“พล.อ.รังษี” เห็นด้วย “นายกฯอนุทิน”ให้อำนาจกองทัพปกป้องชายแดน ชี้ หากยึดดินแดนคืนได้-ทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพภัยคุกคาม คะแนนจะไหลมาเทมา เชื่อ“กัมพูชา”เตรียมเปิดศึกรอบใหม่เพื่อกดดันให้ไทยเปิดด่าน เหตุเศรษฐกิจเขมรย่ำแย่ เข้าสู่ภาวะล้มละลาย แนะ“กองทัพ” โจมตีศูนย์กลางยุทธศาสตร์ รุกเข้ายีดบ่อนกาสิโนในกัมพูชา เพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการเจรจา ด้าน “พล.ท.พงศกร” ระบุ นายกฯกับทหารต้องเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยกองทัพควรโชว์แผนสันติภาพ สร้างความชอบธรรม ก่อนลุยเขมร !
ได้ใจคนไทยทั้งประเทศทีเดียวเมื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ได้ออกมาประกาศว่าได้มอบอำนาจในการตัดสินใจเรื่องการเปิด-ปิดด่าน และการสร้างรั้วตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาให้แก่กองทัพ ส่วนรัฐบาลจะดำเนินการทางการทูต และเงื่อนไขที่ต้องเจรจาต่าง ๆเพื่อสนับสนุนการดำเนินการของกองทัพ แต่ก็มีบางฝ่ายไม่เห็นด้วย โดย นายฟูอาดี้ พิศสุวรรณ อดีตที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของพรรคก้าวไกล ระบุว่าการกระทำของนายอนุทินเป็นการสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ส่วนว่าในสายตาของผู้ที่เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงจะมองเช่นไร และนับจากนี้กองทัพควรใช้วิธีใดในการรับมือกับประเทศที่ไม่เคยเคารพกติกาอย่างกัมพูชา
พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ อดีตที่ปรึกษากองทัพภาคที่ 1 และหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ กล่าวว่า การที่นายกฯอนุทินมอบอำนาจให้กองทัพดำเนินการอย่างเต็มที่ในการปกป้องชายแดนไทย–กัมพูชานั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เนื่องจากนายกฯเป็นพลเรือนจึงไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การรบจึงควรให้ทหารเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งการปะทะครั้งใหม่นั้นเป็นไปได้ที่กัมพูชาอาจจะใช้อาวุธที่เหลืออยู่ทั้งหมดในการระดมโจมตีไทย โดยเฉพาะโดรนซึ่งกัมพูชามีอยู่ นอกจากนั้นกัมพูชายังมีขีปนาวุธ PHL-03 ซึ่งหากเป้าของเขาคือพลเรือนไทยจะเกิดความเสียหายอย่างมาก
โดยสาเหตุที่กัมพูชาต้องการเปิดสู้รบครั้งใหม่กับไทยก็เพื่อกดดันไทยให้เปิดด่าน หลายคนอาจสงสัยว่าถ้าต้องการให้ไทยเปิดด่านทำไมกัมพูชาไม่ใช้วิธีเจรจา แทนที่จะระดมชาวบ้านหรือทหารมายั่วยุซึ่งอาจนำไปสู่การสู้รบ ทั้งนี้ก็เพราะฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีของกัมพูชา ซึ่งครอบงำการบริหารประเทศอยู่นั้นไม่ได้มาจากนักธุรกิจที่มีประสบการณ์ในการเจรจาการค้า แต่คุ้นชินกับการสู้รบแบบทหารเพราะเขาเคยเป็นทหารเขมรแดงและผ่านชีวิตการรบราฆ่าฟันมา 20-30 ปีกว่าจะสงบ เติบโตมาจากการแปรภักษ์จากเขมรแดงไปเข้าข้างเวียดนาม หลังจากที่เวียดนามนำกองทัพมาปราบเขมรแดงก็ผลักดันให้ฮุน เซนขึ้นสู่อำนาจและอยู่ในตำแหน่งนายกฯมายาวนานเกือบ 40 ปี ทัศนคติของฮุน เซนจึงมองว่าการใช้กำลังสามารถบีบให้อีกฝ่ายยอมเจรจาในเงื่อนไขที่เขาต้องการและเชื่อว่าเขาสามารถต่อรองกับประเทศที่ใหญ่กว่าอย่างประเทศไทยได้
