กูรูหลายสาขาฟันธงตรงกัน ความขัดแย้งระหว่าง“ไทย-กัมพูชา” ทำเศรษฐกิจ“เขมร”ตกต่ำถึงขีดสุด คาด ทุนสำรองระหว่างประเทศจะหมดลงในเดือน ต.ค.นี้ “รศ.ดร.อัทธ์” ชี้ จะส่งผลให้เงินเรียลกลายเป็นเศษกระดาษ เงินเฟ้อพุ่งสูง-ต้องเข้าแผนฟื้นฟูของ IMF แบบเดียวกับอาร์เจนติน่าและศรีรังกา อีกทั้งการสร้าง”เฟคนิวส์”รายวันทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่น ไม่กล้าเข้าไปลงทุน “อ.ทรงฤทธิ์” ระบุ กัมพูชาระส่ำหนักหลังไทยปิดด่าน นักท่องเที่ยวหาย แรงงานรายได้หด ขณะที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นถึง 15% ด้าน “พล.อ.รังษี” เผย กัมพูชาขาดดุลบัญชีเดือนสะพัดติดต่อกัน 8 ไตรมาสแล้ว เชื่อ หากเข้า IMF เขมรจะผูกฉีกเป็นชิ้นๆ
ขณะที่สถานการณ์การสู้รับระหว่างไทย-กัมพูชาเริ่มเข้าสู่โหมดพักรบเพื่อเจรจา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศนั้นขาดสะบั้นลงอย่างชัดเจน ด่านชายแดนไทย-กัมพูชาถูกปิดแบบไม่มีกำหนด แรงงานเขมรถูกบังคับให้กลับประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งครั้งนี้มากที่สุดย่อมหนีไม่พ้นชาวกัมพูชา และว่ากันว่าสถานการณ์ขณะนี้กำลังจะนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจในกัมพูชา
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน วิเคราะห์ว่า ตอนนี้เศรษฐกิจของกัมพูชาย่ำแย่มาก เนื่องจากปัจจัยต่างๆดังนี้
1.ไทยไม่ส่งสินค้าเข้าไปขายในกัมพูชา ทำให้ชาวกัมพูชาต้องซื้อสินค้าประเทศอื่นในราคาที่แพงขึ้น
2.นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศถอนตัวจากกัมพูชา เช่น จีนไม่ลงทุนในช่วงนี้เพราะเศรษฐกิจ
ภายในประเทศจีนชะลอตัว ขณะที่นักลงทุนชาวไทยซึ่งเข้าไปลงทุนในกัมพูชามากเป็นอันดับต้นๆก็ไม่เข้าไป ส่วนมาเลเซียกับสิงคโปร์ที่เคยลงทุนในกัมพูชาก็ไม่กล้าเข้าไปเพราะกัมพูชามีสถานการณ์สู้รบ
3.เนื่องจากมีการปิดด่านและมีการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้แรงงานกัมพูชาหลายแสนคน
ต้องเดินทางกลับประเทศตามนโยบายของรัฐบาลกัมพูชา แต่เมื่อเดินทางกลับไปแล้วกลับไม่มีงานทำ ส่งผลให้ชาวกัมพูชาขาดรายได้
4.ในช่วงที่ไทยกับกัมพูชามีปัญหาระหว่างประเทศ ทางรัฐบาลกัมพูชามุ่งแต่จะต่อสู้ทางการทหารและปั้นข่าวปลอมเพื่อตอบโต้ไทย จนไม่มีเวลาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในประเทศตัวเอง
5. การที่กัมพูชาหันไปซบสหรัฐฯทำให้จีนซึ่งให้การช่วยเหลือกัมพูชาอยู่ไม่พอใจและหยุดการช่วยเหลือ ซึ่งถือเป็นการซ้ำเติมปัญหาในช่วงที่ประเทศเกิดวิกฤต
รศ.ดร.อัทธ์ กล่าวต่อว่า วิกฤตเศรษฐกิจของกัมพูชาครั้งนี้ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น จาก 3% เป็น 5% เนื่องจากสินค้าของไทยที่เข้าไปขายในกัมพูชานั้นคิดเป็น 30% ของสินค้าในตลาดกัมพูชาทั้งหมด เมื่อไทยปิดด่านไม่ส่งสินค้าไปกัมพูชา สินค้า 30% ดังกล่าวก็หายไปจากตลาด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค น้ำมัน รวมถึงอินเทอร์เน็ต ทำให้ราคาสินค้าในกัมพูชาปรับตัวสูงขึ้นอย่างน้อย 5% อีกทั้งการซื้อสินค้าจากจีนและเวียดนาม รวมถึงซื้อน้ำมันจากสิงคโปร์มาทดแทน ก็ทำให้ต้นทุนสินค้าและน้ำมันในกัมพูชาเพิ่มขึ้นเนื่องจากระยะทางในการขนส่งสินค้าไกลกว่าที่สั่งซื้อจากไทย อีกทั้งคุณภาพยังสู้สินค้าไทยไม่ได้
