หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ชี้ชัด กทม.-ปริมณฑลเตรียมรับมือวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ปี 2573 และจมบาดาลแน่ในปี 2593 ด้าน‘รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์’ จี้นายกฯอนุทินต้องตัดสินใจเลือกจะย้ายเมืองหลวงหรือทำระบบป้องกัน‘3น้ำ’
ทะลักเข้า กทม.-ปริมณฑลยอมรับสมุทรปราการรับศึกหนัก แจงรีบสร้างแก้มลิง รับน้ำ 6 พันล้านลบ.ม.พร้อมเขื่อนกั้นน้ำทะเลหนุนเพิ่มสูงอีก 40 เซนฯ หากไม่ทำ 3 จังหวัดจมน้ำ ด้านกทม.ระบุ ข่าวย้ายเมืองหลวง ปั่นราคาที่ดินพุ่งกระฉูด ทั้งโคราช-นครนายกแจงหากยังไม่พร้อมย้ายต้องใช้เทคนิคกำกับดูแลการโตของเมืองให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ยันสมุทรปราการน่าห่วงกว่ากทม.!
จริงหรือไม่! ที่ กทม.และอีก 2 จังหวัดปริมณฑล ต้องเผชิญกับวิกฤตน้ำท่วมหนักและถึงขั้นจมบาดาลชนิดที่ทุกคนคาดไม่ถึง หากรัฐบาลไม่เดินหน้าจัดการแก้ไขและรับมือตั้งแต่บัดนี้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำทำนายจากปากของหลวงปู่ศิลา สิริจันโท พระเกจิผู้ทรงวิทยาคมและมีญาณหยั่งรู้ล่วงหน้า ว่ากรุงเทพฯ จะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ในปี 2573 ถึงขั้นจมบาดาล เท่านั้น แต่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในระดับโลกชี้ชัดว่า กทม.และปริมาณฑล จมน้ำ100% ถึงขั้นเสนอให้รัฐบาลต้องเลือกตัดสินใจว่าจะสร้างแนวป้องกัน หรือ ย้ายเมืองหลวง กทม.ไปอยู่ที่อื่น เพราะต้องใช้เวลาเตรียมการกว่าจะได้ย้ายไปที่ใหม่ใช้เวลากว่า 20 ปี
ประเด็นดังกล่าวยังคงเป็นเรื่องที่พูดซ้ำซาก ที่ยังคงรอผู้นำรัฐบาลจะตัดสินใจเดินหน้าอย่างไร
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ ม.รังสิต และรองประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ระบุว่า เรื่อง กทม.และปริมณฑลจะจมบาดาลนั้น ยังคงยืนยันเหมือนเดิมหากรัฐบาลไม่เร่งจัดการแก้ไขปัญหา พื้นที่ชุมชนเมืองหลายจังหวัด รวมทั้ง กทม.และปริมณฑล ต้องเผชิญกับน้ำท่วมรอการระบายที่นับวันจะเกิดมากขึ้น ขณะที่บางพื้นที่อย่างชาวบ้านจังหวัดอยุธยา ต่างรู้สึกว่าทำไมพวกเขาต้องแบกรับน้ำแทนคนกรุงเทพฯ และต้องจมอยู่กับน้ำท่วมมานานซึ่งพวกเขาจะต้องทนอยู่แบบนี้ตลอดไปหรือไม่
“รัฐบาลควรตัดสินใจได้แล้วว่าจะย้ายหรือไม่ย้ายเมืองหลวง เพราะถ้ารัฐบาลไม่คิดเดินหน้าแก้ไขอะไร ก็จำเป็นต้องย้ายเมืองหลวง แต่ถ้าจัดการแก้ไขและป้องกันก็ไม่จำเป็นต้องย้าย เพราะการจะย้ายเมืองหลวงเป็นเรื่องใหญ่มาก ตัดสินใจวันนี้อีก 20-30 ปี ถึงจะสร้างเมืองใหม่เสร็จ”
ดังนั้นหากรัฐบาลไม่ต้องการจะย้ายเมืองหลวง สิ่งที่จะต้องดำเนินการ ประกอบด้วย
