“รศ.ดร.ปณิธาน” ชี้ “ทรัมป์”ต้องการเป็นตัวกลางสงบศึกไทย-กัมพูชา เพื่อนำผลงานไปใช้หาเสียง ระบุ ไทยรับไม่ได้ที่สหรัฐฯเส่งทีมเข้ามากำกับการหยุดยิง หวั่นถูกแทรกแซง ทำให้ไทยเสียเปรียบ แนะ ไทยแทคทีม “กระทรวงต่างประเทศ-กลาโหม-ก.พาณิชย์” รับมือในการเจรจา พร้อมทั้งส่งบุคคลระดับสูงที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอเมริกาไปล็อบบี้ เชื่อจะสามารถใช้คอนเนกชันพาไทยฝ่าอุปสรรคเช่นเดียวกับครั้ง“วิกฤตต้มยำกุ้ง” โดยไทยอาจยื่นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ แลกกับการสนับสนุน
เป็นที่วิจารณ์อย่างหนักสำหรับกรณีที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯต้องการนั่งเป็นประธานใน"พิธีข้อตกลงสันติภาพ" ระว่างไทยและกัมพูชาในการประชุมอาเซียน ที่ประเทศมาเลเซีย ในช่วงปลายเดือน ต.ค. 2568 นี้ ซึ่งหลายฝ่ายเกรงว่าการที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯซึ่งมีท่าทีเอนเอียงไปทางกัมพูชาจะเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาอาจทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบ
และหากเป็นเช่นนั้นไทยควรจะรับมือกับศึกครั้งนี้อย่างไร ?
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ให้ข้อมูลว่า กรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการนั่งเป็นประธานใน"พิธีข้อตกลงสันติภาพ" ระว่างไทยและกัมพูชานั้น ขณะนี้ฝ่ายไทยยังไม่ได้ตัดสินใจรับข้อเสนอของสหรัฐฯทั้งหมด โดยน่าจะยังอยู่ในกระบวนการเจรจา
ประเด็นแรก ทางสหรัฐฯน่าจะกังวลเหมือนที่เขาบอกเราในการประชุมสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก ช่วงปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งครั้งนั้นเป็นการประชุม 4 ฝ่าย ประกอบด้วย ไทย กัมพูชา มาเลเซีย และสหรัฐ โดย รมช.ต่างประเทศสหรัฐฯแสดงความกังวลว่าข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชาซึ่งสหรัฐมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นนั้นไม่มีความคืบหน้า ไม่มีการปฏิบัติที่ชัดเจน เขาเลยเป็นห่วงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นมา โดยเฉพาะประเด็นที่จะกระทบกับชื่อเสียงของสหรัฐฯซึ่งเป็นตัวกลางในการเจรจา
ประเด็นที่ 2 คือสหรัฐได้เสนอเอกสาร Political agreement เพื่อให้มีการลงนามร่วมกัน แต่ไทยยังไม่ได้ตอบรับเนื่องจากมีบางข้อที่ไทยเป็นกังวลเนื่องจากมองว่าไทยอาจจะเสียเปรียบกัมพูชา โดยการลงนามจะมีขึ้นในการประชุมอาเซียนที่จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ พร้อมทั้งประกาศความสำเร็จร่วมกัน ซึ่งรายละเอียดดังกล่าวเขาได้เสนอมาให้ไทยพิจารณาแล้วแต่ฝ่ายไทยยังไม่มีใครยืนยัน แม้แต่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้โดยตรง
ประเด็นที่ 3 สหรัฐฯต้องการนำความสำเร็จจากการเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชากลับไปใช้ทางการเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกาว่าเขาเป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ ได้รับรางวัลโนเบล เพื่อให้ฐานเสียงในสหรัฐฯพอใจเพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ หาเสียงมาแต่แรก
