“รศ.ดร.พิชาย” เชื่อ “นายกฯแพทองธาร” ไม่ลาออก เพราะนี่คือวิถีของผู้นำตระกูลชิน เตือนนับจากนี้ต้องเผชิญกับการดำเนินคดีกรณีจริยธรรม-ภัยความมั่นคง โทษจำคุกตลอดชีวิต รวมถึงกระแสขับไล่ที่อาจนำไปสู่การ“รัฐประหาร” ด้าน“สุรนันทน์” เรียกร้องนายกฯแสดงความรับผิดชอบ แนะ“พรรคร่วมฯ” ถอนตัวหาก“อุ๊งอิ๊งค์”ไม่ลาออก ฟันธง หากยุบสภา เลือกตั้งใหม่“พรรคเพื่อไทย”ไม่มีโอกาสกลับมาแน่ ขณะที่ “รศ.ดร.ปณิธาน” ชี้ 4 สาเหตุ “ฮุน เซน”ปล่อยคลิป พร้อมระบุ อดีตนายกฯกัมพูชาไม่เกรงใจ เพราะคนตระกูลชินคดีติดตัวเพียบ
นาทีนี้ประเด็นร้อนที่สุดคงหนีไม่พ้นกรณีคลิปเสียงระหว่าง “สมเด็จฮุน เซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา กับ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งสร้างความเดือดดาลให้แก่ประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก โดยกระแสความเห็นล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือนายกฯแพทองธารควรลาออก หรือไม่ก็ประกาศยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ เพราะขณะนี้นายกฯหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศแล้ว
ส่วนว่าสถานการณ์การเมืองนับจากนี้จะเป็นเช่นไร หลายคนคงอยากรู้คำตอบ !
รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา คณะพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์การบริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ชี้ว่า ขณะนี้นายกฯแพทองธารมีทางออก 3 ทาง คือ
ทางเลือกที่ 1 นายกฯอยู่ต่อไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจใยดีต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งหากเลือกทางนี้นายกฯก็ต้องยอมรับแรงปะทะทั้งจากกระแสวิจารณ์ของประชาชน แรงปะทะจากการชุมนุมขับไล่ซึ่งคาดว่าน่าจะขยายตัวมากขึ้น อีกทั้งจะมีคนไปร้องเอาผิดนายกฯกรณีผิดจริยธรรมร้ายแรง หรือความผิดในข้อหาอื่นๆ เช่น ความผิดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 119 (มาตรา 119 ระบุว่า ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต) ซึ่งการร้องเรียนก็อาจจะมาจาก สว.สายสีน้ำเงิน ซึ่งถือเป็นกลไกที่รวดเร็วเพราะแค่รวบรวมรายชื่อ 20 รายชื่อก็สามารถยื่นร้องเรียนได้แล้ว อย่างไรก็ดีหากมีการชุมนุมและมีกระแสกดดันมากขึ้นเรื่อยๆก็อาจจะนำไปสู่การรัฐประหารได้
ทางเลือกที่ 2 นายกฯแพทองธารตัดสินใจลาออก และโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็อาจจะเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯที่เหลืออยู่ขึ้นมา แต่ก็ไม่แน่ว่าเพื่อไทยจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกหรือไม่ เพราะพรรคภูมิใจไทยซึ่งมีคะแนนเสียงเป็นอันดับสองในรัฐบาลก็ประกาศแยกตัวออกมาแล้ว ดังนั้นน่าจะเกิดการแย่งชิงกันในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็คงรอจังหวะอยู่เหมือนกัน และคงจะเดินเกมในการจัดตั้งรัฐบาลแข่งกันระหว่างภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย และคงมีการแย่งตัวนักการเมืองบ้านใหญ่กัน ถ้าทางปีกของนายอนุทินแย่งได้มากกว่านายอนุทินก็ได้เป็นนายกฯ
