“รศ.ดร.พิชาย” ระบุ หลายสัญญาณบ่งชี้ “เพื่อไทย”กำลังจะล่มสลาย สส.เตรียมย้ายพรรค มือขวาอย่าง“ธรรมนัส” และกลุ่มทุนพลังงานที่หนุน“ทักษิณ”ยังชิ่งซบ“อนุทิน” ขณะที่คะแนนนิยม“แพทองธาร” หล่นเหลือ 5% เชื่อ“ทักกี้”ไม่รอดคดีชั้น 14 พรรคเพื่อไทยจะเหมือนผึ้งแตกรัง คาดเลือกตั้งครั้งหน้าได้ สส.ไม่เกิน 70 ที่นั่ง พร้อมเผย มีนายทุนเตรียมเซ้งพรรค ด้าน “สุรนันทน์” แนะ ทักษิณ-ตระกูลชินต้องถอยฉากทางการเมืองเพื่อลดกระแส ชี้ยังมีคนที่ชื่นชอบนโยบายพรรค โดยผลโพล ระบุ ฐานคะแนน 10-15% ยังคงเลือกเพื่อไทย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าขณะนี้สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตรกำลังเข้าสู่ยุคตกต่ำ ไม่ว่าจะเป็นคะแนนนิยมที่ลดลงอย่างน่าตกใจหลังคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกฯแพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จ ฮุนเซน ประธานคณะองคมนตรีของกัมพูชา เผยแพร่ออกไป หรืออำนาจการบริหารที่กำลังจะเปลี่ยนขั้วไปอยู่ในมือพรรคภูมิใจไทยหลังพรรคประชาชนตัดสินใจสนับสนุนให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นนั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แทน น.ส.แพทองธารที่ถูกศาลตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯจากกรณีคลิปเสียง ยังไม่นับรวมคดีชั้น 14 ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่จะมีการตัดสินในวันที่ 9 ก.ย.2568 นี้ ขณะที่มีข่าวว่าเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของนายทักษิณและครอบครัวที่แจ้งกับ ตม.ไทยว่าจะเดินทางไปสิงคโปร์แต่กลับเปลี่ยนเส้นทางไปทางมหาสมุทรอินเดีย ทำให้เกิดกระแสข่าวว่าทักษิณอาจจะไหนไปดูไบ
หลายฝ่ายจึงตั้งข้อสังเกตว่าสัญญาณต่างๆกำลังบ่งชี้ว่า“พรรคเพื่อไทย”กำลังจะล่มสลาย ?
รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา คณะพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์การบริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) วิเคราะห์ว่า สาเหตุที่ชี้ว่าพรรคเพื่อไทยกำลังจะล่มสลายนั้นสืบเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. ความนิยมของพรรคเพื่อไทยเสื่อมลงมากเนื่องจากการบริหารบ้านเมืองผิดพลาด ไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้
2. ความผิดพลาดของอดีตนายกฯแพรทองธารกรณีคลิปเสียงที่คุยกับฮุน เซน ซึ่งทำให้ประชาชนไม่ไว้วางใจพรรคเพื่อไทย ประกอบกับศาลรัฐธรรมนูญได้พิพากษาให้ นายกฯแพทองธารสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีเนื่องจากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ดังนั้นคะแนนนิยมของประชาชนที่มีต่อ น.ส.แพทองธารและพรรคเพื่อไทยจึงคงตกต่ำลงอย่างมาก จากเมื่อเดือน มิ.ย.2568 ซึ่งคะแนนนิยมของ น.ส.แพทองธารอยู่ที่ 9% กว่าๆ ส่วนคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยอยู่ที่ 11% กว่าๆ แต่ปัจจุบันคือ ก.ย.2568 คาดว่าคะแนนนิยมของแพทองธารน่าจะไม่เกิน 5% เท่านั้น
