“พล.อ.รังษี” ชี้ ไทยควรประกาศยกเลิกข้อตกลง GBC เหตุ “ทหารกัมพูชา”ลักลอบวางระเบิดในเขตแดนไทย เท่ากับละเมิดสัญญายุติการใช้อาวุธทุกประเภท ติง หากไทยยังอยู่ในกรอบจะเสียเปรียบทางการทหาร พร้อมระบุ “ลวดหนามหีบเพลง” สามารถป้องกันเขตแดน ใครโดนเสียบถึงขั้นไส้ทะลัก ด้าน “พล.ท.พงศกร” เผยสารพัดอุปกรณ์ตรวจจับ-ทำลายทุ่นระเบิด ยันหลักฐานชัด PMN-2 เป็นของกัมพูชาที่สั่งซื้อจากรัสเซีย ขณะที่ไทยใช้ของสหรัฐฯ
หลังจากที่ทหารไทยต้องสูญเสียขาจากการเหยียบทุ่นระเบิด PMN-2 ที่ทหารกัมพูชาลักลอบนำมาฝังไว้ในเขตแดนไทย เป็นรายที่ 5 ทางด้าน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 จึงได้สั่งปรับยุทธวิธีการลาดตระเวนโดยให้นำเครื่องจักรในการตรวจจับทุ่นระเบิดมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารเหยียบกับระเบิดและเกิดการสูญเสียอีก
ขณะเดียวกันหลายฝ่ายก็อยากรู้ว่ามียุทโธปกรณ์ใดบ้างที่สามารถใช้ในการตรวจจับและเก็บกู้ระเบิดก่อนที่ทหารราบจะเข้าไปลาดตระเวน
พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีอุปกรณ์ในการตรวจจับและเก็บกู้ทุ่นระเบิดอยู่หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น โดรนกำจัดทุ่นระเบิด ซึ่งโดรนนี้ออกแบบมาเพื่อทำแผนที่ในพื้นที่ซึ่งมีทุ่นระเบิด ตรวจจับทุ่นระเบิด และจุดระเบิดจากระยะไกล , หุ่นยนต์ภาคพื้นดิน เป็นหุ่นยนต์ที่เดินหน้าสแกนพื้นที่ก่อนที่ทหารจะเข้าไป สามารถตรวจจับและเก็บกู้วัตถุระเบิด และสามารถเข้าไปในพื้นที่ที่มีความยากลำบากได้ , หุ่นยนต์ UAV หรืออากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle) เป็นอากาศยานที่สามารถบินได้ด้วยควบคุมจากระยะไกลโดยผู้ควบคุมบนภาคพื้นดิน สามารถตรวจจับและปลดชนวนถอดทำลายระเบิดแสวงเครื่องได้ , เรดาร์ตรวจจับใต้ดิน (GPR) เป็นเซ็นเซอร์ที่มีศักยภาพสูงสำหรับใช้ในการตรวจจับทุ่นระเบิดฝังดิน สามารถตรวจจับได้ทั้งวัตถุที่เป็นโลหะและไม่ใช่โลหะ จึงสามารถตรวจหาทุ่นระเบิด PMN-2 ของกัมพูชาที่ฝังอยู่ใต้พื้นดินโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้เหมาะกับพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าเขา
นอกจากนั้นยังมีรถหุ้มเกราะกวาดทำลายล้างทุ่นระเบิด ของกรมการทหารช่าง , ยานกวาดล้างทุ่นระเบิด ของศูนย์ปฏฺิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ประเทศไทย ซึ่งอยู่ในพื้นที่กองกำลังสุรนารี ณ ฐานปฏิบัติการฤาชา อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี แล้วก็ยังมีระบบเซนเซอร์ที่สามารถตรวจจับการบุกรุกแนวชายแดน ซึ่งสามารถป้องกันการลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดของทหารกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้มีการทดลองติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ดังกล่าวที่บริเวณหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (บ้านหาดเล็ก) จังหวัดตราด ภายใต้โครงการวิจัยและพัฒนาระบบตรวจจับการบุกรุกตามแนวชายแดนด้วยเซ็นเซอร์ตรวจวัดการสั่นสะเทือนและเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบอัตโนมัติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามและประเมินผลเพื่อพัฒนาต่อยอดและนำมาใช้กับหน่วยงานด้านความมั่นคงต่อไป
