xs
xsm
sm
md
lg

ยัน“ไทย”ยกเลิก MOU 43-44 ฝ่ายเดียวได้ พรรคไหนกล้าจัดการ ได้คะแนนถล่มทลาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อ.ปานเทพ” เชื่อ “บิ๊กเล็ก”มีจุดยืนเรื่องการปิด-เปิดด่านต่างจากภูมิใจไทย พร้อมแนะ 5 แนวทางแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ รัฐบาลไทยสามารถยกเลิก MOU 43 – MOU 44 ฝ่ายเดียวได้ แม้จะจดทะเบียนเป็นสนธิสัญญาแล้วก็ไม่มีผล ระบุ MOU ดังกล่าวเป็นแรงจูงใจให้กัมพูชารุกล้ำแผ่นดินไทยด้วยมีหวังว่าจะได้ดินแดนเพิ่มขึ้น หากไม่ยกเลิกปัญหาชายแดนก็ไม่จบ ฟันธง เลือกตั้งครั้งหน้าพรรคไหนชูเรื่องยกเลิก MOU 43-44 จะได้คะแนนท่วมท้น แต่หาก “ภูมิใจไทย”ประกาศยกเลิกเอง จะส่งผลให้พรรคสีน้ำเงินกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจใหม่ในขั้วอนุรักษ์นิยม

เป็นประเด็นที่สร้างความวิตกให้แก่คนไทยไม่น้อยทีเดียวสำหรับกรณีที่ในปี 2554 รัฐบาลได้นำ MOU 43 ไปจดทะเบียนเป็นสนธิสัญญาในองค์การสหประชาชาติ เนื่องจากหวั่นเกรงกันว่าสนธิสัญญาดังกล่าวจะกลายเป็นข้อผูกมัดที่แน่นกว่าเดิมและนำไปสู่การเสียดินแดนหรือไม่ และไทยจะมีทางแก้ไขเรื่องนี้ได้หรือเปล่า ?

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ซึ่งติดตามเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชามายาวนาน ชี้ว่า กรณีที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้นำ MOU 43 ไปจดทะเบียนเป็นสนธิสัญญาใน “Treaty Series” ขององค์การสหประชาชาติ เมื่อปี 2554 นั้น เดิมในกฎบัตรสหประชาชาติมาตรา 102 ระบุว่าสิ่งที่ลงนามกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศหรือสนธิสัญญาก็ตาม องค์การสหประชาชาติจะถือว่าไม่รับรู้เรื่องด้วย หากจะไปยื่นต่อองค์กรใดๆในองค์การสหประชาชาติ ไม่ว่าจะเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือแม้กระทั่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศก็ตาม แปลว่ามันเป็นเรื่องระหว่างสองประเทศซึ่งสหประชาชาติไม่รับรู้เรื่องด้วย อีกทั้งเมื่อ MOU 2543 ลงนามไปแต่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนต่อเลขาธิการใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติก็แปลว่าทั้งไทยและกัมพูชาไม่สามารถจะนำไปอ้างในเวทีใดๆของสหประชาชาติได้

แต่ในปี 2554 ซึ่งมีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ไทยและกัมพูชากลับนำ MOU43 ไปขึ้นทะเบียนต่อเลขาธิการใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ ส่งผลให้กัมพูชาสามารถอาศัยการลงนามครั้งนั้นไปสู่เวทีใดๆในองค์การสหประชาชาติก็ได้ เช่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยกัมพูชาได้นำเรื่องนี้ขึ้นสู่สหประชาชาติในการตีความ ขณะที่ฝ่ายไทยก็เอา MOU เข้าไปประกอบด้วยว่าอยู่ระหว่างการเจรจาทวิภาคี โดยมี MOU 43 เป็นเครื่องมือในการเจรจาทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา โดยไม่ได้ตระหนักว่าใน MOU ดังกล่าวมันมีแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวอยู่ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ความคาดหวังที่คิดว่าการมี MOU จะทำให้ไม่ต้องมีการตัดสินใดๆจากศาลระหว่างประเทศจึงมีอันต้องล้มเหลว โดยจากคำวินิจฉัยของศาลระหว่างประเทศในปี 2556 ซึ่งขึ้นศาลมาตั้งแต่ปี 2554 ทำให้ไทยแพ้กัมพูชาอีกครั้ง