1.หามาตรการป้องกันน้ำทะเลสูงขึ้น โดยอาจมีการสร้างเขื่อน หรือคันป้องกันริมชายฝั่งทะเล หรือพื้นที่บางส่วนในทะเล เพื่อป้องกันน้ำทะเลหนุนสูงเข้ามาท่วม กทม. ซึ่งการจะตัดสินใจในการทำนั้นรัฐบาลจะต้องเจอกับปัญหาผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงต้องใช้เวลาในการดำเนินการนาน ขณะที่น้ำทะเลจะหนุนสูงขึ้นมาอีก 40 เซนฯ ในช่วงปี 2050
“ตัดสินใจช้ากระทบแน่ เพราะคันกั้นน้ำที่เคยมีอยู่ก็ต้องยกสูงขึ้นไปอีก ในความเป็นจริงไม่สามารถจะยกได้แล้ว เพราะคน กทม. ที่อยู่ริมน้ำ คงไม่ยอมให้ยกสูงขึ้นอีก เป็นเรื่องของทัศนียภาพจะมองไม่ดีเลย จึงจำเป็นที่รัฐบาลต้องทำคันกั้นน้ำที่ปากอ่าว แต่ก็อาจมีคนคัดค้าน ซึ่งรัฐบาลก็ต้องฟังเสียงมวลชน ไม่อยากมีข้อขัดแย้ง ก็ต้องปล่อยเวลาออกไปอีก”
ทั้งนี้ประเทศต่าง ๆ มีการรับมือจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน เช่น ประเทศสิงคโปร์ , ญี่ปุ่น , เกาหลี , นอร์เวย์ ไปสกอตแลนด์ ไปอังกฤษต่อด้วยฝรั่งเศส มีการสร้างเขื่อนป้องกันน้ำทะเลหนุน และเมืองเวนิสของอิตาลี เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเทศก็มีการสร้างเขื่อนที่แตกต่างกันไปเพื่อการรับมือกับน้ำทะเลที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ดี รศ.ดร. เสรี บอกว่า ได้ทำงานกับคณะทำงานกับคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change : IPCC) เป็นเวลา 10 ปี จึงเห็นข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ 3 งานวิจัยมันชัดมากๆ ว่าน้ำทะเลหนุนสูง ปี 2573 พบว่า ชายฝั่งทะเลทั้งหลายจะหายไป ไม่ใช่พูดกันแบบลอย ๆ จึงอยากกระตุ้นให้รัฐบาลได้เตรียมรับมือให้พร้อมที่จะป้องกันและแก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา
โดยเฉพาะน้ำทะเลที่สูงขึ้นจะทำให้เราสูญเสียแผ่นดินมากขึ้น ภายในปี พ.ศ 2573 , 2593, 2613, 2643 ตามลำดับ ปัจจุบันพื้นที่ริมทะเลจมหายไปประมาณ 600-1,000 เมตร จากแนวหลักเขตที่ดิน โดยยังไม่มีแผนรองรับใด ๆ
2. พื้นที่บริเวณก่อนถึงจังหวัดนครสวรรค์ ต้องจัดหาพื้นที่ให้น้ำอยู่ จะเป็นแก้มลิง หรือเขื่อน ที่จัดทำแล้วไม่มีปัญหา รองรับน้ำได้ประมาณ 6,000 ล้านลูกบาศก์เมตร เพราะน้ำที่ปล่อยจากนครสวรรค์ลงมา ส่งผลให้พื้นที่ต่าง ๆ จะมีน้ำท่วมสูงมากซึ่งจะเป็นเช่นนี้ทุกปี จึงจำเป็นต้องหาที่เก็บกักน้ำไว้ข้างบน เนื่องเพราะข้างล่างไม่มีที่เก็บไว้ได้แล้ว
3.น้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจ รัฐต้องเร่งปรับปรุงระบบระบายน้ำ ในพื้นที่ชุมชนเพราะหากไม่แก้ไขก็จะเจอน้ำท่วมหรือน้ำรอระบายเมื่อมีฝนตกหนัก