“ กองทัพต้องใช้เทคโนโลยีแทนกำลังพลในการตรวจสอบและทำลายทุ่นระเบิดในพื้นที่ตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารที่ออกลาดตระเวนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากทุ่นระเบิดที่ทหารเขมรแอบนำมาวางไว้ ทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งทหารกัมพูชานำมาฝังแม้องค์ประกอบส่วนใหญ่จะเป็นพลาสติก เรดาร์ก็สามารถตรวจจับได้เพราะเป็นการสแกนให้เห็นรูปร่างของวัตถุแบบเดียวกับการตรวจ MRI จึงมีประสิทธิภาพดีกว่าเครื่องสแกนระเบิดแบบเดิมซึ่งตรวจจับได้เฉพาะระเบิดที่ทำจากโลหะ ” พล.ท.พงศกร ระบุ
ขณะที่ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ อดีตที่ปรึกษาแม่ทัพภาคที่ 1 และหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจ มองว่า เนื่องจากกองทัพไทยมีหน่วยเก็บกู้ระเบิด หรือ EOD อยู่แล้ว ดังนั้นวิธีป้องกันไม่ให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดที่กัมพูชานำมาฝังไว้จึงต้องให้หน่วย EOD เดินลาดตระเวนร่วมกับทหารราบ เพราะ EOD จะมีทักษะในการสังเกตว่าจุดที่เดินลาดตระเวนนั้นมีทุ่นระเบิดฝังไว้หรือไม่ ขณะเดียวกันทหารที่ลาดตระเวนก็ต้องมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
“ อุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจหาวัตถุระเบิดนั้นปกติจะใช้ได้กับระเบิดที่ทำจากเหล็กหรือโลหะ แต่เนื่องจากระเบิด PMN-2 ที่พบโดยรอบบริเวณที่เกิดการเหยียบทุ่นระเบิดนั้นทำจากพลาสติกเป็นส่วนใหญ่จึงอาจจะตรวจจับยาก แต่เจ้าหน้าที่ EOD จะมีทักษะในการสังเกต เขาจะมีเซนส์ที่คนทั่วไปไม่มี เขาเห็นปุ๊บเขาจะรู้เลยตรงนี้ผิดสังเกต มันเป็นความชำนาญและทักษะเฉพาะของแต่ละหน้าที่ ดังนั้น EOD จึงควรลาดตระเวนร่วมกับทหารราบ ” พล.อ.รังษี กล่าว
พล.อ.รังษี วิเคราะห์ต่อว่า ระเบิดซึ่งเป็นสาเหตุให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บในช่วงนี้น่าจะเป็นระเบิดที่ทหารกัมพูชาแอบนำมาวางใหม่ในช่วงเวลากลางคืน และไม่ใช่การวางทิ้งไว้ในช่วงที่กัมพูชารุกดินแดนเข้ามาขุดคูเลต เพราะจุดที่เกิดเหตุเป็นเส้นทางที่ทหารไทยมีการลาดตระเวนเป็นประจำซึ่งไม่พบว่ามีระเบิดแต่อย่างใด แต่ล่าสุดทหารเหยียบกับระเบิดขาขาดเป็นรายที่ 5 แล้ว ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการลักลอบนำมาวางในเขตแดนไทยเพราะเป็นจุดที่ทหารไทยเดินลาดตระเวนประจำ
ที่สำคัญยังมีหลักฐานชัดเจนว่าระเบิดที่ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บนั้นเป็นระเบิดใหม่ ไม่ใช่ระเบิดตกค้างจากสงครามในอดีตอย่างที่ทางกัมพูชาอ้าง เนื่องจากระเบิดที่ใช้ในช่วงสงครามนั้นจะทำจากโลหะทั้งหมด แต่ระเบิดที่พบโดยรอบบริเวณที่เกิดการเหยียบทุ่นระเบิดคือ PMN-2 ซึ่งทำจากพลาสติกเป็นส่วนใหญ่ มีส่วนผสมของโลหะแค่บางส่วน และมีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าเป็นระเบิดชนิดเดียวกับที่กัมพูชาจัดซื้อจากประเทศรัสเซีย