“ จากเดิมที่เศรษฐกิจของกัมพูชาเติบโตปีละ 5-6% แต่ผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาจะทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาลดลงเหลือ 3-4% เนื่องจากราคาสินค้าแพงขึ้น แรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศนับแสนคนต้องตกงาน และภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันไม่มีประเทศไหนกล้าเข้าไปลงทุนในกัมพูชาเพราะนอกจากจะมีปัญหาสู้รบตามแนวชายแดนแล้ว การที่กัมพูชาปั้นข่าวเท็จเพื่อตอบโต้กับไทยอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้นักธุรกิจต่างชาติไม่มั่นใจว่าข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกโดยรัฐบาลกัมพูชานั้นจะเป็นตัวเลขจริงหรือปลอม ” รศ.ดร.อัทธ์ กล่าว
ด้าน “อาจารย์ทรงฤทธิ์ โพนเงิน” นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ซึ่งติดตามสถานการณ์ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในกัมพูชามายาวนาน ระบุว่า ตอนนี้เศรษฐกิจในกัมพูชาไม่สู้ดี แหล่งท่องเที่ยวเงียบเหงามาก เพิ่งจะมีรายงานสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าไปเที่ยวกัมพูชาในปีนี้ว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะหลังจากที่มีเหตุปะทะกันบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชาพบว่านักท่องเที่ยวหายไปเยอะมาก จากปี 2567 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปเที่ยวกัมพูชากว่า 6.3 ล้านคน และรัฐบาลกัมพูชาตั้งเป้าว่าในปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวกัมพูชา 7.5 ล้านคน แต่พบว่าช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้นั้นมีนักท่องเที่ยวเข้าไปแค่ 3.3 ล้านคน อีกทั้งหลังจากที่ไทยกับกัมพูชามีข้อพิพาทกันและมีการปิดด่านชายแดนในช่วงเดือน ก.ค.เป็นต้นมา นักท่องเที่ยวที่เข้าไปกัมพูชาก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เข้าไปเที่ยวกัมพูชามากเป็นอันดับ 1 ก็คือคนไทย โดยคิดเป็น 30% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เข้าไปเที่ยวกัมพูชา แต่หลังจากไทยปะทะกับกัมพูชา คนไทยก็ไม่ข้ามไปเที่ยวกัมพูชาเลย ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆที่จะเข้าไปเที่ยวกัมพูชาก็มักจะเข้ามาเที่ยวในไทยก่อนแล้วต่อรถตู้ไปเที่ยวกัมพูชา เมื่อไทยปิดด่านนักท่องเที่ยวเหล่านี้ก็หายไปด้วย เมื่อนักท่องเที่ยวลดลงก็กระทบไปยังภาคการบริการอื่นๆตามมา ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม ร้านอาหาร รถรับจ้างที่พานักเที่ยวไปเที่ยว ซึ่งรายได้จากการท่องเที่ยวนั้นคิดเป็น 25% ของรายได้ทั้งหมดของประเทศกัมพูชา
อาจารย์ทรงฤทธิ์ ให้ข้อมูลว่า ในส่วนของคนกัมพูชาซึ่งทำมาค้าขายตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาซึ่งถือเป็นการตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชานั้น เมื่อทั้งสองประเทศมีการปิดด่านก็ไม่สามารถทำการค้าได้ นอกจากนั้นแรงงานกัมพูชาที่ข้ามมาทำงานฝั่งไทยแบบเช้าไปเย็นกลับ เช่น ลูกจ้างรายวัน แรงงานภาคการเกษตร ซึ่งมีรายได้วันละ 300-400 บาท ก็ขาดรายได้แบบสิ้นเชิง เมื่อผนวกกับนโยบายของรัฐบาลกัมพูชาที่ต้องการให้แรงงานกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในไทยกลับไปกัมพูชา แต่เมื่อกลับไปแล้วก็ไม่มีงานทำ จึงส่งผลให้กัมพูชาขาดรายได้อย่างหนัก