“ งวดนี้ฮุน เซน เข้าตาจนเนื่องจากกัมพูชามีปัญหาเศรษฐกิจภายในที่น่ากลัว เพราะไม่มีผู้นำเผด็จการคนไหนในโลกอยู่ได้ถ้าประชาชนหิวโหยหรือเศรษฐกิจพังพินาศ เพราะฉะนั้นฮุน เซน ต้องทำทุกอย่างให้ไทยเปิดด่าน เขาจึงพยายามเอาม็อบมาก่อกวน ยั่วยุ และตอนนี้ก็มีการเตรียมกำลังและเคลื่อนย้ายอาวุธหนักมาประชิดชายแดนพื้นที่กองทัพภาค 2 เพื่อกดดันไทยให้เจรจา ถ้าไม่เปิดด่านรายได้ที่มาจากบ่อนการพนัน สแกมเมอร์ รวมถึงการค้าขายบริเวณชายแดนจะหายไป ซึ่งกระทบต่อสภาวะการเงินการคลังของกัมพูชา โดย GDP ของกัมพูชา 1 ล้านล้านนั้นเป็นเงินที่ได้จากอบายมุขถึง 6 แสนล้าน หรือคิดเป็น 60% ส่วนที่เหลืออีก 40% เป็นรายได้จากการท่องเที่ยวและการค้า แต่ตอนนี้ทั้งภาคการค้า การบริการและการท่องเที่ยวพังหมดหลังจากที่ไทยปิดด่าน ถ้าไทยปิดด่านไปเรื่อยๆกัมพูชาจะเข้าสู่ภาวะล้มละลายทางการคลัง ดังนั้นเชื่อว่ากัมพูชาจะเปิดศึกรอบใหม่เพื่อดึงไทยไปสู่ศาลโลก เพื่อกดให้ไทยเจรจาเปิดด่าน ” พล.อ.รังษี กล่าว
สำหรับการแต่งตั้ง พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นนักรบอีสานใต้ เป็น รมช.กลาโหม ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการลดอำนาจสั่งการของ “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม นั้น “พล.อ.รังษี” วิเคราะห์ว่า การให้ พล.ท.อดุลย์ มานั่งในตำแหน่งดังกล่าวนั้นนายกฯน่าจะหวังให้เกิดความราบรื่นในการประสานงาน โดยสามารถต่อสายตรงจาก รมช.กลาโหม ไปถึง ผบ.ทบ.ได้เลย เนื่องจาก พล.ท.อดุลย์ เป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 26 รุ่นเดียวกับ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นกำลังหลักของกองทัพในการปกป้องชายแดนไทย-กัมพูชา อีกทั้ง พล.ท.อดุลย์ ยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่น วปอ.ของนายกฯอนุทินด้วย ดังนั้นการติดต่อประสานงานต่างๆจะง่ายกว่าคุยผ่านบิ๊กเล็ก ส่วนหลังจากนี้ พล.อ.ณัฐพล ในฐานะ รมว.กลาโหม จะมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาชายแดนมากน้อยแค่ไหนก็คงต้องรอดูกันต่อไป
ด้าน พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ชี้ว่า นายกฯอนุทินกับกองทัพต้องทำงานไปในทิศทางเดียวกัน อย่าให้ซ้ำรอยรัฐบาลที่ผ่านมา ยกตัวอย่าง กรณีที่รัฐบาลไทยเจรจาหยุดยิงกับกัมพูชา โดยไม่ได้หารือกับทางกองทัพ ทำให้ไทยเสียเปรียบในการสู้รบ ซึ่งตอนนี้เห็นชัดเจนว่ากัมพูชาอยากรบกับไทย เพราะเขาอยากดึงไทยให้กลับไปเจรจาใน UNSC (คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ)ใหม่ โดยอ้างว่าการที่ UNSC ให้ไทยกับกัมพูชาคุยกันในทวิภาคีนั้นคุยกันไม่รู้เรื่องกระทั่งเกิดการปะทะกัน จึงต้องให้นานาชาติช่วยแนะนำว่าไทยกับกัมพูชาต้องทำยังไง โดยขั้นต้นกัมพูชาก็จะขอให้เปิดด่าน ขั้นกลางก็ขอให้กัมพูชาได้สิทธิ์ใน 3 ปราสาท (ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย) โดยให้ศาลโลกเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งไทยก็ยืนยันแล้วว่าจะไม่เข้าสู่ศาลโลก ดังนั้นสถานการณ์จะนำไปสู่การสู้รบ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยถูกดึงเข้าสู่เวทีโลกเราก็ต้องทำให้นานาชาติเห็นว่าไทยดำเนินการตามแผนสันติภาพ
