตรทอง/สปสช.’ เรื่องใหญ่ที่คนไทยยังไม่รู้ตัว ระบบที่กำลังพัง-ก่อนจะสายเกินไป
เพจ Atthasit Dul-amnuay ของ นท.อรรถสิทธิ์ ดุลอำนวย หัวหน้าแผนกนิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลภูมิพลฯ โพสต์เรื่องนี้รัว ๆ ‘สปสช.คือตัวอย่างที่ดีของพวกไม่ไหวบอกไหว จะ#ปฏิรูป สปสช.หรือ จะ # ยุบ สปสช.
อีกทั้งองค์กรแพทย์จากโรงพยาบาลต่าง ๆ ได้มีการโพสต์และติดแฮชแท็ก
#กู้วิกฤตโรงพยาบาล #ต้องปฏิรูป สปสช. เพื่อกู้วิกฤตโรงพยาบาลที่กำลังขาดทุน เงินบำรุงติดลบ และกระทบต่อการดูแลผู้ป่วยโดยตรง ซึ่งแพทย์บางท่านก็ออกมาโพสต์ว่า ‘เงินน่ะมีพอ แต่ปัญหาอยู่ที่การบริหารทำให้เงินไปไม่ถึงโรงพยาบาล’
ขณะที่ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขา สปสช.ยอมรับว่า สปสช.มีหนี้ค้างจ่ายต่อโรงพยาบาลทั่วประเทศทั้งภาครัฐและเอกชน รวมหลายพันล้านบาท โดยอยู่ระหว่างกระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มเติมจากงบกลางประมาณ 8,000 ล้านบาท และยืนยันว่าทุกโรงพยาบาลจะได้รับเงินครบซึ่งประชาคมแพทย์ก็ขอให้ สปสช.นำเงินนี้ไปชำระหนี้ค้างจ่ายจริงๆ ไม่ควรนำไปจัดทำหรือผุดโครงการใหม่ ๆ ขึ้นมาอีก
แต่ข่าวล่าสุดนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข ยังไม่ได้เสนอของบกลางจาก ครม.8,000 ล้านบาทเพื่อมาแก้วิกฤตโรงพยาบาลขาดทุน อีกทั้ง รมว.สธ.ยังบอกอีกว่า ระบบ สปสช.ดีอยู่แล้ว ต้องปฏิรูปอะไร
ว่าไปแล้ววิกฤตระบบสาธารณสุขที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ควรหรือไม่ที่จะต้องยุบ สปสช.หรือกำลังสะท้อนระบบสาธารณสุขในอนาคตที่คนไข้สิทธิบัตรทองกว่า 48 ล้านคนและคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก ต้องตระหนักและควรจะเตรียมตัวรับมือเช่นไร
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ ระบุว่า สปสช.มีหนี้ค้างจ่ายกับ รพ.มงกุฎวัฒนะ และโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศจนถึงขั้นวิกฤตเพราะทุกแห่งขาดสภาพคล่องทางการเงินที่จะมาใช้ในการบริหารนั้น จริงๆ แล้วเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุก รพ.-คลินิก และสถานพยาบาลซึ่งเป็นหน่วยบริการที่อยู่ในระบบบัตรทอง หรือระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพียงแต่ รพ.มงกุฎวัฒนะ เป็นเอกชน และเป็น ‘บริษัทมหาชน’ ที่มีระบบบัญชีที่เป็นมาตรฐานการบัญชี ต้องถูกตรวจสอบอย่างถูกต้อง ดังนั้นปัญหาหนี้ค้างจ่ายจาก สปสช. จึงต้องถูกบันทึกอย่างถูกต้องตรงไปตรงมาตามที่ สปสช. กำหนดกติกา เมื่อ สปสช. เป็นลูกหนี้ รพ.มงกุฎวัฒนะ เราก็ต้องบันทึกเป็นลูกหนี้ สปสช. จะเปลี่ยนสถานะจากลูกหนี้เป็นเจ้าหนี้ตามอำเภอใจหรือเหตุผลความจำเป็นของ สปสช. ไม่ได้
ทั้งนี้ในการบริหารของ สปสช.จะมีการแบ่งกองทุนสุขภาพ เป็นหลายกองทุนย่อย และกองทุนใหญ่ ๆ ที่สำคัญ เป็น กองทุนผู้ป่วยนอก (OP) , กองทุนผู้ป่วยใน (IP) ซึ่งจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลและเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานที่โรงพยาบาลไม่สามารถปฏิเสธการรักษาได้, กองทุนย่อยอื่นๆ เช่น กองทุนเฉพาะโรค เป็นต้น
“ทุกกองทุนมีปัญหาจากความไม่เพียงพอ ทำให้ สปสช. มีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ กติกาแบบ ‘มัดมือชก’ แล้ว ‘บังคับย้อนหลัง’ ขณะที่ รพ.หรือหน่วยบริการไม่สามารถเปลี่ยนต้นทุนค่าใช้จ่ายย้อนหลังไปบังคับค่าแรง-ค่าวัตถุดิบได้”
ที่สำคัญยังมีการเรียกเงินคืนย้อนหลัง หาก สปสช. ต้องการก็จะหาเรื่องเรียกคืน การหาเรื่องจับผิด สามารถหาเรื่องผิดได้ทั้งนั้น เพราะ รพ.หรือหน่วยบริการ ปฏิบัติงานที่รับภาระผู้ป่วยจำนวนมากย่อมไม่มีความสมบูรณ์ถูกต้องในการคีย์เบิก ดังนั้นหาเรื่องจับผิด สปสช. ก็จะผิดได้เสมอ