“ เท่าที่ได้ข้อมูลทางลึกมาตอนนี้ทางกัมพูชาเขาวางระเบิด 2 ชั้น โดยชั้นแรกจะวางในเขตพื้นที่ของไทย เพื่อสกัดไม่ให้ทหารไทยลาดตระเวนเพราะเขาต้องการดินแดนของเรา และชั้นที่สองเขาวางในเขตพื้นที่กัมพูชา เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารไทยรุกเข้าไปในช่วงที่มีการปะทะ จึงถือว่าตอนนี้กัมพูชาละเมิดข้อตกลงจีบีซี ข้อที่ 1 ที่ได้ทำไว้กับไทย ซึ่งระบุว่าให้ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท ในการโจมตีเป้าหมายทั้งที่เป็นพลเรือนและทหารในทุกกรณี ซึ่งการวางระเบิดก็คือการโจมตีรูปแบบหนึ่ง แปลว่ากัมพูชาไม่ได้หยุดโจมตี อีกทั้งเป็นที่น่าสังเกตว่าในการประชุมจีบีซีมี 2 ข้อที่กัมพูชาปฏิเสธความร่วมมือ นั้นคือเรื่องการเก็บกู้ระเบิดกับการกวาดล้างพนันนออนไลน์และสแกมเมอร์ แสดงว่ากัมพูชาเป็นคนวางระเบิดเอง ” พล.อ.รังษี ระบุ
สอดคล้องกับ พล.ท.พงศกร ซึ่งชี้ว่า ระเบิด PMN-2 ที่ถูกนำมาวางในเขตแดนไทยและส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บนั้นชัดเจนว่าเป็นของกัมพูชา โดยเป็นระเบิดที่ผลิตในรัสเซีย ถูกออกแบบในช่วงกลางทศวรรษ 1970 ซึ่งรัสเซียเป็นประเทศที่ให้การสนับสนุนเวียดนาม และช่วงหนึ่งเวียดนามก็เคยให้การสนับสนุนกัมพูชา ส่งผลให้กัมพูชามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับรัสเซียด้วย ทั้งนี้จากข้อมูลพบว่ากัมพูชามีการสั่งซื้อทุ่นระเบิด PMN2 จากรัสเซียไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นลูก อีก ซึ่งปกติยุทโธปกรณ์ทางทหารแต่ละชิ้นจะมีเลขรหัสที่สามารถตรวจสอบได้ว่าผลิตจากประเทศไหน ขายให้ใคร
อีกทั้งปัจจุบันยังมีเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ของแต่ละประเทศ เช่น Global Firepower ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่จัดอันดับความแข็งแกร่งของกองทัพทั่วโลก โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนบุคลากร อาวุธยุทโธปกรณ์ งบประมาณด้านการทหาร และอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่แต่ละประเทศมีอยู่ด้วย
“ มันชัดเจนอยู่แล้วว่าระเบิด PMN2 ที่ทหารไทยโดนนั้นเป็นของกัมพูชา เพราะเป็นระเบิดที่ผลิตโดยรัสเซีย กัมพูชาเขาซื้ออาวุธจากรัสเซีย ขณะที่ระเบิดที่ไทยเคยใช้จะสั่งซื้อจากสหรัฐอเมริกา ” พล.ท.พงศกร กล่าว
ด้าน พล.อ.รังษี ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ซึ่งกัมพูชาใช้สู้รบกับไทยนั้นชี้ให้เห็นว่ากัมพูชามีเป้าหมายที่จะบุกรุกเขตแดนไทย ไม่ได้ใช้เพื่อปกป้องอธิปไตยของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นจรวด PHL-03 เป็น ซึ่งเป็นเครื่องยิงจรวด 12 ลำกล้อง มีอำนาจทำลายล้างเท่ากับสนามฟุตบอล 8 สนาม หรือระเบิด PMN-2 ที่นอกจากทหารกัมพูชาจะนำมาวางในเขตแดนไทยแล้ว คุณสมบัติของระเบิดชนิดนี้นั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้เสียชีวิต แต่ต้องการทำให้ทหารที่เหยียบทุ่นระเบิดบาดเจ็บ เพื่อให้ทหารที่ออกลาดตระเวนด้วยหรือกองกำลังของไทยที่ออกไปปะทะกับทหารกัมพูชาต้องแบ่งกำลังมาช่วย ซึ่งจะลดทอนกำลังของทหารไทยได้มากกว่า ทำให้กัมพูชาสามารถรุกเข้ามาได้ง่าย
“ เช่น ทหารออกลาดตระเวนกัน 8 คน มีคนหนึ่งเหยียบกับระเบิด เพื่อนอีก 3 คนก็ต้องเข้ามาช่วย ก็จะเหลือทหารไทยที่จะต่อสู้กับทหารกัมพูชาแค่ 4 คน แต่ถ้าทหารไทยเหยียบกับระเบิดแล้วเสียชีวิต เพื่อนทหารที่เหลืออีก 7 คนจะบุกถล่มกัมพูชาอย่างเต็มที่เลย ” พล.อ.รังษี กล่าว