“ คือรัฐบาลกัมพูชาต้องการบีบให้แรงงานกัมพูชาเข้าไปอยู่ในระบบเกษตรแปลงใหญ่ที่ส่งสินค้าเกษตรไปยังประเทศจีน เช่น สวนกล้วยหอม แต่เนื่องจากภาคการเกษตรเหล่านี้จ่ายค่าแรงขั้นต่ำในอัตราที่ถูกมาก อยู่ที่เดือนละประมาณ 7,000 บาท ขณะที่เขาข้ามาทำงานฝั่งไทยมีรายได้เดือนละ 12,000-15,000 บาท คนกัมพูชาจึงไม่อยากไปทำเกษตรแปลงใหญ่ ” อาจารย์ทรงฤทธิ์ กล่าว
อาจารย์ทรงฤทธิ์ ตั้งข้อสังเกตว่า ขณะที่รายได้ของชาวกัมพูชาลดลง แต่อัตราค่าครองชีพของกัมพูชากลับเพิ่มสูงขึ้นมาก เนื่องจากสินค้าที่อยู่ในตลาดกัมพูชานั้น 70% เป็นสินค้าที่นำเข้าจากไทย เมื่อมีการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาทำให้กัมพูชาไม่สามารถนำเข้าสินค้าจากไทยได้ สินค้า 70% ในตลาดจึงหายไป พอค้ากัมพูชาต้องหาทางนำเข้าสินค้าผ่านช่องทางอื่น โดยขนส่งสินค้าจากฝั่งไทยผ่านไปทางประเทศลาวแล้วนำเข้าไปยังกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้สินค้าที่ขายในกัมพูชามีราคาสูงขึ้นเพราะต้องบวกค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนั้นการที่กัมพูชางดซื้อน้ำมันจากไทย ขณะที่ปั๊มน้ำมันในกัมพูชาส่วนใหญ่เป็นของ ปตท. โดยมีปั๊ม ปตท.อยู่ในกัมพูชาถึง 186 ปั๊ม จึงส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในกัมพูชาหายไป ทำให้กัมพูชาต้องนำเข้าน้ำมันจากสิงคโปร์และเวียดนามซึ่งมีค่าขนส่งที่สูงขึ้น ราคาน้ำมันในกัมพูชาจึงปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
“ จากต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นน่าจะทำให้ราคาสินค้าที่ขายในกัมพูชาปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 15% เพราะมีทั้งค่าขนส่งและค่าผ่านด่านทั้งจากไทยเข้าไปลาว และจากลาวเข้าไปกัมพูชา ขณะที่รายได้ของชาวกัมพูชาเท่าเดิม ส่วนแรงงานกัมพูชาที่เคยมาทำงานในไทยแต่ต้องเดินทางกลับไปกัมพูชาตามคำสั่งของรัฐบาลกัมพูชานั้นส่วนใหญ่ก็ไม่มีงานทำ ซึ่งรัฐบาลไม่ได้ให้การช่วยเหลืออะไรเลย ทำให้ตอนนี้คนกัมพูชาลำบากมาก ” อาจารย์ทรงฤทธิ์ ระบุ
ขณะที่ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ อดีตที่ปรึกษาแม่ทัพภาคที่ 1 และหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ข่าววงในล่าสุดระบุว่ากัมพูชากำลังถังแตก เงินกองทุนสำรองระหว่างประเทศของกัมพูชากำลังจะหมดลงภายในเดือน ต.ค. 2568 นี้ อีกทั้งกัมพูชาขาดดุลบัญชีเดือนสะพัดติดต่อกันถึง 8 ไตรมาสแล้วซึ่งเป็นอาการเดียวกับตอนที่ประเทศไทยจะเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ขณะที่ตอนนี้ค่าเงินเรียลของกัมพูชาตกลงถึง 12% จึงเป็นเหตุผลให้กัมพูชาพยายามจะเข้ามาครอบครองพื้นที่ซึ่งมีทรัพยากรพลังงานในอ่าวไทย อีกทั้งหลังจากที่กัมพูชาเปิดฉากสู้รบกับไทยก็ส่งผลให้โรงแรมขนาดใหญ่ไม่มีนักท่องเที่ยวไปพัก นักท่องเที่ยวจีนยกเลิกการจองทั้งหมดเนื่องจากกลัวอันตรายจากปัญหาการสู้รบ และการที่กัมพูชาเซ็นสัญญาอินโดแปซิฟิกโดยยินยอมให้สหรัฐฯเข้าไปใช้ท่าเรือเรียมซึ่งสร้างโดยประเทศจีนนั้นส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติหยุดการลงทุนทั้งหมดในกัมพูชาเพราะมองว่ากัมพูชากำลังจะเกิดสงคราม