ในส่วนของ รพ.มงกุฎวัฒนะ ก็ได้รับผลกระทบจากการค้างจ่ายของ สปสช. ซึ่งเรามีโมเดลที่ใช้ในการแก้ไขเพื่อให้โรงพยาบาลอยู่ได้และคนไข้บัตรทองได้รับการรักษาคือโครงการ ‘บัตรทองแพลทินัม’ ซึ่งเป็นโครงการสำหรับผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง ‘กัดฟันพึ่งตนเอง’ ด้วยการจ่ายเงินเองในราคา รพ.รัฐ ในราคาถูก หากต้องแอดมิตจึงใช้สิทธิบัตรทอง
โมเดลนี้ทำให้ รพ.มงกุฎวัฒนะสามารถให้บริการผู้ป่วยสิทธิบัตรทองได้โดยไม่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน ไม่ขาดกระแสเงินสด แต่เสมอทุน
ที่สำคัญ คือ ผู้ป่วยบัตรทองได้รับการบริการทางการแพทย์อย่างมีคุณภาพ ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าระบบที่ สปสช. จัดให้
หมอเหรียญทอง บอกว่า จุดเสียของ สปสช.มาจากการบริหารงานของ สปสช. เอง ตั้งแต่ระดับบอร์ดใหญ่ สปสช. – อนุกรรมการระดับเขต หรือที่เรียกว่า อปสช. – คณะกรรมการ/คณะทำงานกำหนดกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ พูดง่ายๆ ว่าทั้งองคาพยพของ สปสช. ตั้งแต่ระดับสูงสุด บอร์ดใหญ่ลงมาจนถึงระดับปฏิบัติการทั้งสิ้น
“สปสช.ไม่มีจุดแข็งใดๆ มิหนำซ้ำยิ่งเลวร้ายมากขึ้นในช่วง 2 ปีงบประมาณที่ผ่านมา หรือ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 67 จนถึงปัจจุบัน แต่การจะหยุดวิกฤตนี้ครั้งนี้ได้ สปสช. ต้องกล้าหาญ ยึดหลักความจำเป็นทางการแพทย์ ความเป็นจริง ความเป็นไปได้ ความสมดุล ไม่ใช่หลักการสนองนโยบายทางการเมืองท่ามกลางความจำกัดทางด้านงบประมาณ และข้อจำกัดของหน่วยบริการในระบบสาธารณสุขไทย”
นอกจากนี้ที่มีการเสนอให้ยุบ สปสช.นั้น ไม่ใช่การแก้ที่ต้นเหตุ แต่ต้องแก้ที่ระดับรัฐบาล-ฝ่ายการเมือง-ภาคประชาชน ในการกำหนดนโยบายประชานิยมให้สมดุลกับงบประมาณที่จำกัดให้ได้เสียก่อน หากรัฐบาล-ฝ่ายการเมือง-ภาคประชาชน ยังมุ่งแต่ประชานิยมโดยไม่คำนึงถึงความจำกัดทางด้านงบประมาณ และข้อจำกัดของหน่วยบริการในระบบสาธารณสุขไทยแล้ว ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ ระบบบัตรทองจะเป็นระบบที่ด้อยคุณภาพ ผลักภาระให้แก่หน่วยบริการกลายเป็นผู้เผชิญปัญหากับประชาชน
ประชาชนจะไม่ได้รับการบริการที่มีคุณภาพ ประชาชนจะไม่มีสุข ...สาธารณะจะไม่สุข...หรือพูดสั้นๆ ว่า “ไม่ใช่สาธารณสุข” นั่นเอง
ขณะเดียวกันวิกฤตระบบสุขภาพที่เกิดขึ้นครั้งนี้ กำลังบ่งชี้เพื่อให้ประชาชนต้องเตรียมตัว ‘กัดฟันพึ่งตนเอง’ แม้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ ระบบบัตรทอง จะไม่ล่มสลาย แต่จะเป็นระบบที่ด้อยคุณภาพ คุณภาพชีวิตของประชาชนจะตกต่ำ เช่น ได้ยาที่คุณภาพต่ำ ได้ยาไม่เพียงพอต้องเดินทางไปสถานพยาบาลถี่ขึ้น เสียเวลาในการใช้ชีวิตอย่างมีสุข ต้องขอใบส่งตัว ไป ๆ มา ๆ ต้องเดินทางไกลเพื่อไปรักษาต่อจากระบบส่งต่อผู้ป่วยที่มีอุปสรรคตั้งแต่หน่วยต้นทาง คือ คลินิก ไปจนถึงหน่วยรับการส่งต่อ หรือหน่วยปลายทาง คือ รพ. ฯลฯ
นี่คือระบบที่ด้อยคุณภาพ คุณภาพชีวิตของประชาชนที่จะตกต่ำลง ประชาชนต้องเตรียมตัว ‘กัดฟันพึ่งตนเอง’
หากจะถามว่าระบบ copay ควรนำมาใช้หรือไม่ หมอเหรียญทอง บอกว่า ควรนำมาใช้ ส่วนจะใช้อย่างไรนั้น จะต้องคำนึงถึงต้นทุนในการรักษาที่แท้จริงให้ได้เสียก่อน ไม่ใช่คิดกันง่ายๆ มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาเหมือน จ่ายแค่ 30 บาทแล้วก็มีปัญหาเรื้อรังตราบจนปัจจุบัน!
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j