xs
xsm
sm
md
lg

ชี้ คดีชั้น 14 “ทักษิณ”สมรู้ร่วมคิด เร่งเอาผิด ติดคุกเพิ่มอีก 6 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อ.เจษฎ์” ชี้ ผลพวงคดีชั้น 14 ส่งผลให้ “ทักษิณ”มีความผิดเพิ่ม ในฐานะ“ผู้สนับสนุน” ต้องรับโทษ 2 ใน 3 ของข้าราชการที่ทำผิดตามมาตรา 157 ซึ่งอาจทำให้ทักกี้ต้องติดคุกเพิ่มสูงสุดถึง 6 ปี อีกทั้ง “เศรษฐา-อุ๊งอิ๊ง” นายกฯในขณะนั้นส่อโดนด้วย ด้าน “ชาญชัย” เผย นอกจาก 12 ขรก.แล้ว จะมีคนติดคุกอีก 7-8 คน ย้ำ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” กับปลัดกระทรวงยุติธรรมก็ไม่รอด ขณะที่ “นิติธร” ระบุ “แม้ว”ขอพระราชทานอภัยโทษทั้งที่ยังไม่ติดคุก จึงขาดคุณสมบัติ ผู้เกี่ยวข้องเข้าข่ายผิด 157

แม้ว่า“นายทักษิณ ชินวัตร”ซึ่งถูกฟ้องร้องในคดีชั้น 14 จะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งให้นำตัวนายทักษิณกลับไปจำคุกเป็นเวลา 1 ปี แต่เรื่องนี้ยังมีภาคต่อเพราะแน่นอนว่าผู้ที่มีส่วนย้ายทักษิณไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจจะต้องมีความผิดด้วย

ส่วนว่าใครบ้างที่จะมีความผิด และโทษที่ได้รับจะมากน้อยเพียงใด คงต้องไปฟังความเห็นจากผู้รู้และผู้ที่เกี่ยวข้อง

นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ยื่นฟ้องนายทักษิณในคดีชั้น 14
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ยื่นฟ้องนายทักษิณในคดีชั้น 14 เปิดเผยว่า ผู้ที่มีความผิดชัดเจนคือ 12 ข้าราชการที่ช่วยเหลือนายทักษิณในคดีชั้น 14 โดยจะมีความผิดตามมาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 86 ฐานสมรู้ร่วมคิด คือกระทำการช่วยเหลือให้นักโทษคือนายทักษิณไม่ต้องถูกจำคุกในเรือนจำ ซึ่งทางทีมงานได้ร้องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ไว้แล้ว นอกจากนั้นยังมีนางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ซึ่งมีผู้ร้องไปยัง ป.ป.ช.ให้ดำเนินการเอาผิดแล้วเช่นกัน

ส่วนกรณีของนายทักษิณซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองชี้ว่ามีส่วนรู้เห็นในการย้ายไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจนั้น ทักษิณก็จะมีความผิดตามมาตรา 86 ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งกรณีนี้ ป.ป.ช.จะเป็นผู้ดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ อย่างไรก็ดีทางทีมเราจะไปแจ้งซ้ำที่ ป.ป.ช.อีกที โดยขณะนี้กำลังดำเนินการคัดคำพิพากษาอยู่ ซึ่งน่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 10 วัน

“ นอกจาก 12 ข้าราชการแล้วอาจมีรายชื่อเพิ่มขึ้นอีก 7-8 คน แต่เราต้องรอคัดคำพิพากษาก่อนจึงจะไปดำเนินการได้ ซึ่งในส่วนของปลัดกระทรวงยุติธรรมและ พ.ต.อ.ทวี รมว.ยุติธรรมนั้นเราจะทำการกล่าวโทษเพิ่มเติมด้วย ส่วนกรณีคุณทักษิณนั้น ป.ป.ช.ได้นั่งฟังคำพิพากษาของศาลฯอยู่ด้วย ซึ่ง ป.ป.ช.ต้องเอาสำนวนของศาลไปดำเนินการทางกฎหมาย แต่หาก ป.ป.ช.ไม่ดำเนินการภายใน 3 เดือนเราก็จะร้องเอาผิด ป.ป.ช.ด้วย สำหรับความผิดของคุณทักษิณในกรณีเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นจะมีโทษ 2 ใน 3 ของเจ้าหน้าที่ซึ่งมีความผิดในคดี 157 ” นายชาญชัย ระบุ

ด้าน นายนิติธร ล้ำเหลือ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีชั้น 14 ว่า ตอนนี้ต้องรอคำวินิจฉัยตัวเต็มของศาลศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกมาก่อนทางทีมงานจึงจะขับเคลื่อนเรื่องคดีต่อโดยจะเพิ่มเติมข้อมูลในการฟ้องเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้สมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้องค์กรพันธมิตรของเราก็ได้ไปยื่นฟ้องร้องต่อ ป.ป.ช.แล้วทั้งในส่วนของ 12 ข้าราชการและ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เท่าที่ทราบ ป.ป.ช.ก็สอบไปเยอะแล้วเหมือนกัน อีกทั้ง ป.ป.ช.จะนำเอาคำวินิจฉัยของศาลฯไปประกอบการพิจารณาด้วย