ดังนั้น MOU จึงไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง หนำซ้ำยังไปตอกย้ำสถานภาพของแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ให้มีสถานภาพการยอมรับ ทำให้การเจรจาเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาสำเร็จเป็นครั้งละแรก และส่งผลให้กัมพูชาใช้แรงจูงใจตรงนี้มารุกล้ำเขตแดนไทยจนถึงทุกวันนี้ เมื่อรุกล้ำทางกายภาพแล้วฝ่ายไทยเพิกเฉยหรือใช้กระดาษประท้วง ประเทศไทยก็ ประท้วงไป 600 กว่าครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ครั้นจะใช้ทหารไปผลักดันกัมพูชา ทางกัมพูชาก็ใช้ทั้งทหารและพลเรือนเป็นเกราะให้ทหารอีกที แล้วก็โวยวายว่าทหารไทยทำร้ายพลเรือนกัมพูชาและรุกล้ำแผ่นดินกัมพูชาตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 โดยหยิบยกคำพิพากษาของศาลโลกในปี 2505 และปี 2556 มาประกอบทันที

“ การที่ไทยยังยึด MOU 43-44 ก็จะเป็นแรงจูงใจให้กัมพูชารุกล้ำแผ่นดินไทยมากขึ้นเพราะมีหวังว่าจะได้ดินแดนเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้ไม่ได้แผ่นดินไทยทางกายภาพแต่ก็จะทำให้เวทีระดับประเทศมองว่าไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งไม่เคยยอมรับมาก่อนในคดีเขาพระวิหารเมื่อปี 2505 สำหรับทางแก้ในเรื่องนี้นั้นนั้นง่ายมาก เนื่องจากสนธิสัญญาเป็นเรื่องระหว่างสองประเทศ ถ้าประเทศใดประเทศหนึ่งไม่เห็นพ้องด้วยก็ยกเลิกได้ โดยไทยสามารถใช้มติ ครม.ยกเลิก MOU 43-44 ได้เลย แล้วตอนที่รัฐบาลในครั้งนั้นทำ MOU 43-44 ก็ไม่ได้ปรึกษารัฐสภา โดยอ้างว่าเป็นแค่กรอบการเจรจา ทั้งที่สนธิสัญญาจะต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ดังนั้นถ้าเห็นว่ากรอบการเจรจานั้นไม่ถูกต้องเราก็ยกเลิกได้ เนื่องจากกรอบการเจรจานั้นทำให้เกิดความเข้าใจผิด ทำให้เกิดความคาดหวังในสิ่งที่เกินสิทธิ์ของกัมพูชา เกิดแรงจูงใจในการรุกล้ำแผ่นดินไทย เราก็ควรยกเลิก ” อ.ปานเทพ ระบุ



อาจารย์ปานเทพ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ต้องไปดูคำอ้างอิงของ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล ทนายคนสุดท้ายในคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 ซึ่งท่านได้เคยกล่าวไว้ในปี 2554 ว่าความอันตรายที่สุดของ MOU 2543 คือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ถูกระบุใน MOU จึงควรต้องรีบยกเลิก โดย ดร.สมปองได้ให้ความเห็นว่าใครที่คิดว่าการยกเลิกต้องพร้อมใจกันทั้งสองประเทศนั้นเป็นความเข้าใจผิด เพราะการยกเลิกเกิดขึ้นจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้หากเห็นว่า MOU นั้นทำให้เกิดความเสียหายหรือทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศมากขึ้นก็ยกเลิก MOU นั้นเสียและไปสู่กรอบการเจรจาใหม่

