xs
xsm
sm
md
lg

จับตาการเมืองใกล้ถึงจุดระเบิด? แนะ ‘อิ๊งค์’ ต้องรีบแก้ก่อนสายเกินไป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ลุ้นระทึกแรงบีบทางการเมืองเขย่าเก้าอี้นายกฯอิ๊งค์ใกล้ถึงจุดระเบิดหรือยัง? ทั้งนโยบายภาษีทรัมป์, คลิป(ลุง)ฮุนเซนคุยหลานอิ๊งค์ก่อให้เกิดความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชาจนต้องปิดด่านและนำไปสู่ม็อบรวมพลังแผ่นดิน กระแสโจมตีขายชาติ-เสียแผ่นดินกระหึ่มจับตามวลชน 28 มิ.ย.ที่อนุสาวรีย์ชัย และทั่วประเทศ ตามด้วยคำชี้ขาดของศาล รธน.เรื่องคลิปเสียง1 ก.ค.นี้อิ๊งค์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่? ด้านสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์’ ชี้จุดระเบิดทำให้ ‘อิ๊งค์’สะเทือนอยู่ตรงไหนยอมรับการเมืองผลประโยชน์ลงตัวก็จบ ประคองรัฐนาวาถึงปี 2570 เชื่อไม่ยุบสภาเพราะรู้แพ้สีส้มมองทะลุ‘เพื่อไทยลด-สีส้มเพิ่ม-สีน้ำเงินเพิ่ม-รทสช.ลด’ ด้านนักธุรกิจอุตสาหกรรม แจงโรงงานปิดตัวเยอะ คนตกงานมากขึ้น เงินลงทุนในกองทุนหายไป 30-50% ติงให้ระวังคนตกงานมากๆ จะพากันลงถนน!

ลุ้นระทึกการเมืองจะเดินหน้าไปอย่างไร? แต่ละประเด็นปัญหาถาโถมเข้าใส่ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร และพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งกดดันให้นายกฯอิ๊งค์ รับผิดชอบด้วยการ ลาออก หรือยุบสภา ก่อนที่จะนำไปสู่การรัฐประหาร จากกรณีที่สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ปล่อยคลิปเสียงสนทนา ความยาว 17 นาที 6 วินาที ระหว่าง Uncle (ลุง) ฮุนเซน คุย หลานอิ๊งค์ ปลิวว่อนโซเชียล ได้สร้างแรงกระเพื่อมอย่างรวดเร็วจนนำไปสู่กระแสโจมตีนายกฯอิ๊งค์ ‘ชายชาติ’ ซึ่งในคลิปมีการพูดตำหนิทหารว่าคนละฝั่งกับนายกฯ ทำให้มวลชนในสังคมที่ได้ฟังคลิปนี้ ปลุกพลังรักชาติ รักแผ่นดิน ต่างส่งกำลังใจให้กับ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 อย่างเนืองแน่น

อย่างไรก็ดีแม้นายกฯอิ๊งค์ จะรับมือด้วยการออกมาแถลงขออภัยปมคลิปหลุดและสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม พร้อมนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ, พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม, พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) และเหล่าทัพร่วมแถลงสะท้อนความเชื่อมั่นว่า ‘รัฐบาล-กองทัพ’เป็นหนึ่งเดียว

ส่วนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น กองทัพภาค 2 มีการตรึงกำลังเพื่อปกป้องอธิปไตยและประชาชน เพื่อไม่ให้ใครรุกล้ำหรือรุกรานเข้ามาได้ และมีการปิดด่านหลายแห่งแต่ยอมให้เด็กนักเรียนกัมพูชาเข้ามาเรียนในฝั่งไทยได้ และคนป่วยผ่านเข้ามารักษาในโรงพยาบาลไทยได้เพื่อมนุษยธรรม ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าบริเวณชายแดนซึ่งทุกคนเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างดี