“ สำหรับนายทักษิณนั้นที่ผ่านมาเราไม่ได้ร้องกรณีที่ทักษิณมีส่วนสนับสนุนในการย้ายตัวเขาไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเราก็ต้องดูคำวินิจฉัยของศาลฯว่าทักษิณอยู่ในฐานะตัวการ หรืออยู่ในฐานะผู้สนับสนุน เราก็จะไปฟ้องร้องเพิ่มเติมในส่วนนี้ ซึ่งอัตราโทษของตัวการกับผู้สนับสนุนก็จะแตกต่างกัน ” นายนิติธร กล่าว

“รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก” ประธานหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย ในฐานะนักกฎหมาย
ขณะที่ “รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก” ประธานหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย ในฐานะนักกฎหมาย ชี้ว่า ผลของคดีนี้แยกได้เป็น 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่

กลุ่มที่ 1 คือในส่วนที่ศาลฯวินิจฉัย โดยเริ่มตั้งแต่นายทักษิณเข้าไปในสถานที่ที่กล่าวอ้างว่าเป็นเรือนจำแต่ว่าไม่ได้เข้าไปในส่วนห้องขังที่เรียกได้ว่าถูกจำคุก โดยศาลได้อธิบายว่ากระบวนการที่มิชอบมันเกิดขึ้นตั้งแต่ตรงไหน ซึ่งแต่ละคนที่ศาลไล่เรียงแบบระบุตัวว่าดำเนินการในแต่ละขั้นตอนแบบไหน อย่างไร นี่คือกลุ่มแรกที่จะถูกดำเนินคดี เช่น บอกว่านายทักษิณมาถึงปุ๊บพยาบาลมาตรวจ ทักษิณบอกว่าแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก พยาบาลจึงวัดความดันและส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำ พัศดีเวรอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำคือส่งไปโรงพยาบาลตำรวจ พอถึงโรงพยาบาลตำรวจแทนที่แพทย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่จะนำตัวนายทักษิณไปห้องฉุกเฉินหรือห้องสำหรับผู้ถูกคุมขังกลับนำไปพักที่ชั้น 14 จากนั้นการอนุญาตให้นายทักษิณพักรักษาตัวอยู่นอกเรือนจำในแต่ละช่วงเวลาคือเกินกว่า 30 วัน 60 วัน 120 วัน ก็ต้องบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ซึ่งบรรดาบุคคลเหล่านี้ก็ต้องมีความผิด

กลุ่มที่ 2 คือบุคคลที่ศาลอาจจะไม่ได้เอ่ยชื่อถึงแต่สิ่งที่ศาลวินิจฉัยนั้นมีนัยถึงบุคคลเหล่านี้ อันได้แก่ ปลัดกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะมีทั้งนายเศรษฐา ทวีสิน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เนื่องจากศาลชี้ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ดำเนินการเองหรอก การที่อนุญาตให้นายทักษิณพักรักษาตัวอยู่นอกเรือนจำในแต่ละช่วงเวลาจะต้องมีระดับบริหารเซ็นอนุญาต คือหากรักษาตัวนอกเรือนจำเกินกว่า 30 วัน อธิบดีกรมราชทัณฑ์ต้องพิจารณา ถ้าเกินกว่า 60 วัน อธิบดีกรมราชทัณฑ์ต้องทำเรื่องและส่งความเห็นให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมพิจารณาอนุญาต หากเกินกว่า 120 วัน อธิบดีกรมราชทัณฑ์ต้องทำเรื่องและส่งความเห็นให้ รมว.ยุติธรรมพิจารณา และระหว่างนั้นการดำเนินการของโรงพยาบาลตำรวจก็ต้องมีผู้ดูแลซึ่งศาลฯอาจจะไม่ได้ระบุแต่มีความน่าจะเป็นอยู่ว่าภายหลังจากที่นายทักษิณมาอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจแล้วใครรับผิดชอบบ้าง บุคคลเหล่านี้ก็ต้องมีความผิด

กลุ่มที่ 3 ก็คือตัวนายทักษิณเอง โดยศาลฯชี้ว่าสารตั้งต้นมาจากทักษิณซึ่งบอกว่าเจ็บหน้าอก จนกระทั่งพยาบาลมาตรวจและส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจ พอไปถึงโรงพยาบาลทักษิณก็ยังตัดสินใจได้เองว่าจะรักษาแบบไหนแสดงว่าอาการของทักษิณไม่ได้ถึงขั้นวิกฤต

“ นอกจากข้าราชการ 12 คนที่มีรายชื่ออกมาแล้ว ก็อาจมีคนที่ต้องถูกดำเนินคดีอีกเป็นสิบ รวมถึงคุณทักษิณที่ต้องรับโทษกรณีสมรู้ร่วมคิดเพิ่มด้วย ” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว


รศ.ดร.เจษฎ์ อธิบายต่อว่า สำหรับโทษที่บุคคลข้างต้นจะได้รับนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ

1. ในส่วนของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ซึ่งได้แก่ ข้าราชการการและนักการเมืองที่ช่วยให้นายทักษิณไปพักอยู่ชั้น 14
โรงพยาบาลตำรวจ จะมีความผิดตามมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ซึ่งต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยอาจมีการตรวจสอบเพิ่มเติมว่าข้าราชการดังกล่าวมีการรับสินบนเพื่อกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยหรือไม่ หรือมีอะไรที่ทำให้เกรงกลัวจึงต้องกระทำ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าวก็คือกระบวนการยุติธรรมนั่นเอง

2. ในส่วนของผู้ใช้ ผู้สนับสนุน หรือตัวการร่วมในการกระทำผิด ซึ่งได้แก่ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งต้องดูว่านายทักษิณซึ่งเป็นบุคคลธรรมดามีส่วนในการสนับสนุน หรือร่วมกระทำผิด หรือเป็นผู้ใช้ให้มีการกระทำผิดด้วยหรือไม่ นอกจากนั้นยังมี นายเศรษฐา และ น.ส.แพทองธาร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งบริหารงานในช่วงที่เกิดกรณีชั้น 14 ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับบริหาร ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งผู้สนับสนุนและผู้ใช้ให้เกิดการกระทำผิด โดยฐานความผิดจะแตกต่างกัน

หากเป็น“ผู้สนับสนุน”จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ซึ่งระบุว่า ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นถือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษ 2 ใน 3 ส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น ซึ่งในที่นี้เป็นการกระทำผิดตามมาตรา 157 ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้สนับสนุนก็จะได้รับโทษ 2 ใน 3 จากที่ผู้กระทำผิดได้รับ

นายนิติธร ล้ำเหลือ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน
หากเป็น“ผู้ใช้”ให้ผู้อื่นกระทำผิด จะเป็นความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 84 ซึ่งระบุว่า ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด โดยฐานความผิดจะแยกเป็น 2 กรณี คือ

หากผู้ถูกใช้ไม่ได้กระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำ หรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษ 1 ใน 3 ของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

แต่หากผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้จะต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ

“ กรณีคุณทักษิณซึ่งปัจจุบันรับโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำอยู่แล้ว หากศาลพิจารณาว่ามีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนหรือเป็นผู้ใช้ ก็ต้องรับโทษเพิ่มตามฐานความผิดนั้น โดยหากเป็นโทษจำคุกก็จะนับต่อจากโทษที่ได้รับอยู่แล้ว เช่น เป็นผู้สนับสนุน ได้รับโทษ 2 ใน 3 ของผู้กระทำผิด ผู้กระทำผิดตามมาตรา 157 ได้รับโทษจำคุก 9 หรือ 10 ปี คุณทักษิณก็รับโทษจำคุก 6 ปี หรือ 6 ปีกว่า รวมกับโทษจำคุก 1 ปีที่ได้รับอยู่แล้ว ก็รวมเป็นถูกจำคุก 7 ปี ซึ่งระหว่างพิจารณาคดีในฐานความผิดเป็นผู้สนับสนุน ศาลก็สามารถเรียกคุณทักษิณให้ออกมาให้ปากคำ ” รศ.ดร.เจษฎ์ ระบุ

ด้าน นายนิติธร ยังชี้ว่า อีกประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องการทูลเกล้าฯขอพระราชอภัยโทษของนายทักษิณ เนื่องจากเกณฑ์ในการขอพระราชทานอภัยโทษนั้นจะต้องเป็นคดีที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ตัวเองเป็นนักโทษเด็ดขาดแล้ว และต้องถูกจำคุกแล้วจึงจะสามารถทูลเกล้าขอพระราชทานอภัยโทษได้ ซึ่งในการทูลเกล้าของพระราชทานอภัยโทษระบุว่านายทักษิณถูกจำคุกมาแล้ว 10 วัน แต่ข้อเท็จจริงคือทักษิณยังไม่ได้ติดคุกเลย อีกทั้งปัญหาก็คือว่าทักษิณได้เขียนตรงนี้เองหรือเปล่า นอกจากนั้นต้องดูว่านายวิษณุ เครืองาม รักษาการ รมว.ยุติธรรมในขณะนั้นได้นำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของ ครม.หรือไม่

“ การทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษต้องทูลเกล้าในนามทักษิณอยู่แล้ว แต่คนที่จะตรวจสำนวนตรงนี้คือใคร และลงนามทูลเกล้าโดยใคร นายวิษณุมีความเห็นอย่างไร เอาเรื่องเข้า ครม.หรือไม่ ถ้าเอาเข้า ครม.แล้ว ครม.มีความเห็นว่าอย่างไร ซึ่งแม้ในกฎหมายบทพระมหากษัตริย์นั้นเรื่องการทูลเกล้าฯจะไม่ได้มีการระบุถึงความผิดอย่างชัดเจน แต่จะผิดเรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ” นายนิติธร กล่าว

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


กำลังโหลดความคิดเห็น