“ปานเทพ” เผย เหตุที่กัมพูชากล้ารุกรานไทย กระทั่งเปิดฉากยิงจนนำไปสู่การสู้รบระหว่างสองประเทศ เป็นเพราะการเมืองแทรกแซงฝ่ายความมั่นคง โดยตั้ง ศบ.ทก.ที่มี “พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์” รมช.กลาโหม เป็นประธาน เพื่อตัดตอนอำนาจของสภาความมั่นคงฯ และ ศอ.ปชด. ของ“พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี” ชี้ รัฐบาลผ่อนปรนการเปิดด่าน ปล่อยให้เรือไทยขนน้ำมันจากสิงคโปร์ส่งให้เขมร ไม่ต่างจากส่งกำลังบำรุง ทำให้เขมรยืนระยะอยู่ได้และหันกลับมายิงถล่มไทย แนะ พาสื่อต่างชาติลงพื้นที่หลังเหตุการณ์สงบ เพื่อพิสูจน์ว่ากัมพูชาล้ำแดนไทย ป้องกันเขมรเคลม 3 ปราสาท ด้าน “ดร.กิตติธัช” ยัน เขมรไม่มีทางเคลมวัฒนธรรมไทยได้สำเร็จ
กรณีที่กัมพูชายิงถล่มไทยทั้งในพื้นที่ทหารและพลเรือน ส่งผลให้ชาวบ้านและลูกเด็กเล็กแดงจำนวนไม่น้อยต้องบาดเจ็บและเสียชีวิต สร้างความโกรธแค้นให้คนไทยทั้งประเทศ หลายคนสงสัยว่าประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้ยังไง ทำไมประเทศยากจนที่พึ่งพาไทยมาตลอดอย่างกัมพูชาจึงกล้าเหิมเกริมรุกล้ำดินแดนและทำร้ายประเทศไทยได้ขนาดนี้
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ชี้ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยมักตกเป็นรองกัมพูชาก็คือที่ผ่านมาฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงการทำงานของกองทัพ แต่เดิมเมื่อสภาความมั่นคงแห่งชาติมอบอำนาจให้กองทัพแล้วก็ต้องไม่แทรกแซง ขณะที่ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน(ศอ.ปชด.) ที่มีที่ทำหน้าที่ในการจัดการปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งตั้งขึ้นภายใต้คำสั่งของนายกรัฐมนตรี โดยระบุอย่างชัดเจนว่าคนที่มีอำนาจสูงสุดก็คือ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ในฐานะประธาน ศอ.ปชด. แต่เมื่อประเทศไทยมีหน่วยงานที่ชื่อว่า ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม เป็นประธาน กลับตัดตอนอำนาจของ ศอ.ปชด. และสภาความมั่นคงฯ แทรกแซงให้มีการผ่อนปรนการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเท่ากับฝ่ายการเมืองล้วงลูกมติสภาความมั่นคงฯ
วันแรกที่สภาความมั่นคงฯมอบอำนาจให้กับกองทัพบกในการเปิด-ปิดด่านคือ วันที่ 6 มิ.ย.2568 จากนั้นวันที่ 7 มิ.ย.2568 กองทัพบกประกาศควบคุมและปรับเวลาเปิด-ปิดด่านทันที โดยลดเวลาเปิดด่านเหลือน้อยลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจพนันออนไลน์และธุรกิจแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของกัมพูชาทันที เพราะคนไทยข้ามไปเล่นพนันน้อยลง และเป็นเหตุผลสำคัญให้วันที่ 8 มิ.ย.2568 ทหารกัมพูชายอมถอยออกจากคูเลตที่บริเวณช่องบกทันที พร้อมทั้งถอยกองกำลังทั้งหมดออกไปด้วย ซึ่งฮุน เซน ก็คงนึกว่าเมื่อถอนกำลังแล้วฝ่ายไทยคงจะต้องเปิดด่านเพื่อไม่ให้กระทบบ่อนกาสิโนของกัมพูชา แต่ปรากฎว่าฝ่ายไทยไม่ยอมเปิดด่าน