ทางเลือกที่ 3 คือยุบสภา โดยภายใน 1-2 สัปดาห์นี้คงมีการปรับ ครม. จากนั้นก็อาจจะผลักดัน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย พ.ศ.2569 ให้แล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ยุบสภา หรือหากรัฐบาลแพทองธารอยู่ต่อไปเรื่อยๆและมีแรงกดเพิ่มมากขึ้นก็อาจจะตัดสินใจยุบสภาได้เช่นกัน โดยอย่างเร็วก็น่าจะเป็นช่วงเดือน ต.ค.2568 หลังจากประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณฯ แล้ว ถ้าระยะกลางก็น่าจะเป็นเดือน ธ.ค.2568 หรืออย่างช้าก็ประมาณไตรมาสแรกของปี 2569
“ ผมเชื่อว่านายกฯแพทองธารจะเลือกทู่ซี้อยู่ต่อไปเรื่อยๆ ปรับ ครม.แล้วก็บริหารต่อไปก่อน ดูสถานการณ์ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ไหวจริงๆก็อาจจะยุบสภา แต่คิดว่าการลาออกไม่ใช่ทางเลือกของเขา เพราะจากประวัติศาสตร์ของนายกฯตระกูลชินวัตรไม่มีใครยอมลาออกง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็น อดีตนายกฯทักษิณ อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ มีแรงต้านเกิดขึ้นมากมายก็ไม่ยอมลาออก กว่านายกฯทักษิณและนายกฯยิ่งลักษณ์จะตัดสินใจยุบสภาก็มีประชาชนชนออกมาชุมนุมขับไล่นานหลายเดือน เพราะเขาคิดว่าสามารถคุมสถานการณ์ได้ จึงเชื่อว่านายกฯแพทองธารจะยื้อสถานการณ์ไปเรื่อยๆ จะลาออกก็มีแค่ 2 กรณีคือ ออกโดยถูกยื่นร้องเรียนต่อองค์กรอิสระเหมือนกับกรณีอดีตนายกฯเศรษฐา หรือถูกรัฐประหารเหมือนกับพ่อและอา แต่ถ้านายกฯฉลาดก็คงเลือกยุบสภา ” รศ.ดร.พิชาย กล่าว
ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับ “นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ” อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งระบุว่า มีทางเดียวคือนายกฯจะต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเองด้วยการลาออก จะอ้างว่าคลิปเสียงดังกล่าวเป็นการพูดคุยส่วนตัวกับสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้ เนื่องจากในทางการเมืองระหว่างประเทศนั้นการที่ผู้นำของสองประเทศคุยกันมันไม่มีคำว่าเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะในการเจรจาความเมือง หรือจะอ้างว่าเป็นยุทธวิธีในการต่อรองก็ฟังไม่ขึ้นเพราะดูแล้วเนื้อหาที่พูดดูเหมือนจะเป็นการเอาใจอดีตผู้นำกัมพูชามากกว่า จริงๆแล้วนายกฯต้องยืนหยัดเรื่องอธิปไตยของไทย ต้องเรียกร้องให้กัมพูชาถอนเรื่องที่ยื่นต่อศาลโลก นอกจากนั้นวิธีทางการทูตก็ไม่ใช่ผู้นำประเทศยกหูคุยกันแค่ 2 คน ยกตัวอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โทร.คุยกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จะต้องมีรัฐมนตรีต่างประเทศ และเลขาธิการฯหรือทีมงานของของประธานาธิบดีของทั้งสองประเทศ นั่งฟังอยู่ด้วย อีกทั้งต้องมีการเตรียมประเด็นว่าจะหารือกันเรื่องอะไร พูดได้มากน้อยแค่ไหน และต้องมีการบันทึกเทปเป็นหลักฐาน
ที่สำคัญการที่นายกฯแพทองธารบอกว่าแม่ทัพภาค 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับเรา ก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควร เรื่องนี้ไม่ใช่การต่อรองทางธุรกิจ แต่เป็นเรื่องระหว่างประเทศ แล้วที่ผ่านมาทหารก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ช่วงที่เป็นสุญญากาศใน 7 วันแรกที่กัมพูชาล้ำแดนเข้ามา ทั้งการแสดงแสนยานุภาพของกองทัพไทย ทั้งการสื่อสารให้ประชานร่วมสนับสนุนปฏิบัติการทางการทหาร ขณะที่รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ประเทศไทยสามารถยืนระยะอยู่ได้ก็เพราะทหาร โดยเฉพาะแม่ทัพภาค 2 ซึ่งต้องให้เครดิตท่าน การที่นายกฯไปพูดกับสมเด็จฮุน เซน แบบนั้นก็ทำให้เขาเอาไปใช้เป็นเครื่องมือได้