“ มีรายงานหลายกระแสว่าสหรัฐฯได้เสนอเอกสาร Political agreement ซึ่งเป็นข้อตกลงทางการเมืองเพิ่มเติมจากข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวมีกลไกบางอย่างที่เรากังวลอยู่ ยกตัวอย่างเช่น มีทีมงานของสหรัฐฯเข้ามาช่วยกำกับดูแลการหยุดยิง ซึ่งไทยอาจจะรับไม่ได้ ขณะที่สหรัฐฯก็ต้องการประกาศความสำเร็จว่าได้มีการลงนามสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา ก็คงต้องมีการเจรจาต่อรองกัน ” รศ.ดร.ปณิธาน ระบุ
รศ.ดร.ปณิธาน กล่าวต่อว่า ที่จริงสหรัฐฯเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชามาตั้งแต่แรกที่มีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนเข้ามาแล้ว แต่คำประกาศล่าสุดของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการนั่งเป็นประธานใน"พิธีข้อตกลงสันติภาพ" ระว่างไทยและกัมพูชาในการประชุมอาเซียนอาจทำให้คนไทยมีความวิตก ซึ่งวิธีการรับมือก็คือต้องดูเงื่อนไขต่างๆไม่ให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชา เช่น ต้องระวังว่าจะมีกลไกอะไรเพิ่มเติมในข้อตกลงหยุดยิงซึ่งเป็นการแทรกแซงไทยหรือเปล่า ซึ่ง รมว.ต่างประเทศของไทยก็ยืนยันว่าจะไม่ให้มีการแทรกแซงกิจการภายในของไทย
ส่วนที่สหรัฐฯยื่นเงื่อนไขว่าจีนต้องไม่ข้ามามีบทบทในการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น ก็อาจมีผลกระทบต่อการเจรจาเพราะที่ผ่านมาจีนก็ช่วยประสานงานในการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาและช่วยเหลือกัมพูชาในหลายด้าน รวมทั้งเคยส่งอาวุธให้กัมพูชาด้วย การกันจีนออกไปจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนพอสมควร ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้สหรัฐฯก็ส่งอาวุธให้ไทยด้วยเช่นกัน ดังนั้นไทยก็ต้องระวังว่าถ้าไทยกับกัมพูชาเปิดฉากปะทะกันอีกก็ต้องมีการส่งกำลังบำรุง แล้วไทยจะหาอาวุธเพิ่มเติมจากไหน จากสหรัฐฯได้หรือเปล่า ทางออกคือจีนอาจจะประชุมร่วมกับไทยและกัมพูชาคนละรอบกับสหรัฐฯก็ได้ ที่ผ่านมาการประชุมอาเซียนก็มีจีนเข้าร่วมอยู่แล้วเพราะเป็นระเบียบพิธีการทางการทูต ซึ่งเป็นหน้าที่ของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนที่จะต้องจัดการกลไกเหล่านี้ให้ดี ไม่ใช่หน้าที่ของไทย
การที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและสหรัฐฯซึ่งที่ผ่านมาล้วนยืนข้างกัมพูชาเข้ามามีบาบาทในการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น “รศ.ดร.ปณิธาน” มองว่า โดยพื้นฐานแล้วการแทรกแซงทางการเมืองจากประเทศมหาอำนาจย่อมไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้ว เพราะการที่เขาเข้ามานั้นก็เพื่อผลประโยชน์ของประเทศเขาเอง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของไทย อย่างไรก็ดีการแทรกแซงบางเรื่องถ้าไทยได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์ก็เป็นเรื่องที่รับได้ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนทางกัมพูชาจะได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์ กัมพูชาก็เลยตอบรับ ขณะที่ไทยนั้นเสียประโยชน์พอสมควรซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องหาทางแก้ไข เนื่องจากปัจจุบันจีนยังสนับสนุนกัมพูชาอยู่หลายเรื่อง ส่วนสหรัฐฯก็สนับสนุนกัมพูชาในบางเรื่องซึ่งอาจจะไม่ส่งผลดีกับไทยแต่ส่งผลดีต่อกัมพูชา ดังนั้นไทยทีมเจรจาของไทยจึงต้องประกอบด้วยหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทีมเจรจาของไทยที่เป็นฝ่ายข้าราชการอาจจะมีข้อจำกัดหลายอย่าง จึงต้องมีบุคคลระดับสูงที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับประเทศมหาอำนาจเข้ามาช่วยเพื่อให้การเจรจาต่อรองเป็นไปด้วยความราบรื่น
“ การเจรจาต่อรองเป็นเรื่องของการทูตซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ แต่กรณีนี้ต้องเอาฝ่ายทหารคือกระทรวงกลาโหมเข้าไปร่วมต่อรองด้วยเพราะไทยกับสหรัฐพึ่งพากันทางทหาร เขาก็พึ่งเราหลายเรื่อง เราก็พึ่งเขาหลายเรื่อง ส่วนเรื่องเศรษฐกิจการค้าทีมเศรษฐกิจก็อาจจะช่วยเจรจาได้ ดังนั้นทีมที่จะเจรจากับสหรัฐต้องประกอบด้วยทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งอาจใช้ช่องทางพิเศษโดยให้บุคคลระดับสูงที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐฯไปเจรจา ซึ่งเป็นวิธีที่ไทยเคยใช้ได้ผลในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งมาแล้ว โดยครั้งนั้นตอนแรกรัฐบาลอเมริกามีทีท่าที่จะไม่ให้ความช่วยเหลือไทยมากนัก และไทยมีปัญหาว่าไม่มีเงินพอที่จะซื้อเครื่องบิน F18 ทั้งที่ทำสัญญาและทยอยจ่ายเงินไปแล้ว แต่เมื่อมีการเจรจาโดยบุคคลระดับสูงก็ทำให้สหรัฐฯเข้ามาช่วยโดยรับซื้อเครื่องบิน F18 ไว้แทน นอกจากจะทำให้ไทยไม่ต้องเสียค่าปรับแล้วยังได้เงินที่จ่ายไปแล้วคืนด้วย อีกทั้งช่วงต้มยำกุ้งไทยยังส่งบุคคลระดับสูงไปเจรจากับจีน ส่งผลให้จีนประกาศไม่ลดค่าเงินหยวน ซึ่งช่วยให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าไปขายในราคาที่สามารถแข่งขันกับสินค้าจากจีนได้ ” รศ.ดร.ปณิธาน กล่าว
รศ.ดร.ปณิธาน ชี้ว่า ในการเจรจาครั้งนี้ไทยยังมีโอกาสที่จะได้เปรียบกัมพูชาเนื่องจากพื้นฐานด้านต่างๆของไทยเหนือกว่ากัมพูชาอยู่แล้ว โดยเราอาจจะมีข้อเสนอที่ประเทศยักษ์ใหญ่ได้ประโยชน์เพื่อให้เขาหันมาสนับสนุนไทย เช่น ความร่วมมือทางการทหารซึ่งไทยอาจจะให้สหรัฐฯสามารถเข้ามาใช้ฐานทัพที่อู่ตะเภา หรือใช้ฐานทัพที่พังงา หรือไทยอาจจะจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ รวมถึงร่วมปฏิบัติการกับกองทัพสหรัฐฯในการรักษาสันติภาพ ร่วมปราบปรามยาเสพติด ซึ่งไทยสามารถนำความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯมาพูดคุยเพื่อเพิ่มน้ำหนักในการเจรจาได้
ที่จริงแล้วไทยกับสหรัฐฯก็ยังเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันอยู่ สหรัฐฯยังมีความร่วมมือกับไทยในหลายด้าน เราเป็นพันธมิตรที่ดีทางการทหาร มีข้อตกลงในการป้องกันประเทศร่วมกันผ่านสนธิสัญญามะนิลา ซึ่งทำขึ้นเมื่อปี 1954 มีปฏิบัติการทางการทหารร่วมกันในแต่ละปีกว่า 50 ปฏิบัติการ อีกทั้งมีการซ้อมรบคอบร้าโกลด์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอีกด้วย