ในทางการเมืองดูเหมือนว่ารัฐบาลอิ๊งค์ จะถึงจุดเพลี่ยงพล้ำ แม้ว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาได้หลังพรรคภูมิใจไทยลาออก แต่ก็มีกระแสกดดันเพื่อให้พรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ลาออกเช่นกัน เพราะสังคมเห็นว่าพรรคนี้มีลุงตู่ ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’องคมนตรีเป็นผู้ร่วมผลักดันให้เกิดขึ้น และประชาชนที่เลือกพรรคนี้ก็เพราะรักลุงตู่ แต่เมื่อนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช.ตัดสินใจนำพรรคเข้าร่วมรัฐบาลอิ๊งค์ 2 ก็ทำให้สังคมผิดหวัง จนเกิดกระแสวิจารณ์ว่า ‘คนรักชาติ’อย่างนายพีระพันธุ์ ทำไมถึงไปหนุน ‘คนขายชาติ’ จนทำให้เสียงก่นด่าพรรค รทสช.เริ่มดังขึ้น

อีกทั้งนายกฯอิ๊งค์ยังต้องเผชิญปัญหา กรณีที่ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ยื่นคำร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานะความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ อันเนื่องมาจากคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน

โดยในเรื่องนี้ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า วันที่ 1 ก.ค.ศาลฯ มีนัดประชุมอยู่ก่อนแล้วเพื่อพิจารณาคดีอื่น ส่วนเรื่องที่ร้องเรื่องคลิปเสียงอาจนำเข้าที่ประชุมได้หรือไม่ก็ต้องให้คณะตุลาการตรวจเอกสารครบถ้วนก่อน และหากมีการพิจารณาก็จะออกได้ 2 ทาง คือรับคำร้องไว้พิจารณา หรือมีคำสั่งไม่รับไว้ ส่วนวันที่ 1.ก.ค.ศาลฯ จะมีคำสั่งหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถยืนยันได้ต้องรอตรวจเอกสารก่อนและเข้าองค์คณะ ทุกครั้งที่เราประชุมจะต้องมีองค์คณะครบ 9 คนตามกฎหมาย

ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่าหากวันที่ 1 ก.ค.ศาลฯรับพิจารณาคลิปเสียง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เสมอไป แต่จะพิจารณาตามข้อเท็จจริงว่าการหยุดปฏิบัติหน้าที่จะทำให้เกิดความเสียหายหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีที่เรารับคดีแต่ไม่ได้สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่




ขณะเดียวกัน นายกฯอิ๊งค์ ยังจะต้องเผชิญกับการชุมนุมกดดันเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ ในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ ที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ปิด 21.00 น. โดยคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย นำโดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ , อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, นายแก้วสรร อติโพธิ ,นาย นิติธร ล้ำเหลือ ,ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก , นพ.เหรียญทอง แน่นหนา และเหล่าแกนนำอีกมากมาย โดยคาดว่าการชุมนุมครั้งนี้จะมีผู้ร่วมชุมนุมจำนวนมากซึ่งจะมีคนจากต่างจังหวัดเข้ามาร่วมด้วยและบางจังหวัด ทั่วประเทศก็จะมีการชุมนุม ปราศรัยไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเชื่อว่าการนัดรวมพลังครั้งนี้จะจุดติดและยกระดับไปสู่การกดดันให้นายกฯอิ๊งค์แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก อันเป็นผลมาจากคลิปเสียง ‘ขายชาติ-เสียแผ่นดิน’ นั่นเอง

หากจะถามว่าวิกฤตการเมืองที่รัฐบาลเพื่อไทย นำโดยนายกฯอิ๊งค์ กำลังเผชิญอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายขึ้นภาษีทรัมป์ ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา อันเนื่องมาจากคลิปหลุด ปัญหาความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาล นโยบายพรรคเพื่อไทยพูดแล้วทำไม่ได้ การผลักดันกฎหมายกาสิโนที่สังคมต่อต้าน และนิติสงครามที่ครอบครัวชินวัตรกำลังเผชิญ รวมทั้งการชุมนุมขับไล่ของคณะรวมพลังแผ่นดิน นั้นจะมีผลถึงให้รัฐบาลอิ๊งค์ อยู่ไม่ได้ใช่หรือไม่ บรรดาทหารประชาธิปไตยและคอการเมืองต่างเห็นว่า จุดตายของนายกฯอิ๊งค์และรัฐบาลชุดนี้อยู่ที่เศรษฐกิจที่ประชาชนคนไทยทุกข์ระทมและทนอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทันที


สำหรับมุมมองของนักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง อย่าง รศ.ดรสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ระบุว่า ปัญหาที่รุมเร้ารัฐบาลอิ๊งค์ อยู่นั้นจะใช่จุดตายหรือจุดระเบิดหรือไม่ 