“ทั้ง 3 ประเด็น ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลจะดำเนินการใด ๆ ที่ผ่านมาเคยเสนอให้รัฐบาลกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ แต่ทุกอย่างก็เงียบ”
ที่สำคัญในทุก ๆ พื้นที่มีสภาพต่างคนต่างทำคือต้องปรับปรุงระบบระบายน้ำในพื้นที่รับผิดชอบกันเอง กทม.ก็ต้องดูแลพื้นที่ตัวเอง ปริมณฑลก็จัดการกันเอง ทำให้ไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำเหนือที่หลากเข้ามาได้ ซึ่ง กทม.ก็ต้องรับภาระทั้งจากเหตุแผ่นดินทรุด น้ำฝนที่มีปริมาณมาก รวมทั้งน้ำเหนือและน้ำทะเลหนุนด้วย
“ทุกวันนี้ต่างคนต่างทำ จังหวัดที่มีเงินและอยู่ตอนบนก็ป้องกันพื้นที่ตัวเอง การปล่อยให้ต่างคนต่างทำโดยรัฐบาลไม่มาดูแลจะแก้ปัญหาทั้งระบบไม่ได้ จังหวัดและคนที่อยู่ปลายน้ำหรือท้ายน้ำต้องรับศึกหนักเพราะได้รับผลกระทบมากที่สุด ทั้งน้ำเหนือ น้ำทะเลหนุน คือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล 5 จังหวัด จะรับภาระหนักที่สุด”
สำหรับจังหวัดสมุทรปราการ เป็นพื้นที่ที่น่าห่วงมาก ต้องรับน้ำทั้ง 3 เด้ง คือปริมาณน้ำฝนที่ตกหนักในพื้นที่ น้ำทะเลหนุน และเจอน้ำเหนือหลาก สุดท้ายพื้นที่สมุทรปราการจะสาหัสมาก เพราะในอนาคตปริมาณน้ำจะมากขึ้น และสมุทรปราการก็ป้องกันตัวเองไม่ได้ เพราะแต่ละตำบลไม่คุยกันและยังไม่มีเวทีให้คุยกันด้วย ระหว่างผู้ว่าฯ สมุทรปราการและผู้ว่าฯ ชัยนาท เมื่อมีการปล่อยน้ำเข้ามาทั้งที่จังหวัดนี้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจมีอุตสาหกรรมขนาดเล็ก กลาง โรงงานและที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ในอนาคตไม่รีบแก้ไขอาจเสียหายเชิงเศรษฐกิจมากกว่า กทม. ซึ่ง กทม.จะเสียหายในเชิงภาพลักษณ์เพราะเป็นเมืองหลวง
รศ.ดร.เสรี ย้ำว่า รัฐบาลต้องทำการศึกษาและจัดทำเป็นแผนแม่บทออกมาให้ชัดเจน สิ่งที่ต้องรู้คือจะจัดเก็บน้ำไว้ที่ไหนก่อนถึงนครสวรรค์ ต้องมีการวิเคราะห์ตั้งแต่แม่น้ำปิง วัง ยม น่าน ลงมาจนถึงปากอ่าว และดูว่าตรงไหน พอที่จะเป็นที่เก็บน้ำไว้บ้าง และบริเวณตรงไหนที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่จะยอมให้สูญเสียไม่ได้ และพื้นที่ตรงไหนที่ยอมได้บ้าง เพื่อมาประเมินกันต่อว่าจุดไหนต้องจัดทำเร่งด่วนและต้องจัดสรรงบประมาณออกมาดำนเนินการได้
“ปัจจุบันเรายังไม่มีพื้นที่รับน้ำแก้มลิง มีแต่บึงบอระเพ็ด บึงสีไฟ เท่านั้น นอกนั้นเป็นพื้นที่ของเอกชน ถึงบอกว่า ต้องหาพื้นที่รับน้ำไว้”
รศ.ดร.เสรี ย้ำว่า อยากเรียกร้องนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีมหาดไทย รีบดำเนินการจัดทำเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบถ้าไม่ทำอะไรเลยจะเกิดวิกฤตในปี 2050 กทม. สมุทรปราการและสมุทรสงคราม จมบาดาลแน่นอน!