ซึ่งก็มีคำถามว่าแล้วระหว่างที่กรอบการเจรจาใหม่ยังไม่เกิดขึ้นจะทำอย่างไร ไม่ต้องรบกันหรือ คำตอบคือไม่ต้องเพราะที่ผ่านมาไทยกับกัมพูชาแบ่งเขตแดนกันเสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยเรามีเขตแดนอย่างชัดเจนแล้ว ทำไมจะต้องรบกันเพียงเพราะไม่มี MOU ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเป็นร้อยปีไม่เคยมี MOU ทำไมทั้งสองประเทศก็อยู่ร่วมกันได้ และแม้จะมี MOU อย่างในปัจจุบันกัมพูชาก็ยังรุกล้ำเขตแดนไทยไม่เลิก

“ อย่างกรณีที่ชาวกัมพูชาบุกรุกดินแดนไทยเข้ามาบริเวณหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ก็เพราะเขามีแรงจูงใจว่าจะได้ดินแดนเพิ่มทำให้เกิดการรุกคืบ ซึ่งถ้าฝ่ายไทยไม่ผลักดันออกตั้งแต่แรกอาจจะด้วยความเมตตาสงสาร หรือปล่อยปละละเลย หรืออาจจะมีเรื่องของผลประโยชน์ก็ตาม ผลลัพธ์ที่ตามมาก็อย่างที่เห็นในปัจจุบัน คือกัมพูชาก็เข้ามาอยู่นานจนออกลูกออกหลานรุ่นแล้วรุ่นเล่าเขาก็คิดว่านั่นคือแผ่นดินกัมพูชา ดังนั้นเราต้องทำเขตแดนให้ชัดเจนตั้งแต่วันนี้ นอกจากนั้นตอนนี้กัมพูชาก็เริ่มไปรุกบริเวณ จ.ตราด ซึ่งใกล้กับเกาะกูด พื้นที่แถวนั้นมีทั้งกาสิโน บ่อนการพนัน และเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อีกมากมาย โดยเฉพาะหลักเขตที่มีเดิมพันกับทะเลในอ่าวไทย ซึ่งคนไทยก็มีหน้าที่ปกป้องอย่างถึงที่สุด ” อ.ปานเทพ กล่าว

ชาวกัมพูชาพร้อมท่อนไม้พากันมารื้อรั้วลาดหนามที่บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว จนเป็นเหตุให้เกิดการปะทะกับ คฝ.ของไทย
สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทินนั้น “อ.ปานเทพ” ระบุว่า ตอนนี้ยังไม่เห็นเนื่องจากรัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายและยังไม่มีอำนาจเต็ม รัฐบาลจึงไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ มีเพียงคำให้สัมภาษณ์ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่าไทยยังไม่เปิดด่านจนกว่ากัมพูชาจะทำตามความต้องการของประเทศไทย อย่างไรก็ดีพรรคภูมิใจไทยเคยมีจุดยืนก่อนหน้านี้ โดยนายชัยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เห็นว่าควรยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ก็แสดงว่าพรรคภูมิใจไทยต้องตระหนักและเห็นปัญหาหรือข้อบกพร่องของ MOU ดังกล่าว

ส่วนการทำงานของ “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ว่าที่ รมว.กลาโหม จะถือว่าเป็นทิศทางของรัฐบาลที่มีต่อการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาหรือไม่นั้นก็ยังตอบไม่ได้ เพราะบิ๊กเล็กเป็นนักการเมืองที่ถูกฝากมาด้วยความสัมพันธ์และโครงสร้างทางการเมืองซึ่งอาจจะมีข้อตกลงอะไรบางอย่าง เนื่องจากเป็น รมช.กลาโหมที่ข้ามมาจากรัฐบาลที่แล้วและทำงานต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลชุดนี้ในฐานะ รมว.กลาโหม ซึ่งอาจจะไม่ใช่จุดยืนเดียวกับพรรคภูมิใจไทย เพราะถ้ามีจุดยืนเดียวกันคงจะพูดเหมือนกันไปแล้ว