อันดับแรก คือการที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว จากนโยบายภาษีทรัมป์ ซึ่งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน.ซึ่งตัวเลขจาก สภาพัฒน์ รายงานว่า GDP ไทยไตรมาสแรกของปี 2568 ขยายตัว 3.1% ชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการขยายตัว 3.3% ในไตรมาสก่อนหน้า

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนแล้ว ถือว่าเป็นการขยายตัวต่ำที่สุด. โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับเวียดนามที่ขยายตัว 6.9%, ฟิลิปปินส์ 5.4%, อินโดนีเซีย 4.9%, มาเลเซีย 4.4% และสิงคโปร์ 3.8%. และสภาพัฒน์ยังได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือ 1.8% เพราะการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยทั้งปียังมีข้อจำกัดจากภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกช่วงครึ่งปีหลัง ความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงจากความผันผวนในภาคเกษตร

อันดับที่ 2 คือเรื่องของไทย-กัมพูชา มี 2 ประเด็น ในประเด็นแรก เป็นเรื่องเศรษฐกิจ ที่ส่งผลกระทบไม่มากเท่าไหร่ โดยตัวเลขช่วงปี 2567 การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา มีการค้ารวม 175,530 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 141,846 ล้านบาท การนำเข้ามูลค่า 32,684 ล้านบาท ได้ดุลการค้า 109,163 ล้านบาท แต่จะส่งผลกระทบต่อ 7 จังหวัดที่ติดชายแดนและเกี่ยวข้องกับประชาชนที่อยู่ตรงนั้นจะได้รับความเดือดร้อน

สำหรับประเด็นสำคัญคือเรื่องคลิปที่ฮุนเซน ปล่อยออกมานั้นเกี่ยวข้องกับรัฐบาลโดยตรงและเป็นจุดที่ทำให้ประชาชนรวมตัวกันต่อต้านได้ แต่ถึงขนาดทำให้รัฐบาลแตกแยกกันหรือไม่ ก็อยากให้สังคมดูกันให้ลึก ๆ เพราะการเมืองไทย เป็นเรื่องของผลประโยชน์ และไม่มีพรรคการเมืองจริง ๆ ที่ยึดอุดมการณ์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเรื่องผลประโยชน์ ซึ่งสังคมจะเห็นได้ว่าพรรคเหล่านี้ยังรวมตัวกันได้ เพียงแต่ว่าจำนวนเสียงข้างมากอาจลดน้อยลงไปบ้างก็เท่านั้น

ดังนั้นปัญหาที่จะทำให้รัฐบาลอิ๊งค์ ต้องยุบสภานั้น ส่วนตัวมองว่ายังไปไม่ถึง เพราะเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้ปั่นป่วน ยังพอขยายตัวต่ำ ๆ แม้ว่าอัตราการเติบโตจะต่ำที่สุดในอาเซียนก็ตาม

“ถ้าจะมองไปว่าทหารจะมีการทำรัฐประหาร เชื่อมั่นว่าทหารไม่อยากจะทำ การรัฐประหาร 2 ครั้งที่ผ่านมาทหารต้องทำ เพราะมีความจำเป็นจะเกิดสงครามการเมือง แต่เศรษฐกิจเวลานี้ ยังขยายตัวได้แม้จะไม่ดีนัก และทหารเองก็ไม่อยากจะยุ่ง เพราะสมัยนี้การทำรัฐประหารทำได้ยาก เพราะกระบวนการต่อต้านมันเยอะ มองไปที่พม่า ทำรัฐประหารแล้วยังเอาตัวไม่รอด ทหารก็ต้องคิด ทำได้หรือเปล่า และทำไปแล้วจะอยู่ได้นานหรือเปล่า มันเป็นเรื่องยิ่งยากและใหญ่นะ”

รศ.ดรสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์
รศ.ดร.สมชาย ย้ำอีกว่า ในยุคปัจจุบันอย่าว่าแต่รัฐบาลทหาร แม้รัฐบาลพลเรือนการจะบริหารประเทศทุกวันนี้ไม่ใช่ของง่ายและยังมีปัญหาเรื่องการกดดันจากต่างประเทศ แม้ว่าเศรษฐกิจจะรุมเร้าในครึ่งปีนี้มาก แต่กลไกที่เป็นตัวกดดันนอกรัฐสภา จะมีสูงขึ้น ซึ่งในภาพรวมคิดว่า รัฐบาลอิ๊งค์ ยังสามารถประคองตัวอยู่ได้ หรือแม้กระทั่งสภาฯ จะพบว่าฝ่ายค้านแทบไม่มีบทบาทอะไรเลย