ด้านแหล่งข่าวจาก กทม. ระบุว่า การที่จะแก้วิกฤตน้ำท่วม และมีข้อมูลวิชาการชี้ชัดว่า กทม.จะจมบาดาลนั้น ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าการพูดว่าต้องย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อื่นนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่หารู้ไม่ว่าการพูดแบบนี้ มันทำให้ราคาที่ดินที่มีผลการศึกษาว่าควรไปอยู่ที่นั่นที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นนครราชสีมา หรือนครนายกนั้น แต่ละแห่งปั่นราคาที่ดินกันขึ้นไปเท่าไหร่แล้ว บรรดานายหน้าก็วิ่งกันวุ่นจากราคาวาละแค่หลักร้อยหลักพัน ก็ขึ้นไปเป็นวาละ 2-3 หมื่น พวกนี้แหละคือคนที่ได้ประโยชน์
“การจะย้ายเมืองต้องมีที่ดิน มีทำเล เตรียมระบบสาธารณูปโภคไว้รองรับ พูดวันนี้ ลงมือวันนี้ก็ต้องอีก20ปี ถึงจะย้ายได้ ถามว่างบประมาณเป็นหลายล้าน ๆ จะเอามาจากที่ไหน ควรดูความจำเป็นด้วยว่าควรย้ายหรือไม่เพราะอะไร”
ปัจจัยสำคัญที่ต้องคิดคือ กทม.เป็นเมืองที่โต และถ้าโตแล้วเราสามารถกำกับดูแลการโตได้ และใช้งบประมาณที่น้อยกว่า เรามุ่งเน้นทำสิ่งนี้ไม่ดีกว่าหรือ?
“การก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินที่พบว่าดินถล่มนั้น ปัญหาคือดินมันอ่อน และดินมันปลิ้นเข้าจังหวะรอยต่อ มีทางเดียว คือ ต้องย้ำตัวรอยต่อด้วยการทำเทคนิคพิเศษมากกว่าปกติ ก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไป เพราะบ้านเราไม่ว่าขุดไปตรงไหนก็เจอท่อ ยุ่งยากมาก สร้างระบบลอยฟ้าก็ไม่ได้เพราะมีเงื่อนไขกำหนดไว้ ส่วนเรื่องแผ่นดินทรุด หลังห้ามขุดเจาะน้ำบาดาลดีขึ้นมาก เมื่อก่อนทรุดปีละ 10 เซนฯ ทุกวันนี้ทรุดไม่ถึงเซนฯ”
ประเด็นสำคัญเมื่อรัฐบาลยังไม่ตัดสินใจย้ายเมืองหลวง กทม.ก็ต้องมาจัดการกำกับการโตของเมืองและระบบสาธารณูปโภค ระบบระบายน้ำและหน่วยงานของรัฐ กระทรวง ทบวงกรมต่าง ๆ ที่อยู่แออัด ก็ควรย้ายออกไปอยู่นอกเมือง ซึ่งสามารถทำได้ง่ายเพราะมีงบประมาณรัฐจัดสรรให้อยู่แล้ว หรืออย่างหน่วยทหาร เป็นต้น ส่วนพื้นที่ต่าง ๆ แต่ละเขตก็ต้องมีระบบการดูแลชุมชนจัดรูปแบบให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่นั้น ๆ แต่ละเขตก็จะมีความเด่นไปคนละด้าน
ในเรื่องของระบบระบายน้ำ หรือคันกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา วันนี้สามารถสรุปได้ว่า กทม.เอาน้ำอยู่ จะมีปัญหาสำคัญที่อยู่ระหว่างการแก้ไขก็คือการโอนตำรวจจราจร ให้มาขึ้นกับ กทม.ซึ่งเวลานี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ยอมปล่อย ส่วนเรื่องการสร้างเมืองหลวงใหม่ คิดเอามันส์ สนุกได้ แต่จะหาเงินที่ไหนไปทำ ต้องคิดให้รอบคอบ แต่ถ้าวิเคราะห์แล้วเห็นว่าไม่ไหวจริง ๆ ก็จำเป็นต้องย้าย
ขณะเดียวกันจังหวัดที่น่าห่วงมากกว่า กทม.คือ สมุทรปราการ เป็นเมืองที่โตแบบไร้ทิศทาง มีอุตสาหกรรมขนาดเล็กและกลางมาก ที่อยู่อาศัยก็มาก น้ำท่วมสูงทั้งจากน้ำฝน น้ำหนุน น้ำหลากที่มารวมกันที่นี่ จึงน่าจะจัดการแก้ปัญหาค่อนข้างลำบากมากเมื่อเทียบกับ กทม.!
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