พล.อ.รังษี ยังได้กล่าวถึงกรณีที่กองทัพไทยเร่งขึงลวดหนามหีบเพลงบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ถือเป็นการแสดงอาณาเขตของไทยที่ชัดเจน ทำให้กัมพูชาไม่สามารถอ้างสิทธิ์หรือรุกล้ำเข้ามาได้ ซึ่งหากใช้จีพีเอสตรวจสอบแนวเขตแดนตามแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ก็จะตรงกับแนวลวดหนามเป๊ะ ที่สำคัญรั้วลวดหนามหีบเพลงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการรุกล้ำเขตแดนได้ดีเนื่องจากตัวลวดมีลักษณะเป็นแฉกและคมมาก จึงเป็นอันตรายสำหรับผู้บุกรุก คนที่ถูกลวดหนามเกี่ยวมีโอกาสที่จะบาดเจ็บรุนแรง
“ คนที่รับผิดชอบกับคนที่ไม่ได้รับผิดชอบมันคิดต่างกัน คนที่รับผิดชอบเขาเห็นปัญหา เขารู้ว่ายิ่งทำเร็วปัญหามันก็จบเร็ว ตอนนี้เรามีปัญหาชายแดนที่เป็นเรื่องฉุกเฉินเร่งด่วน ต่อให้เบิกงบฉุกเฉินก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ แต่ปัญหาตอนนี้มันรอไม่ได้ ทหารไทยโดนกับระเบิดไป 5 คนแล้ว ถ้ามีรั้วลวดหนามกั้น กัมพูชาก็แอบเข้ามาวางระเบิดยากขึ้น ซึ่งความคมของลวดหีบเพลงถึงขั้นไส้ทะลักเลยนะ ใบลวดที่เป็นชิ้นๆเนี่ยคมยิ่งกว่ามีดโกนอีก ถ้าล้มหน้าคว่ำมาโดนลวดหนามนี่แกะไม่ออกนะ ยิ่งดิ้นยิ่งติด หนังหลุดเป็นชิ้น ยิ่งแอบเข้ามาตอนกลางคืนไม่ต้องพูดถึงเลย ” พล.อ.รังษี ระบุ
ส่วนการจะแก้ปัญหาที่ทหารกัมพูชาลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในเขตแดนไทยซึ่งส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บและเสียชีวิตให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้น พล.อ.รังษี ชี้ว่า รัฐบาลไทยต้องประกาศยกเลิกข้อตกลงทั้ง 13 ข้อที่ไทยและกัมพูชาตกลงร่วมกันในการประชุมจีบีซี จากนั้นกองทัพก็ดำเนินการผลักดันทหารกัมพูชาออกไปจากแนวชายแดนไทย-กัมพูชาให้หมด เพราะหากไทยยังยึดข้อตกลงอยู่ ขณะที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงทุกอย่าง พร้อมทั้งพยายามยั่วยุให้ไทยเปิดฉากยิงก่อน ฝ่ายไทยจะมีแต่เสียเปรียบ เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวระบุว่า ห้ามใช้อาวุธทุกประเภท ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง ห้ามเพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดน ซึ่งเท่ากับเป็นการบล็อกไม่ให้ทหารไทยดำเนินการตอบโต้ขณะที่กัมพูชาแอบโจมตีไทย
“ เรากำลังสู้กับคนที่ไม่เคารพกติกา การที่กัมพูชาแอบเข้ามาวางระเบิดในเขตแดนไทยก็คือการสุ่มโจมตี เท่ากับเขาละเมิดข้อตกลงจีบีซีแล้ว เพราะข้อแรกในจีบีซีคือยุติการใช้อาวุธทุกประเภทในการโจมตีเป้าหมายทั้งพลเรือนและทหาร ดังนั้นไทยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำตามข้อตกลงจีบีซีอีกต่อไป ทีนี้ก็ล่อกันด้วยกระสุนจริงเลย เราก็จัดหน่วยเตรียมปะทะเต็มรูปแบบ ผลักดันทหารกัมพูชาที่แหลมเข้ามาในเขตเราออกไปให้หมด ถ้าเป็นอยู่แบบนี้เราเสียเปรียบเพราะเขาเอา 13 ข้อที่ตกลงกันมาเป็นโซ่ล็อคกองทัพไทยไว้ แล้วก็ยั่วยุเราทุกอย่าง ทหารเราโดนระเบิดในจุดที่ลาดตระเวนประจำแปลว่าเป็นระเบิดใหม่แน่นอน ถ้าเราจะพายูเอ็นหรือทูตของนานาประเทศไปดูพื้นที่ซึ่งมีการวางนะเบิดแล้วก็ต้องเอาข้อความที่กัมพูชาปฏิเสธความร่วมมือในการเก็บกู้ระเบิดไปชี้ให้นานาชาติเห็นว่ากัมพูชามี hidden agenda หรือมีวาระแอบแฝง ” พล.อ.รังษี ระบุ
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j