“ฝ่ายค้านทำได้ไม่เต็มที่ เพราะเป้าหมายอันหนึ่งของรัฐบาล กับฝ่ายค้าน คือต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ รัฐบาลแม้จะมีแรงกดดันนอกสภาสูง แต่คิดว่ารัฐบาล คงเลือกประคองตัว เพราะถ้าเลือกยุบสภา พรรคประชาชน อาจได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลอาจเสียเปรียบ สส.เพื่อไทยอาจจะลดลง ภูมิใจไทยอาจจะได้สูงขึ้นกว่า 69 ที่นั่ง เขาจึงไม่เลือกยุบสภา คงเลือกประคองตัวภายใต้แรงกดดันนอกสภา จนถึงการเลือกตั้งปี 2570”

ที่สำคัญการเลือกยุบสภานั้น พรรคการเมืองชุดเก่า นักการเมืองหน้าเก่า ก็จะกลับมาอีกภายใต้ชื่อพรรคการเมืองใหม่ๆ ก็ได้ อย่างพรรคซีกอนุรักษนิยมอย่างพรรครทสช.จำนวนจะลดลงและหายไปในที่สุด แต่พรรคประชาธิปัตย์น่าจะยังอยู่ได้ระดับหนึ่งแต่จะมีสส.น้อยลงเช่นกัน

ส่วนพรรคประชาชนจะปรับเปลี่ยนนโยบายให้เข้ากับพรรคการเมืองเก่า ๆ ได้หรือไม่ โดยเฉพาะ ม.112 ทำให้พรรคนี้จัดตั้งรัฐบาลค่อนข้างลำบากและเป็นไปได้ยาก

ทั้งนี้การเลือกประคองตัวท่ามกลางกระแสกดดันจากภายนอกสูงมาก ก็อาจใช้วิธีปรับคณะรัฐมนตรี คือเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีแทน ยกเว้นจะมีเรื่องที่คาดไม่ถึงและแรงกดดันภายนอกสูงมากเหลือเกิน ซึ่งต้องยอมรับแรงกดดันดันภายนอกสูงจริง มีการร่วมชุมนุมกันมาก แต่จะไปถึงขั้นบีบให้ยุบสภา คิดว่าคงต้องดูปัจจัยตัวอื่นๆ ประกอบด้วย

“เราต้องดูการบริหาร เศรษฐกิจย่ำแย่ ติดลบ ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวเยอะแยะ เวลานี้ยังไปไม่ถึงขนาดนั้น เพราะอัตราการเติบโตของไทย ปีนี้ยังขยายตัวได้ 1% กว่าๆ และส่งออกแม้บางแห่งยังติดลบ แต่คิดว่าส่งออกยังขยายตัวอยู่ และ เศรษฐกิจโลกยังขยายตัวอยู่ ไม่ได้ย่ำแย่ขนาดหนัก ที่ผ่านมาการส่งออกขยายตัวได้ 10% คิดว่าครึ่งปีหลังแม้ขยายตัวน้อยลง แต่คิดว่าปีนี้ส่งออกก็น่าจะยังเป็นบวกได้”

หากจะบอกว่าเศรษฐกิจต้องตกต่ำขนาดไหนนั้น ก็ต้องไปดูว่ามีคนเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า มีคนตกงานในปริมาณที่มาก แต่ขณะนี้ยังไปไม่ถึงเพราะการเติบโตยังขยายตัวได้แม้จะเพียง 1% ก็ตาม รวมทั้งการท่องเที่ยวอาจจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวไม่ถึง 3 ล้านคน แต่ยังมีเข้ามาถึง 2 ล้านกว่าก็จัดว่ายังประคองได้

“รัฐบาลยังมีงบประมาณแผ่นดินที่เป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจและยังมีงบกลางที่สำรองไว้ประมาณสองแสนล้านบาทจะสามารถช่วยเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง แต่นโยบายสถานบันเทิงครบวงจรหรือกาสิโนนั้นจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง แต่ก็มีเสียงคัดค้านจึงถือว่าเป็นต้นทุนที่ถูกเล่นงานจากภายนอกสภาทำให้เกิดได้ลำบาก”