3. สส.พรรคเพื่อไทยทยอยไหลออก ทั้ง สส.ที่อยู่ในภาคอีสานและ สส.ภาคกลาง ซึ่ง สส.ภาคอีสานที่ทยอยออกไปแล้วก็มีไม่น้อย แต่หลังจากนี้คงจะทยอยออกอีกเนื่องจาก สส.เหล่านี้ประเมินแล้วว่าหากอยู่กับพรรคเพื่อไทยโอกาสทางการเมืองจะลดลงอย่างมากทั้งในเรื่องของการเลือกตั้งและโอกาสที่จะเป็นรัฐบาลในอนาคต ดังนั้น สส.เหล่านี้คงจะทยอยไปสังกัดพรรคอื่น ที่ชัดเจนคือกรณีของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ซึ่งเป็นมือขวาของทักษิณ ก็ยังหันไปสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยในการจัดตั้งรัฐบาล และนายทุนพลังงานซึ่งเคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทยก็ไปนั่งจับมือกับนายอนุทิน
4. บารมีของนายทักษิณลดลงอย่างมาก ไม่สามารถเป็นแม่เหล็กเหมือนอดีตที่ผ่านมา ทำให้โอกาสที่จะสร้างเครือข่ายหรือดึงพรรคการเมืองต่างๆให้มาร่วมรัฐบาลลดน้อยลงไปด้วย จะเห็นได้ว่าแม้แต่การที่ทักษิณไปคุยกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เพื่อล็อบบี้ให้พรรคประชาชนหันมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาลก็ไม่สำเร็จ ทั้งนี้เหตุที่ทักษิณหมดบารมีก็เพราะพรรคเพื่อไทยไม่สามารถแสดงฝีมือในการบริหารประเทศเหมือนที่หาเสียงไว้ได้ส่งผลให้ความนิยมถดถอย ขณะเดียวกันที่ทักษิณคิดว่าจะสามารถทำให้นายกฯแพทองธารหลุดคดีแต่เอาเข้าจริงก็ไม่สามารถทำได้ และที่หนักที่สุดก็คือคำตัดสินคดีชั้น 14 ของนายทักษิณ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 9 ก.ย.นี้ โดยหลายฝ่ายประเมินว่าทักษิณไม่น่ารอดต้องกลับไปเข้าคุก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะยิ่งทำให้บารมีของทักษิณตกต่ำลง
“ ที่ชัดเจนว่าจะย้ายไปสังกัดพรรคอื่นก็คือ สส.ใน จ.นครราชสีมา จ.ศรีสะเกศ จ.สุรินทร์ และ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่อยู่ติดชายแดนกัมพูชา เพราะตอนนี้กระแสชาตินิยมแรงมาก ชาวบ้านเขาไม่เลือกเพื่อไทยแล้ว ดังนั้นถ้าใครอยู่กับเพื่อไทยก็ตายอย่างเดียว อีกทั้งคุณธรรมนัสและกลุ่มทุนพลังงานที่เคยเป็นพันธมิตรกับทักษิณต่างก็ปลีกตัวออกไป ทำให้เห็นว่าบารมีของคุณทักษิณลดลง และถ้าวันที่ 9 ก.ย.ซึ่งตัดสินคดีชั้น 14 แล้วคุณทักษิณไม่รอด พรรคเพื่อไทยก็จะเหมือนผึ้งแตกรัง สส.คงทยอยออกจากพรรค ยิ่งหากมีการเลือกตั้งใหม่ก็คงรีบไปหาพรรคอื่นสังกัด รวมถึงกลุ่มคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิต และคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน ด้วย ดังนั้นทักษิณก็น่าจะเหลือ สส.ที่อยู่ในมือแค่ 40-50 คน ” รศ.ดร.พิชาย กล่าว
ขณะที่ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ระบุว่า ส่วนตัวมองว่าพรรคเพื่อไทยยังไม่ล่มสลาย แต่ในการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยอาจจะเล็กลง อย่างไรก็ดีก็ขึ้นอยู่กับบทบาทของผู้นำพรรคในช่วง 1-3 เดือนนี้ ถ้ากลับมาประเมินตัวเองใหม่ว่าแต่เดิมผิดพลาดอย่างไรและแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองความนิยมก็อาจจะดีขึ้น โดยพรรคเพื่อไทยต้องหยุดเล่นเกมการเมืองอย่างที่เห็นในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เพราะตอนนี้พรรคเพื่อไทยหมดความชอบธรรมในการเป็นรัฐบาลต่อแล้วเนื่องจากนายกฯทั้ง 2 คนของพรรคถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทั้งนายเศรษฐา ทวีสิน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งกรณีของแพทองธารนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงของประเทศด้วย ถ้าพรรคเพื่อไทยแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง กลับไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน และแสดงบทบทได้ดี การเลือกตั้งครั้งหน้าคะแนนอาจจะไม่ชนะท่วมท้นแบบที่ผ่านมา แต่ก็อาจเป็นพรรคที่สามารถมี 40-80 เสียงได้ พรรคก็จะไม่ล่มสลายเสียทีเดียว