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า เหตุผลของการไม่เปิดด่านดังกล่าวมาปรากฏในข่าวประชาสัมพันธ์ของกองบัญชาการกองทัพไทยที่นำโดย พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองบัญชาการกองทัพไทย โดยอ้างเรื่องอำนาจของ ศอ.ปชด.ให้ทำหน้าที่ 2 ข้อ คือ 1.การเปิด-ปิดด่านเพื่อกดดันให้ฝ่ายกัมพูชาเร่งปราบปรามผู้ที่ก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ จับกุมและบังคับใช้กฎหมาย และ 2.ประกาศว่าจะยกระดับมาตรการป้องกันปราบปรามแก๊งอาชญากรรมดังกล่าว เช่น ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เนต และควบคุมสินค้ายุทโธปกรณ์ทั้งหมดซึ่งเป็นการดำเนินการในลักษณะเดียวกับมาตรการกดดันเมียนมาให้ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และนี่คือวัตถุประสงค์ของการปิดด่าน ไม่ใช่แค่ให้ทหารกัมพูชาถอย เราไปไกลกว่านั้น และ ศอ.ปชด.เขาไม่ได้กำหนดแค่นี้ โดยวันที่ 9 มิ.ย.2568 ได้มอบหมายให้ เลขา ศอ.ปชด. คือ พล.อ.มนัส จันทร์ดี ส่งหนังสือด่วนที่สุดถึงเลขาธิการสภาความมั่นคงฯ เพื่อขออนุมัติการดำเนินมาตรการสองข้อดังกล่าวด้วย
แต่ปรากฏว่าเดิมจะมีการประชุมสภความมั่นคงฯในวันที่ 16 มิ.ย.2568 หลังจากการประชุมเจบีซีในวันที่ 14 มิ.ย.2568 และวันที่ 15 มิ.ย.2568 ไทยกับกัมพูชาแยกกันแถลงข่าว แถลงไปคนละทิศละทาง และไม่มีใครเปิดเผยผลการประชุมเจบีซี แต่ในวันที่ 15 มิ.ย. นายกฯแพทองธาร ชินวัตร กับฮุน เซน โทร.คุยกันตามคลิปลับ ซึ่งการสนทนาดังกล่าวจะพูดแต่เรื่องการเปิด-ปิดด่านซึ่งกัมพูชาได้รับผลกระทบ โดยฮุน เซนบอกให้ไทยเปิดด่านก่อน แล้วกัมพูชาจะเปิดตาม ขณะที่นายกฯแพทองธารอยากให้เปิดด่านพร้อมกัน แต่ไม่มีใครพูดถึงกรณีที่กัมพูชารุกล้ำอธิปไตยของไทย หรือการที่กัมพูชาจะยื่นเรื่อง 4 พื้นที่เป็นของกัมพูชาต่อศาลโลก หรือปัญหาเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งกัมพูชาซึ่งเป็นเหตุผลหลักในการเปิด-ปิดด่านของสภาความมั่นคงฯ และ ศอ.ปชด. แต่ในวันที่ 16 มิ.ย.กลับงดการประชุมสภาความมั่นคงฯไปเฉยๆ
“ ตอนแรกไม่มีใครรู้เหตุผลว่าทำไมจึงยกเลิกการประชุมสภาความมั่นคงในวันที่ 16 มิ.ย. แต่เรื่องนี้มาเฉลยในวันที่ 17 มิ.ย.2568 ซึ่งมีการแต่งตั้ง ศบ.ทก. หรือเรียกว่า“ทีมไทยแลนด์” ที่มี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม เป็นประธาน เพื่อชิงอำนาจจาก ศอ.ปชด.ซึ่งมี พล.อ.ทรงวิทย์ เป็นประธาน และชิงอำนาจจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้มาอยู่ภายใต้ พล.อ.ณัฐพล โดยเป็นประธานเอง เคาะเอง องค์ประชุมก็แคบลง ทำให้วาระการประชุมที่จะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกับกัมพูชาถูกตัดตอนด้วยการแถลงข่าวโดย พล.อ.ณัฐพล ในวันที่ 17 มิ.