“ ยังไงไทยก็ไม่ไปศาลโลก จะรบก็ต้องรบ แต่ก่อนจะรบเราต้องสร้างความชอบธรรมโดยทำให้นานาชาติเห็นว่าเราต้องการสันติ เรามีแผนสันติภาพ โดยการขับเคลื่อนแผนสันติภาพของเราจะจบในกี่วันนั้นก็ต้องมีตัวเลขวัน เวลา ให้ชัดเจน เช่น จะเคลื่อนย้ายอาวุธหนักออกจากแนวชายแดนเมื่อไหร่ จากนั้นก็ย้ายทหารซึ่งเป็นกำลังหลักออก พื้นที่ซึ่งเป็นจุดเผชิญหน้าก็เปลี่ยนเป็นทหารพรานและ ตชด.แทน ส่วนปัญหาสแกมเมอร์ทางกัมพูชาก็ต้องอนุญาตให้ตำรวจไทยเข้าไปตรวจสอบในปอยเปตได้ เพื่อจะบอกนานาชาติว่าคุณมาดูสิ อีก 10 วันปัญหาก็จบแล้วนะ มันก็จะเป็นข่าว พอถึงเวลานานาชาติก็จะเห็นว่ากัมพูชาไม่ยอมรับแผนสันติภาพ ถ้ากัมพูชาไม่เอาก็รบต้องกัน ซึ่งตอนเคลื่อนย้ายอาวุธหนักออกจากแนวชายแดนนั้นเราไม่ต้องกลัวว่าหลังจากที่ทหารไทยเคลื่อนย้ายอาวุธออกไปแล้ว ไทยจะถูกกัมพูชาโจมตี เพราะถ้าโจมตีเมื่อไหร่ก็เป็นความชอบธรรมของไทยที่จะรบแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ” พล.ท.พงศกร กล่าว
ส่วนแนวทางการสู้รบกับกัมพูชาหากมีการปะทะกันรอบใหม่นั้น “พล.อ.รังษี” แนะนำว่า ในการรบนั้นต้องดูว่าศูนย์กลางยุทธศาสตร์ของข้าศึกที่หากเราโจมตีแล้วเขาจะยอมเจรจาคืออะไร สำหรับกัมพูชานั้นศูนย์กลางยุทธศาสตร์ก็คือบ่อนกาสิโนซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ ดังนั้นถ้ารอบนี้กัมพูชาใช้อาวุธที่เหลืออยู่ดำเนินการกับไทย โดยเฉพาะโจมตีเป้าหมายพลเรือน กองทัพไทยก็มีความชอบธรรมที่จะจัดการกับบ่อนกาสิโนซึ่งเป็นหัวใจและศูนย์กลางยุทธศาสตร์ของกัมพูชา ซึ่งหากไทยทำลายกาสิโนของกัมพูชาไปแล้วต่อให้เปิดด่านก็ไม่มีผลเพราะแหล่งรายได้หลักถูกทำลายไปหมดแล้ว ซึ่งกองทัพอาจจะจำเป็นต้องรุกเข้าไปในกัมพูชาเพื่อยึดภูมิประเทศสำคัญเพื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการเจรจาต่อรอง โดยจุดที่ควรยึดก็คือบ่อนกาสิโนที่ปอยเปต
ขณะที่การจะยึดบ้านหนองจานคืนนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดสะแก้วได้แจ้งกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจยของกัมพูชาแล้วว่าให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและนำชาวกัมพูชาออกไปจากบ้านหนองจานให้หมดภายในวันที่ 10 ต.ค.2568 ซึ่งหากกัมพูชาไม่ยอมออก ผู้ว่าฯสระแก้วจะต้องขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารให้ช่วยผลักดันออกไป ส่วนสิ่งปลูกสร้างก็ใช้รถแทรกเตอร์กวาดออกไปให้หมด
“ กัมพูชาต้องการปะทะกับไทยเพื่อดึงประเทศที่ 3 เข้ามาไกล่เกลี่ย หรือดึงไทยไปสู่ศาลโลก เพื่อให้นานาชาติกดดันให้ไทยเปิดด่าน แต่ถ้าไทยไม่เดินไปเข้าเกมเขา ก็ไม่มีผลอะไร ประเทศที่ 3 จะเชิญเราไปคุยกับกัมพูชา ถ้าเราไม่ไปก็ไม่มีผลอะไร หรือกัมพูชาไปฟ้องศาลโลก เราก็ไม่ไป เมื่อไม่มีคู่กรณีศาลโลกก็ตัดสินไม่ได้ นี่คือความชอบธรรมของเรา ” พล.อ.รังษี ระบุ
ขณะที่ พล.ท.พงศกร เห็นว่า สำหรับพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ซึ่งมีปัญหาชาวกัมพูชารุกล้ำดินแดนไทยเข้ามานั้น จะคลี่คลายได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายต้องถอนกำลังออกจากพื้นที่ก่อน ตอนนี้หากมีชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามา เจ้าหน้าที่ของไทยก็ต้องจับกุมดำเนินคดีและเนรเทศกลับไป ถ้ารัฐบาลกัมพูชาไม่ยอมรับก็ต้องเจรจากัน ซึ่งตรงนี้จะทำให้นานาชาติเห็นว่าไทยพยายามเดินตามแนวทางสันติภาพ แต่ถ้าเจรจาแล้วกัมพูชาไม่ตกลง ก็อาจจะต้องยิงกันและขับไล่ชาวกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ ส่วน 17 จุดใน จ.ตราด ซึ่งกัมพูชารุกล้ำเข้ามานั้นหากชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ของไทยก็สามารถผลักดันออกไปได้เลย ส่วนอาคารต่างๆที่สร้างรุกล้ำเข้ามาก็ต้องทุบทำลาย ไม่จำเป็นต้องมีการเจรจากันอีก