แต่มีข้อพึงระวังคือทักษิณและตระกูลชินวัตรจะต้องถอยฉากทางการเมืองเพื่อลดกระแสความไม่พอใจ แน่นอนว่าตระกูลชินวัตรยังมีมิตรรักแฟนคลับอยู่ ไม่ได้สูญหายไปเสียทีเดียว แต่เป็นการถอยฉากเพื่อให้คนที่อาจจะสนใจในนโยบายของพรรคเพื่อไทยมาเลือกเพื่อไทยโดยที่ไม่ต้องระแวงว่าจะมีการแทรกแซงในลักษณะที่เป็นเจ้าของพรรคเหมือนที่นายทักษิณเคยทำในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
“ มีคนถามผมว่าตระกูลชินวัตรจะยังอยู่ในสนามการเมืองไทยหรือไม่ ผมมองว่าก็อาจจะมีลูกมีหลานของคุณทักษิณ หรือคนในตระกูลชินวัตรที่วันหนึ่งจะเข้ามาทำงานการเมือง โดยไต่เต้าขึ้นมาจาก สส.และได้รับการยอมรับจนขึ้นไปถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งก็ได้ แต่ต้องมาตามกระบวนการ และยังไม่ใช่เวลานี้ ถ้าหากคุณทักษิณบอกว่างั้นเอาหลานคนนั้นคนนี้มาเป็นแคนดิเดตนายกฯอีก ผมมองว่าพรรคเพื่อไทยจะประสบปัญหาอย่างมาก เพราะถ้าคนที่คุณทักษิณเลือกมาแล้วเขาไม่มีความพร้อมจริงๆ ชะตากรรมก็จะเหมือนคุณแพทองธาร ดังนั้นจึงไม่ควรให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ” นายสุรนันทน์ กล่าว
นายสุรนันท์ วิเคราะห์ว่า ตอนนี้คะแนนนิยมที่มีต่อตัวนายทักษิณและพรรคเพื่อไทยลดลงมาก เนื่องจากช่วงที่ควรจะถอยก็ไม่ถอย โดยตั้งแต่ช่วงที่มีคลิปเสียงระหว่างสมเด็จฮุน เซน กับ นายกฯแพทองธารออกมา ถ้านายกฯแพทองธารประกาศลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง พรรคเพื่อไทยก็ยังมีโอกาสที่จะกำหนดเกมต่างๆได้อีกมาก แต่เมื่อดำรงตำแหน่งต่อจนถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงจึงทำให้เครดิตของพรรคเพื่อไทยตกลงไปอีก ขณะเดียวกันนายทักษิณนอกจากจะต้องฟาดฟันกับศัตรูทางการเมืองแล้วก็ยังต้องพยายามปกป้องลูกสาวตัวเองซึ่งดำรงตำแหน่งนายกฯ โดยออกมาแสดงวิสัยทัศน์ในหลายๆเรื่อง ซึ่งประชาชนก็อาจจะมองว่ามันไม่ใช่บทบาทของนายทักษิณแล้ว ทำให้คะแนนนิยมของนายทักษิณลดลงไปอีก
ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าถ้าผลการพิจารณาคดีชั้น 14 ของนายทักษิณ ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 9 ก.ย.ส่งผลให้ทักษิณต้องกลับไปติดคุกจะทำให้คะแนนนิยมของทักษิณและพรรคเพื่อไทยลดลงอีกนั้น “นายสุรนันท์” มองว่า ที่ผ่านมานายทักษิณและพรรคเพื่อไทยประเมินว่าผลการตัดสินคดีความต่างๆจะออกมาเป็นคุณแก่ตระกูลชินวัตร แต่วันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าหลายคดีไม่เป็นเช่นนั้น และตระกูลชินวัตรหมดความชอบธรรมแล้ว ดังนั้นจากนี้พรรคเพื่อไทยจึงต้องประเมินว่าในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดคือทักษิณต้องกลับไปจำคุกในเรือนจำทางพรรคเพื่อไทยจะทำอย่างไร และแม้ในวันที่ 9 ก.ย.นายทักษิณจะรอด แต่ทักษิณก็ไม่สามารถกลับมารับตำแหน่งทางการเมืองได้อีก เนื่องจากคดีถึงที่สุดแล้วและถือว่าทักษิณมีความผิดแล้วจึงรับตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้ ยกเว้นเป็นผู้ช่วยหาเสียงเท่านั้น