รศ.ดร.สมชาย ระบุว่า สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในทุก ๆ ประเด็น และกลุ่มต่าง ๆที่ไม่พอใจมีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ายังไปไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าเป็น ‘จุดระเบิด’ ต้องยุบสภาเพราะแรงกดดันยังอยู่ในขอบเขตที่จำกัดนั่นเอง

“จุดระเบิด มันจะอยู่ที่ประชาชนยากลำบากมากๆ อธิบายหรือชี้ลงไปไม่ได้ แต่ย้ำนะ คนยังไม่ถึงจุดระเบิด แต่โอกาสมันมี แต่ยังก้าวไม่ถึงจุดนั้น แม้แรงกดดันทางการเมืองหรือม็อบจะสูงก็ตาม หรือเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาก็ยังไปไม่ถึง แต่ถ้าถึงจุดนั้นต้องยุบสภาแน่” รศ.ดร.สมชาย






ด้านนักธุรกิจอุตสาหกรรม บอกว่า จากการได้พูดคุยกับนักธุรกิจด้วยกัน ยอมรับว่าประเทศไทยมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจและส่งผลให้รัฐบาลล้มได้ ส่วนตัวนายกฯ อิ๊งค์ ก็จะอยู่ที่กระแสคลิปที่ปล่อยออกมานั้นจะรุนแรงต่อเนื่องไปแค่ไหนอย่างไร ทั้งนี้จากการพูดคุยในวงนักธุรกิจด้วยกัน ยอมรับว่าเมื่อหันไปดูผู้ที่นั่งเป็นรัฐมนตรีแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจก็รู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย ซึ่งในความเป็นจริง มีคนที่เก่ง ๆ มีความเชี่ยวชาญอยากเข้ามาช่วยรัฐบาล แต่คนเหล่านี้เลือกที่จะไม่เข้ามาเพราะกลัวปัญหาการเมือง กลัวชื่อเสียงที่สะสมมาตลอดชีวิตต้องเสียไป จึงตอบปฏิเสธ นี่คือสิ่งที่พวกเราที่เป็นนักธุรกิจรู้สึกเสียดายมาก

นอกจากนี้ในสายตาพวกเรา รัฐบาลอิ๊งค์ ต้องสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ เพราะเวลานี้ทุกคนเมื่อล้วงกระเป๋าก็จะรู้ว่ามันแห้งเหือดไปทั่วหน้า เงินที่อยู่ในกองทุนต่าง ๆ มันลดลงแล้วกว่า 30-50% ส่วนโรงงานที่พวกเรารับรู้ก็ปิดตัวมากขึ้น คนตกงานก็มากขึ้น ถ้าปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้นาน ๆ ก็จะเป็นการผลักไสให้คนลงถนนอีกแล้ว

อย่างไรก็ตามแม้เวลานี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ถ้าปล่อยให้มันสุกงอมจนต้องยุบสภาก็ต้องไม่ลืมว่าสีส้ม ซึ่งหมายถึงพรรคประชาชนมาแน่ แต่ถ้านายกฯ อิ๊งค์ ลาออกใครคือผู้จะมาเป็นนายกฯ หากดูลำดับถัดไปก็คือ อาจารย์ชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยที่มีปัญหาสุขภาพ ถ้าไม่ใช่คนนี้ก็จะไหลมาถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช.ซึ่งก็มีเสียงในสภาน้อยมาก และยังมีคดีที่อยู่ในการสอบของ ป.ป.ช.อีก

“ยุบสภาสีส้ม ก็มา เพื่อไทยลดลงแน่ แต่จะมี 2 พรรคเท่านั้นที่จะเหลืออยู่คือเพื่อไทยและสีส้ม แต่สีส้มก็ยังมีแกนนำหลายคนเจอคดี 112 อีก ส่วนภูมิใจไทย สีน้ำเงิน ก็เจอคดีฮั้ว สว. ซึ่งหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ มันชัดจริง ๆ ดูเหมือนเรากำลังจะสิ้นหวังกับการเมืองเหมือนกันนะ” นักธุรกิจอุตสาหกรรม กล่าว

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


กำลังโหลดความคิดเห็น