“ ตอนนี้ฮุน เซน หมดตัวแล้ว การที่เขาหักหลังจีนเขาคิดสั้นๆเพราะกลัวว่าประเทศตะวันตกจะเอานายสม รังสี อดีตผู้นำฝ่ายค้านของกัมพูชา มาล้มตระกูลฮุน นายฮุน เซน เลยหันไปซบสหรัฐฯ แต่ลืมนึกไปว่าประเทศกัมพูชามีหนี้สินจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเป็นหนี้จีน ส่งผลให้จีนตัดการช่วยเหลือกัมพูชาทั้งหมด ฮุน เซนก็ส่งคนไปคุยทั้งจีนและยุโรป ซึ่งทางยุโรปยื่นข้อเสนอมาว่าจะให้ความช่วยเหลือแต่กัมพูชาต้องยอมให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) เข้าไปบริหารจัดการ ซึ่งหาก IMF เข้าไปกัมพูชาจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ขณะที่จีนยื่นเงื่อนไขว่าจะเข้าไปช่วยกัมพูชาก็ได้แต่ว่าจีนต้องเป็นคนตัดสินใจในการบริหารทั้งสนามบินและท่าเรือในกัมพูชา งานนี้เรียกว่าฮุน เซน ขายชาติเลยทีเดียว ” พล.อ.รังษี ระบุ
สอดคล้องกับ “รศ.ดร.อัทธ์” ที่มองว่า มีความเป็นไปได้ที่ทุนสำรองระหว่างประเทศของกัมพูชาจะหมดลงภายในเดือน ต.ค.2568เพราะขณะนี้เศรษฐกิจของกัมพูชาย่ำแย่มาก เนื่องจากรัฐบาลฮุน มาเนต มัวแต่เล่นการเมืองจนไม่สนใจปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ได้สนใจว่าจะหาเงินเข้าประเทศยังไง ซึ่งหากเงินทุนสำรองหมด เงินเรียลของกัมพูชาก็จะไร้ค่า กลายเป็นเศษกระดาษ ไม่มีใครถือไว้ คนกัมพูชาก็ไม่ถือ ต่างชาติก็ไม่ถือ เงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้นมากแบบเดียวกับที่เกิดในประเทศอาร์เจนตินา และศรีลังกา ซึ่งเงินเฟ้อสูงขึ้น 100% จากนั้นก็ต้องเข้าสู่โปรแกรมการกู้ยืมเงินจากไอเอ็มเอฟ อีกทั้งเมื่อเงินทุนสำรองหมดก็ยากที่กัมพูชาจะซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพราะไม่มีเงินดอลลาร์เหลือแล้ว ปกติสัดส่วนเงินในกัมพูชาจะมีเงินดอลลาร์ถึง 70%
ขณะที่ “อาจารย์ทรงฤทธิ์” ก็เห็นด้วยเช่นกันว่ามีความเป็นไปได้ที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของกัมพูชากำลังจะหมดลง เนื่องจากเมื่อชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ไม่มีรายได้ รัฐบาลก็จัดเก็บภาษีได้น้อยลง ขณะที่ภาคการส่งออกได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่สหรัฐฯซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชาจัดเก็บเพิ่มขึ้นจาก 0% เป็น 19% เมื่อต้องบวกต้นทุนภาษีทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ยอดขายจึงมีแนวโน้มลดลง และที่สำคัญสินค้าที่ผลิตในกัมพูชานั้นเจ้าของสินค้าที่แท้จริงไม่ใช่ชาวกัมพูชา แต่เป็นของนักธุรกิจจีนที่เข้าไปลงทุนผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า ชุดกีฬา โดยจ้างแรงงานกัมพูชา ซึ่งสินค้าแหล่านี้จะมียอดส่งออกปีละ 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 80% ส่งไปยังสหรัฐฯ เมื่ออัตราภาษีเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าสูงขึ้น ออร์เดอร์ก็ลดลง จึงส่งผลให้อัตราการจ้างงานลดลงไปด้วย
“ ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ ด่านไทย-กัมพูชายังถูกปิด รายได้ของประชาชนลดลง ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น กัมพูชาจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นแน่นอน คนเขมรก็จะอดอยากมากขึ้น ภาคการท่องเที่ยวจะถึงจุดที่ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติไปเที่ยวกัมพูชาเลย เพราะปัจจุบันต่างชาติที่จะไปเที่ยวกัมพูชาจะเข้ามาเที่ยวในไทยก่อนแล้วต่อรถตู้เข้าไปเที่ยวเสียมเรียบซึ่งมีมรดกโลก เพราะการนั่งเครื่องบินไปลงกัมพูชาเพื่อท่องเที่ยวมันไม่คุ้มเพราะค่าตั๋วแพงขณะที่กัมพูชาไม่ได้มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากนัก” อาจารย์ทรงฤทธิ์ กล่าว