“ จริงๆแล้วแฟนคลับระดับฮาร์ดคอร์ของคุณทักษิณก็ยังมีนะ ถ้าดูจากโพลต่างๆจะเห็นว่ามีประมาณ 10-15% ที่ยังบอกว่าจะเลือกพรรคเพื่อไทย ยังชอบคุณแพทองธาร ยังชอบคุณทักษิณ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะกลับมาเป็นนายกฯหรือจะกลับมาเป็นรัฐบาลได้ในช่วงนี้” นายสุรนันท์ กล่าว
ส่วนแนวโน้มในการเลือกตั้งครั้งหน้านั้น “รศ.ดร.พิชาย” ประเมินว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยน่าจะมีคะแนนมาเป็นอันดับ 3 หรืออันดับ 4 โดยน่าจะได้ สส.ไม่เกิน 70 เสียง คือหายไปครึ่งหนึ่ง โดยคะแนนเสียงที่เหลือจะมาจาก สส.เขต แต่ต้องใช้ทรัพยากรมากเป็นพิเศษ ส่วน สส.บัญชีรายชื่อน่าจะได้ไม่เกิน 5 คน หรือ 5%ของ สส.บัญชีรายชื่อทั้งหมด
ตอนนี้ก็แว่วว่ามีคนรอเซ้งพรรคเพื่อไทยหากทักษิณไม่ทำพรรคต่อ ซึ่งในการเลือกตั้งนั้นหากผู้สมัคร สส.กระแสดีก็ใช้เงินน้อย หากผู้สมัคร สส.ไม่ค่อยมีกระแสก็ใช้เงินเยอะ และถ้าผู้สมัคร สส.เหล่านี้ยังมีฐานเสียงเดิมอยู่ เป็นผู้กว้างขวางในเขตเลือกตั้ง อดีต สส.เดิมก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็น สส.ได้โดยไม่ต้องอาศัยคะแนนของพรรคเพื่อไทย ในเมื่อเพื่อไทยมีหัวพรรคอยู่แล้ว คนที่เซ้งไปก็ไม่ต้องไปสร้างพรรคใหม่ ซึ่งการสร้างพรรคใหม่นั้นต้องใช้เวลาในการสร้างความรู้จักและจดจำให้ประชาชน
“ เรียกได้ว่านี่คืออวสานของคุณทักษิณและตระกูลชินวัตร ตระกูลชินวัตรก็คงไม่มีใครลงมาเล่นได้แล้วในระยะเวลาอันใกล้นี้ คุณทักษิณก็อาจจะเซ้งพรรคก็ได้ ซึ่งตอนนี้ก็มีข่าวว่ามีนายทุนจะเซ้งพรรคเพื่อไทยแต่ยังไม่เปิดเผยตัวว่าเป็นใคร เมื่อเซ้งพรรคทุนที่จะสนับสนุนก็เปลี่ยนคนไป และก็เป็นไปได้ทั้งเปลี่ยนชื่อพรรคและไม่เปลี่ยนชื่อพรรค คือแม้ชื่อพรรคเพื่อไทยจะขายไม่ได้แล้วแต่ก็ยังมีโครงสร้างพรรค มีสาขาพรรค และมีสมาชิกพรรคอยู่ เซ้งพรรคไปทำต่อก็อาจจะได้จำนวน สส.ในระดับกลางๆ แล้วก็รอร่วมรัฐบาลแบบเดียวกับพรรคกล้าธรรม หรือพรรคภูมิใจไทยสมัยก่อน เป็นพรรคบ้านใหญ่ พรรคกลุ่มทุน ” รศ.ดร.พิชาย ระบุ
ส่วน น.ส.แพทองธารยังมีโอกาสในสนามการเมืองไทยอยู่หรือไม่นั้น “รศ.ดร.พิชาย” ชี้ว่า สำหรับ น.ส.แพทองธารนั้นยังสามารถลงสมัคร สส.ได้อยู่แม้จะถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากศาลไม่ได้ตัดสิทธิทางการเมือง แต่ไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้เพราะถูกติดสินว่าฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งความผิดนี้จะติดตัวไปตลอดตราบใดที่ยังใช้รัฐธรรมนูญ 2560 อยู่ ยกเว้นว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ด้าน นายสุรนันทน์ มองว่า ถ้าในการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยได้ สส.50-60 เสียง ก็ยังมีโอกาสเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพราะหากพรรคประชาชนได้เท่าเดิมคือ 150-160 เสียง ส่วนภูมิใจไทยได้เพิ่มขึ้นเป็น 120-130 เสียง พรรคภูมิใจไทยก็อาจจะมาเจรจากับพรรคเพื่อไทย และพรรคขนาดเล็กอื่นๆเพื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล หรือพรรคประชาชนอาจจะมาชักชวนให้พรรคเพื่อไทยร่วมจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นได้
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j