ย.2568 ทันทีว่าไทยจะไม่มีการตัดไฟและตัดอินเทอร์เน็ตที่ส่งไปยังกัมพูชา ซึ่งร่องรอยตรงนี้ทำให้เห็นว่าการทำงานด้านความมั่นคงของส่วนข้าราชการกับการเมืองมีความแตกต่างกัน และเป็นผลให้เกิดเหตุการณ์ในวันนี้ ” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ ชี้ว่า ในที่สุด ศบ.ทก.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ พล.อ.ณัฐพล เป็นประธาน กลับใช้อำนาจแทรกแซงกองทัพบก และใช้อำนาจที่มอบให้โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติไปแทรกแซงให้มีการผ่อนปรนในการเปิดด่านเพื่อส่งสินค้าไปกัมพูชาเพิ่มเติม จากเดิมที่บอกว่าไทยปิดด่านเพื่อกดดันเรื่องการแก้ปัญหาแก๊งอาชญากรรมกลับไม่ได้รับความสนใจ ตรงกันข้ามการผ่อนปรนดังกล่าวกลับสอดคล้องกับบทสนทนาของนายกฯอุ๊งอิ๊งกับฮุน เซน คือผ่อนปรนโดยเปิดด่านจากฝั่งไทย โดยคิดว่าฮุน เซนจะเปิดด่านพร้อมกัน แต่ในที่สุดสถานการณ์กลับแย่กว่านั้นเพราะเมื่อรถสินค้าไทยไปถึงด่านชายแดนแล้วทางฝั่งกัมพูชากลับไม่ให้เข้าโดยอ้างว่าถ้าจะเปิดด่านต้องเปิดทั้งหมด นี่คือการเสียท่าในเวทีระหว่างประเทศ เป็นการเสียเชิง เสียหน้า ทำให้ประเทศไทยอ่อนแออย่างมาก
เมื่อกัมพูชามาวางกับระเบิดที่ช่องบก เป็นเหตุให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บและสูญเสียอวัยวะ คนที่ยืนยันทันทีว่าเป็นระเบิดที่ถูกนำมาฝังใหม่คือกองบัญชาการกองทัพไทย โดยผู้ที่ออกมาแถลงคือเสธ.เบิร์ด (พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย) พร้อมทั้งบอกว่าไทยต้องทำอะไรสักอย่าง ด้าน พล.อ.ทรงวิทย์ก็ห่วงเรื่องนี้มาก บอกว่าจำเป็นต้องมีการเคลื่อนไหว ท่านสนับสนุนให้ภาคประชาชนไปยื่นประท้วงต่อยูเอ็น โดยท่านประสานมาที่ตน ทางด้านพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท.จึงได้ไปยื่นเรื่องที่กระทรวงต่างประเทศ และยูเอ็น เพื่อประท้วงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ แต่ รมช.กลาโหม กลับออกมาบอกว่าเป็นระเบิดเก่า
“ ที่สำคัญเมื่อเขมรเข้ามาวางระเบิด รัฐบาลไทยแค่แถลงว่าต้องดูข้อเท็จจริงก่อนและไทยต้องไม่ทำตามอารมณ์ แถม พล.อ.ณัฐพล กลับพูดว่าเชื่อว่าเป็นระเบิดเก่า ส่งสัญญาณว่าไม่อยากให้มีเรื่อง แทนที่จะแสวงข้อเท็จจริง และเมื่อชัดเจนว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่แทนที่รัฐบาลจะประท้วงไปยังองค์การสหประชาชาติ กลับไปรอส่งเรื่องให้ที่ประชุมออตตาวาพิจารณาในช่วง ปลายปี(ธ.ค.2568) ซึ่งผมมองว่ารัฐบาลกำลังเล่นละครให้คนไทยดู และการที่ฝ่ายการเมืองแทรกแซงทหารทำให้สถานการณ์ของไทยซึ่งน่าจะสามารถจัดการได้อย่างเด็ดขาด กลับทำให้กัมพูชาดำรงชีวิตได้เป็นปกติ เพราะมีการลักลอบส่งน้ำมันและสินค้าไปกัมพูชา โดย ศบ.ทก.เข้าไปแทรกแซงเพื่อผ่อนปรนจุดผ่านแดนต่างๆ เพื่อส่งสินค้าเข้าไปในฝั่งกัมพูชา ในสถานการณ์เปราะบาง การส่งกำลังบำรุงให้ข้าศึก ก็เท่ากับเราเพิ่มศักยภาพให้เขากลับมารบกับเรา ผมจึงไม่เห็นด้วยกับ รมช.กลาโหม ท่านนี้ ” นายปานเทพ ระบุ