ด้าน พล.อ.รังษี ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ตอนนี้ฮุน เซน อยู่ในช่วงที่ต้องคิดหนัก เพราะไม่มีใครอยากคบกับกัมพูชา จีนก็รู้เช่นเห็นชาติ ปัจจุบันกัมพูชาเป็นหนี้จีนถึง 160,000 ล้านบาท ขณะที่มูลค่า GDP ของกัมพูชาอยู่ที่ 1,000,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งใน 1,000,000 ล้านบาทดังกล่าวนั้น 600,000 ล้านบาทได้มาจากบ่อนกาสิโน แต่เมื่อไทยปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา บ่อนในกัมพูชาจึงขาดรายได้ และเนื่องจากค่าเงินเรียลของกัมพูชาลดลงอย่างมาก ทำให้ปัจจุบันชาวกัมพูชาหันมาถือเงินดอลลาร์แทนเงินเรียล ขณะเดียวกันประชาชนก็แห่ถอนเงินออกจากธนาคารเพราะกลัวว่าธนาคารจะล้ม
“ เมื่อเงินทุนสำรองระหว่างประเทศซึ่งรัฐบาลกัมพูชาถือเป็นเงินดอลลลาร์ หรือหยวน ซึ่งเป็นสกุลหลักของโลก หมดลงกัมพูชาก็ไม่สามารถสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรือสินค้าจำเป็นอื่นๆ ซึ่งจะทำให้สภาพเศรษฐกิจและสังคมของกัมพูชาอยู่ในสภาพเดียวกับประเทศศรีลังกา ซึ่งประชาชนต้องเข้าคิวซื้อน้ำมัน สุดท้ายประชาชนทนความอดอยากไม่ไหวจึงรวมตัวกันบุกทำเนียบรัฐบาล ปล้นบ้านประธานาธิบดี ” พล.อ.รังษี กล่าว
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายเกรงว่าการที่กัมพูชาหันไปจับมือกับสหรัฐฯจะส่งผลกระทบต่อไทยนั้น “รศ.ดร.อัทธ์” มองว่า คงไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากกัมพูชาอยากให้จีนสนับสนุนกัมพูชาในการสู้รบกับไทย แต่จีนไม่เอาด้วยเพราะจีนก็เป็นมิตรกับไทย กัมพูชาจึงหันไปซบสหรัฐฯ แต่การที่กัมพูชาหันไปซบสหรัฐแทนจีนนั้นถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย หรือเรียกว่าแทบจะไม่ได้อะไรเลย เพราะสหรัฐไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไรกัมพูชาอย่างที่จีนเคยให้ มีเพียงอย่างเดียวคือลดภาษีนำเข้าให้กัมพูชา จาก 36% เหลือ 19% ส่วนธุรกิจของสหรัฐที่จะเข้าไปลงทุนในกัมพูชา เช่น ธุรกิจสตาร์ลิงก์ (การให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านระบบดาวเทียมความเร็วสูง) นอกจากต้องใช้เวลาในการเตรียมการก่อนการลงทุนแล้วยังเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องการแรงงานคนเพราะใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งต่างจากธุรกิจของจีนที่ลงทุนในกัมพูชาที่ใช้แรงงานคนเป็นหลัก เช่น การผลิตเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า
“ การที่สหรัฐฯมีท่าทีสนับสนุนกัมพูชาในครั้งนี้นั้นสหรัฐฯมีเป้าหมายหลักอย่างเดียวคือแค่ต้องการลดทอนอิทธิพลของจีนในพภูมิภาคแถบนี้เท่านั้น เนื่องจากจีนมีท่าเรือเรียมในประเทศกัมพูชา แต่สหรัฐฯไม่ได้ต้องการเข้าไปทำธุรกิจอย่างเป็นล่ำเป็นสันเหมือนที่จีนทำเนื่องจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มองว่ากัมพูชามีปัญหาเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ไม่เหมาะกับการลงทุน อีกทั้งยังเป็นแหล่งธุรกิจสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯแอนตี้ ” รศ.ดร.อัทธ์ ระบุ
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j