“ ตรงไหนที่ชัดเจนว่าเป็นแผ่นดินไทยก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว จัดการได้เลย เพราะเป็นอำนาจอธิปไตยของไทย แล้วก็ไม่ต้องสนใจ MOU 43 และ MOU 44 อีก เดิม MOU 43 ระบุว่ามีปัญหาอะไรก็ให้เจรจากันและอย่ากระทำการใดๆที่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน แต่พอไทยคุยแล้วกัมพูชาก็เงียบ ไม่ปฏิบัติตาม แล้วก็รุกล้ำเข้ามาตลอดเวลา ดังนั้นก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว ไม่ต้องสนใจ MOU แล้ว ประเทศอื่นที่มีปัญหาชายแดนกันเขาก็ไม่จำเป็นต้องมี MOU เลย จะทำเขตแดนอะไรก็ทำไป ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็รบกัน จบ ” พล.ท.พงศกร กล่าว
พล.อ.รังษี ชี้ว่า ภารกิจหลักของนายกฯอนุทินในการดำรงตำแหน่งช่วง 4 เดือนนี้ก็คือ
1. ยึดคืนแผ่นดินไทยที่ถูกกัมพูชารุกล้ำกลับคืนมา โดยเฉพาะพื้นที่หนองจานและหนองหญ้าแก้ว รวมถึงการทำลายบ่อนกาสิโนของกัมพูชาที่สร้างรุกล้ำแผ่นดินไทย ทั้งจุดที่ใกล้กับด่านช่องทางการค้าบ้านท่าเส้น ต.แหลมกลัด อ.เมืองตราด จ.ตราด และบ่อนสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
2. ทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพการเป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทย โดยทำลายกองกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ของกัมพูชาให้สิ้นซาก รวมทั้งทำลายบ่อกาสิโนซึ่งเป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์ของกัมพูชา เพื่อตัดแขนตัดขาฮุน เซน
ส่วนว่าหากกองทัพไทยปะทะกับกัมพูชารอบนี้ปัญหาทุกอย่างจะจบลงอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือไม่ก็ขึ้นกับนายกฯอนุทินว่าจะให้ทหารปฏิบัติการมากน้อยแค่ไหน หากมีการปะทะแล้วกัมพูชาใช้อาวุธทำร้ายพลเรือนของไทย นายกฯอนุทินก็ต้องกล้าสั่งการให้กองทัพไทยทำลายบ่อนปอยเปต และรุกเข้าไปยึดภูมิประเทศสำคัญในกัมพูชาเพื่อสร้างอำนาจในการเจรจาต่อรอง และที่สำคัญนายกฯต้องไม่มีการเจรจากับกัมพูชาในขณะที่ยังรบไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
“ ถ้านายกฯอนุทินสามารถทำ 2 ข้อนี้ได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จสำหรับการบริหารงานของรัฐบาลในระยะเวลาสั้นๆ ถามว่ายากไหม ยาก เพราะต้องใช้การตัดสินใจที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยว ผมเชื่อว่าทหารกล้าทำอยู่แล้ว แต่นายกฯจะกล้าตัดสินใจหรือเปล่า เพราะแม้ว่านายกฯจะให้อำนาจในการแก้ปัญหาชายแดนแก่ทหาร แต่ทหารจะตัดสินใจในกรณีที่มีการปะทะกันเป็นหลัก สุดท้ายถ้าเป็นเรื่องระหว่างประเทศ เช่น ทหารจำเป็นต้องรุกออกนอกประเทศ นายกฯก็ต้องเป็นคนตัดสินใจ หรือหากเขมรไม่ยอมรื้อสิ่งปลูกสร้างและไม่ยอมออกจากพื้นที่หนองจานตามที่ผู้ว่าฯสระแก้วยื่นหนังสือไป แล้วจำเป็นต้องใช้กำลังตำรวจหรือทหารผลักดัน นายกฯก็ต้องตัดสินใจ ที่สำคัญนายกฯอนุทินต้องกล้าให้ไทยรบแตกหักกับกัมพูชา ” พล.อ.รังษี ระบุ
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j