“ สหรัฐฯยังไม่ได้ทิ้งไทยนะ เพียงแต่ครั้งนี้เขาปรับน้ำหนักในการให้ความสำคัญกับกัมพูชามากขึ้น โดยเฉพาะเขาเห็นความสำคัญเรื่องการกดดันให้ไทยหยุดยิงมากกว่าจะสนับสนุนให้ไทยได้เปรียบในการรบกับกัมพูชาและรบให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่กลับให้เราหยุดการรบกับกัมพูชา ซึ่งแม้สหรัฐจะเพิ่มน้ำหนักในการให้ความสำคัญกับกัมพูชาเนื่องจากสหรัฐฯต้องการตั้งฐานทัพในกัมพูชาเพื่อลดอิทธิพลของจีน เขาต้องการเข้าไปมีอิทธิพลในกัมพูชาแทนจีน ต้องการแหล่งพลังงานของกัมพูชา ซึ่งทรัมป์ก็สนใจเรื่องพลังงาน ดังนั้นสหรัฐฯจึงสนใจกัมพูชามากกว่าไทย ซึ่งเชื่อว่าบริษัทเชฟรอนก็ต้องการขุดพลังงานในพื้นที่ที่อ้างว่าทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา เขาจึงต้องการให้มีการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชาเพื่อเปิดพื้นที่ในแหล่งพลังงงาน ทั้งหลุมเก่าที่เขาได้สัมปทานไปแต่ยังไม่สามารถขุดได้ และหลุมใหม่ๆที่ยังไม่มีใครได้สัมปทาน ซึ่งบริษัทที่จะเข้ามาขุดพลังงงานในภูมิภาคแถบนี้ก็มีไม่กี่บริษัท คือ จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส และสหรัฐฯ ” รศ.ดร.ปณิธาน ระบุ
รศ.ดร.ปณิธาน ชี้ว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น ในระยะสั้นคนไทยต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องการให้ไทยสูญเสียอธิปไตยและไม่ยอมให้กัมพูชารุกล้ำดินแดน ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาวนั้นไทยก็อาจจะพัฒนาความสัมพันธ์กับกัมพูชาให้ดีขึ้น เพื่อจะได้มีการเปิดด่านชายแดนให้มีการค้าขายได้เหมือนเดิม ขณะที่แรงงานของทั้งสองประเทศก็จะสามารถเข้าไปทำงานในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านได้
“ ในระยะสั้นคนไทยต้องการเห็นความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการจัดระเบียบชายแดน ให้กัมพูชาอพยพคนออกไปจากดินแดนของไทย รวมทั้งแก้ปัญหาการรุกรานไทยของกัมพูชา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการเมืองฝั่งไหน สีไหน ก็คงต้องการเหมือนกันหมด ทั้งนี้ก็ขึ้นกับรัฐบาลที่เป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนในระยะยาวไทยกับกัมพูชาก็คงต้องกลับไปฟื้นความสัมพันธ์ให้ดีกว่านี้ ไม่เช่นนั้นไม่ว่าจะยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 หรือไม่ก็คงไม่เป็นผล เพราะยังไงกัมพูชาก็ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ไทยจึงต้องดำเนินการเพื่อให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงให้ได้ก่อน แต่ตราบใดที่ตระกูลฮุนยังมีอำนาจอยู่ก็คงยากที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพราะเขาตั้งธงไว้แบบนี้ แต่ยังมีโอกาสที่จะพูดคุยกัน ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการต่อรอง เพราะกัมพูชาก็คงไม่อยากรบนานนัก เนื่องจากกำลังเขามีน้อยกว่าเรา ทั้งกำลังทางทหารและกำลังทางเศรษฐกิจ ” รศ.ดร.ปณิธาน กล่าว