นายปานเทพ อธิบายเพิ่มเติมว่า แม้ไทยจะปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ปัจจุบันกัมพูชาไม่ได้ขาดแคลนน้ำมันเพราะมีเรือจากฝั่งไทยขนน้ำมันจากสิงคโปร์ไปป้อนให้กัมพูชา มีการแอบเปิด-ปิดด่านเพื่อขนสินค้าจากฝั่งลาวอ้อมไปส่งให้กัมพูชา รวมทั้งมีการลักลอบทยอยส่งสินค้าจำเป็นให้กัมพูชา ซึ่งการกระทำเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้กัมพูชาสามารถต่อกรกับไทยได้ยืดเยื้อยาวนานขึ้น ซึ่งสถานการณ์ที่ยืดเยื้อเป็นผลให้ประชาชนใน 7 จังหวัดที่อยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเดือดร้อนไม่สามารถค้าขายได้เพราะสถานการณ์ไม่สงบเสียที แทนที่สถานการณ์จะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและจบอย่างรวดเร็ว ยิ่งยืดเยื้อก็ยิ่งเสียหาย
เนื่องจากทั่วโลกรู้อยู่แล้วว่ากัมพูชาทำผิดต่ออนุสัญญาออตตาวาในกรณีวางทุ่นระเบิดใหม่ อีกทั้งยังละเมิดรุกล้ำอธิปไตยของไทย รวมถึงจากรายงานของสหประชาชาติว่าด้วยการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี การค้ามนุษย์และการค้ายาเสพติด ทำให้ทั่วโลกรู้ว่ากัมพูชาเป็นแหล่งอาชญากรรม ดังนั้นประเทศไทยมีความชอบธรรมอย่างยิ่งที่จะดำเนินการเพื่อขัดขวางไม่ให้มีการส่งยุทโธปกรณ์และกำลังบำรุงต่างๆให้กัมพูชา ไม่ว่าจะผ่านทางชายแดนหรือทางอ่าวไทย แต่การที่รัฐบาลปล่อยให้มีการลักลอบส่งสินค้าไปยังกัมพูชาทำให้กัมพูชามีสายป่านที่ยาวขึ้น
“ การที่รัฐบาลปล่อยให้เกิดเหตุยืดเยื้อก็เพื่อให้คนไทยที่ค้าขายตามแนวชายแดนทนไม่ได้ใช่หรือไม่ รัฐบาลจะได้มีความชอบธรรมในการเปิดด่าน โดยไม่สนใจกรณีที่ทหารกัมพูชาเข้ามาวางระเบิดในฝั่งไทย เป็นไปได้ยังไงมีการวางทุ่นระบิดใหม่ แล้วในวันเดียวกันทางการไทยกลับผ่อนปรนการเปิดด่านมากขึ้น ซึ่งหากมีใครนำเหตุการณ์นี้ไปประกอบสำนวนในกรณีคลิปเสียงระหว่างนายกฯอุ๊งอิ๊งกับฮุน เซน ซึ่งยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญไปแล้วก็จะทำให้ข้อหาเรื่องขาดจริยธรรมของนายกฯมีความชัดเจนมากขึ้น ชัดเจนว่ารัฐบาลขายชาติหรือไม่ รัฐบาลทำให้เกิดการทำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศหรือเปล่า สมรู้ร่วมคิดกับอริราชศัตรูหรือไม่ ” ปานเทพ ระบุ
ส่วนกรณีที่กัมพูชาพยายามจะอ้างสิทธิ์ในปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และประสาทตาควายนั้น "นายปานเทพ" ชี้ว่า เราจะต้องยืนยันอธิปไตยของไทยในทางสากลและเผยแพร่เรื่องการละเมิดอธิปไตยไทยของกัมพูชาให้นานาชาติได้รับรู้ อาทิ หลังจากการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชายุติลง รัฐบาลควรพาสื่อมวลชนทั้งสื่อไทยและสื่อต่างประเทศไปดูจุดที่มีการวางทุ่นระเบิดใหม่ซึ่งกัมพูชาเข้ามาวางในฝั่งไทย ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ทหารกัมพูชามีการขุดคูเลตในประเทศไทยและรุกล้ำเข้ามาในฝั่งไทย เพื่อดำเนินการเผชิญสืบร่วมกัน ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ทั่วโลกเข้าใจไทย หรือพาสื่อไทยและสื่อต่างชาติไปเผชิญสืบพื้นที่สันปันน้ำบริเวณปราสาทตาเมือนธมซึ่งจะทำให้ต่างชาติเห็นชัดเจนว่าปราสาทตาเมือนธมอยู่หลังแนวสันปันน้ำซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ซึ่งชี้ชัดว่าเป็นดินแดนของไทยและทำให้เห็นชัดว่าที่ผ่านมากัมพูชาบิดเบือนใส่ร้ายประเทศไทยอย่างไรบ้าง