“ การที่บิ๊กเล็กบอกว่าต้องเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา หรือที่บิ๊กเล็กบอกว่าไทยจำเป็นต้องเปิดด่านเพราะถูกประเทศที่ 3 กดดัน ก็ไม่ใช่จุดยืนของพรรคภูมิใจไทย แสดงว่าเขาต้องมีจุดยืนบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน เราจึงเห็นสัญญานในการตั้ง รมช.กลาโหม โดยนายกฯอนุทินพูดว่าต้องมี รมช.กลาโหมเพราะเป็นความจำเป็น มีความไม่เหมือนกันตรงนี้ ดังนั้นท่าทีที่เหลือจึงขึ้นอยู่กับว่า รมว.กับ รมช.กลาโหมจะแบ่งงานกันยังไง จะเป็นหนึ่งเดียวกันได้หรือไม่ ที่สำคัญในเมื่อสถานภาพของพรรคภูมิใจไทยคือรัฐบาลจึงมีหน้าที่ยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลักมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่งอย่างที่มีข่าวเล่าลือ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ และถ้าไม่จริงภูมิใจไทยก็ต้องแถลงให้ชัดเจน และเดินหน้าพิสูจน์ความจริงให้ประชาชนคนไทยเห็น ” อ.ปานเทพ กล่าว

พบทหารกัมพูชาปลอมเป็นพระเข้ามายั่วยุ คฝ.ของไทยซึ่งตรึงกำลังอยู่บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว
อาจารย์ปานเทพ ยังได้แนะนำรัฐบาลภูมิใจไทยเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า รัฐบาลควรดำเนินการดังนั้น

1. ไทยจำเป็นต้องปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาต่อไป

2. ต้องอาศัยความขัดแย้งรอบนี้เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส คือต้องทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของไทย ไม่ว่าจะเป็นภัยจากการคุกคามทางทหาร การรุกล้ำดินแดนไทย รวมถึงการดูดทรัพย์สินของคนไทยด้วยบ่อนกาสิโน พนันออนไลน์ แฃะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะต้องสิ้นสภาพไปทั้งหมด ไทยจึงจะเปิดด่าน

3. ไทยต้องอาศัยจังหวะที่กัมพูชาละเมิด MOU อย่างต่อเนื่องตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ทำการพิสูจน์และยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 ที่มีจุดอ่อนเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งทำให้กัมพูชามีแรงจูงใจในการรุกล้ำดินแดนไทย เพื่อให้ MOU ดังกล่าวสิ้นสภาพไปในที่สุด

4. ระหว่างที่มีการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลต้องเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบในบริเวณที่มีการค้าขายตามแนวชายแดนในทุกมิติ เช่น ส่งเสริมให้มีการส่งออกไปยังประเทศอื่น มีการนำแรงงานจากประเทศอื่นมาทดแทนแรงงานกัมพูชา หรือยกเว้นภาษีบางประเภทให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ หรือมีมาตรการบางอย่างเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามแนวชายแดน

5. ต้องสร้างความเข้าใจในเวทีนานาชาติว่าที่ผ่านมากัมพูชาไม่ได้ปฏิบัติตามหลักกฎหมายสากล โดยเฉพาะกฎหมายทางทะเล รวมถึงการรุกล้ำแผ่นดินไทย การลักลอบเข้ามาวางทุนระเบิดในเขตแดนไทย และการยิงพลเรือนไทยด้วย ทั้งนี้เพื่อดึงให้นานาชาติหันมาสนับสนุนประเทศไทย

“ ถ้ารัฐบาลคุณอนุทินไม่ยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาก็จะยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งผมเชื่อว่าประเด็นเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า และเชื่อว่าถ้าพรรคภูมิใจไทยไม่ทำจะต้องมีพรรคการเมืองอื่นเสนอให้มีการยกเลิก MOU 43 เพราะเรื่องนี้เป็นกระแสหลักตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ถ้าภูมิใจไทยประกาศยกเลิก MOU ดังกล่าวเองก็จะสร้างผลงานให้ตัวเองและกลายเป็นพรรคหลักแทนพรรคอนุรักษ์นิยมทั้งหมด และจะกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจใหม่ในขั้วอนุรักษ์นิยม งานนี้พรรคไหนหาเสียงเรื่องการยกเลิก MOU 43-44 คะแนนจะเทไปพรรคนั้นแน่นอน ” อ.ปานเทพ ระบุ



ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


กำลังโหลดความคิดเห็น