อีกกรณีที่คนไทยกำลังวิตกก็ความพยายามในการเคลมสารพัดวัฒนธรรมไทยของกัมพูชา ซึ่งเรื่องนี้ “ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์” นักวิชาการอิสระ และอาจารย์พิเศษด้านปรัชญาการเมือง แนะนำว่า ไทยต้องเดินเกมที่เหนือกว่า เพราะไม่ว่ากัมพูชาจะพยายามเคลมอย่างไรแต่คนทั่วโลกรู้ว่าสิ่งเหล่านี้คืออัตลักษณ์และวัฒนธรรมของไทย ยกตัวอย่าง กัมพูชาเคลมอาหารที่หน้าตาเหมือนผัดไทยว่าเป็นอาหารประจำชาติของกัมพูชา แต่ไม่มีประเทศไหนในโลกรู้จักอาหารชนิดนี้ ขณะที่หากพูดถึงผัดไทยผู้คนทั่วโลกรู้ว่านี่คืออาหารไทย ดังนั้นสิ่งที่คนไทยควรทำคือสร้างการรับรู้ทางวัฒนธรรมเพื่อให้ชาวโลกรู้ว่าสิ่งเหล่านี้คือวัฒนธรรมของไทย
แม้ว่ากัมพูชาจะพยายามนำศิลปวัฒนธรรมของไทยไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก เช่น กรณีที่กัมพูชาเสนอ"ประเพณีแต่งงาน" ขึ้นทะเบียนมรดกโลกต่อยูเนสโกในปี 2026 โดยสอดไส้ "ชุดไทย" ไว้ด้วยนั้น ทางยูเนสโกก็ไม่ได้โง่ ไม่ใช่ว่าเสนออะไรมาจะขึ้นทะเบียนให้หมด เขาต้องพิจารณาข้อมูลต่างๆอย่างรอบด้านด้วย หากพบว่าสิ่งนำเสนอใช่วัฒนะรรมของกัมพูชา ยูเนสโกก็ไม่ขึ้นทะเบียนให้ และตามหลักถ้าประเทศไหนวัฒนธรรมแข็งแรงกว่าการเสนอข้อมูลก็มีน้ำหนักกว่า ซึ่งในระดับนานาชาติไทยได้รับการยอมรับมากกว่ากัมพูชา ดังนั้นถ้าไทยเสนอคัดค้านไปยังยูเนสโก ทางกัมพูชาก็ขึ้นทะเบียนไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามีหลักฐานว่าแม้แต่งานแต่งงานของฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ภรรยาของฮุน มาเนต ก็ยังใส่ชุดซัมปอต ไม่ได้ใส่ชุดไทยแต่อย่างใด
“ ที่จริงเรื่องนี้ไทยนำหน้ากัมพูชาอยู่แล้ว เพราะถ้าพูดถึงกัมพูชาสิ่งที่นานาชาติรู้ว่าเป็นของกัมพูชาก็มีแค่นครวัด และทุ่งสังหารซึ่งเป็นการรู้จักในเชิงลบ ในขณะที่ของไทยนั้นมีทั้งมวยไทย ชุดไทย วัดไทย อาหารไทย ซึ่งคนทั่วโลกรู้จัก ถ้าเราจะสยบการเคลมของเขมร ไทยก็แค่เดินสายในเวทีโลก เวทียูเนสโก ไปโชว์รำไทย โชว์ชุดประจำชาติ ไปขึ้นทะเบียนศิลปวัฒนธรรมของไทยต่อยูเนสโก หรือกรณีที่กัมพูชาพยายามจะเคลมชุดไทยโดยสอดไส้ชุดไทยไว้ในพิธีแต่งงานของกัมพูชาที่เขาขอขึ้นทะเบียนยูเนสโก ทางไทยก็แก้เกมด้วยการจัดอีเวนต์งานแต่งงาน โดยเชิญชวนบรรดานักท่องเที่ยวที่จะแต่งงานมาทำพิธีแต่งงานแบบไทย จัดขบวนขันหมาก แต่งชุดไทย เสิร์ฟอาหารไทย เพื่อสร้างการรับรู้ให้นานาชาติ ดังนั้นไม่ว่าเขมรจะพยายามเคลมอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์เท่าการยอมรับของนานาชาติ ” ดร.กิตติธัช ระบุ