“ นายกฯต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ส่วนจะผิดรัฐธรรมนูญมาตราไหนบ้างนั้นเดี๋ยวก็มีคนไปร้องเอง แล้วถ้า สว.เข้าชื่อกันร้องศาลต่องรัฐธรรมนูญ นายกฯไปเร็วแน่นอน ก็เหมือนเมื่อครั้งร้องท่านนายกฯเศรษฐาว่าผิดจริยธรรมก็ส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินได้เลย อาจร้องว่านายกฯแพทองธารผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงและอาจจะผิดเรื่องอื่นด้วย เช่น เป็นภัยต่อความมั่นคง หรือเอาข้อมูลความลับไปให้แก่อริราชศรัตรู ถ้าข้อมูลชัดเจนศาลรัฐธรรมนูญก็อาจสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งการตัดสินน่าจะเร็ว เพราะถ้าปล่อยให้ค้างคากระแสประชาชนจะลุกฮือขึ้นมา และนำไปสู่การรัฐประหาร ดังนั้นนายกฯต้องยอมเสียสละเพื่อรักษาระบบประชาธิปไตย ดีกว่าทหารต้องออกมายึดอำนาจ หรือประชาชนออกมาไล่จนไม่มีแผ่นดินอยู่ ” นายสุรนันทน์ กล่าว
ส่วนที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าหากนายกแพทองธารไม่ยอมลาออกสถานการณ์การเมืองไทยจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น “นายสุรนันทน์” วิเคราะห์ว่า หากนายกฯไม่ยอมลาออกก็จะถูกร้องเอาผิดจากบุคคลต่างๆ นอกจากนั้นก็จะเจอกับการประท้วงขับไล่ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีกลุ่มที่ออกมาชุมนุมคัดค้านการตั้งกาสิโน เช่น กลุ่มของนายสนธิ ลิ้มทองกุล และกลุ่มของนายจตุพร พรหมพันธุ์ อีกทั้งก่อนหน้านี้ประชาชนยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตระกูลฮุนกับตระกูลชินวัตรอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้เป็นเชื้อไฟที่ดี แทนที่การชุมนุมขับไล่จะเกิดขึ้นในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าโดยรอดูว่าคดีของนายทักษิณจะตัดสินอย่างไร อยู่ดีๆนายกฯแพทองธารก็เป็นคนจุดประเด็นขึ้นเอง
“ การที่นายกฯออกมาแถลงชี้แจงเรื่องคลิปนั้นผมว่านายกฯกับทีมงานประเมินกระแสสังคมผิดพลาด ประเมินกระแสสังคมต่ำไป คิดว่าพูดแค่นี้ประชาชนจะยอมรับได้ ขณะที่นายกฯไม่เคยขอโทษประชาชนเลย มีคำขอโทษสมเด็จฮุน เซน แต่ไม่เคยขอโทษประชาชน ไม่เคยขอโทษทหาร ไม่เคยให้กำลังใจทหาร วันนี้นายกฯจึงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ นอกจากลาออก นายกฯบริหารราชการต่อไม่ได้แล้ว มีคนเรียกร้องให้ยุบสภา ผมก็ถามว่าสภาทำอะไรผิด สส.ทำอะไรผิด ? แต่ถ้าท่านนายกฯไม่ลาออกผมก็เรียกร้องไปยังพรรคร่วมรัฐบาลว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะยืนอยู่กับนายกฯแบบนี้ได้หรือ ? พรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องถอนตัว และถ้ายุบสภา จัดการเลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยก็ไม่มีโอกาสกลับมาแล้วนะเพราะตอนนี้คะแนนดิ่งเหวสุดๆ ” นายสุรนันทน์ ระบุ
ส่วนที่หลายฝ่ายสงสัยว่าเหตุใดสมเด็จฮุน เซน ซึ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกับตระกูลชินวัตร จึงกล้าปล่อยคลิปดังกล่าวซึ่งสร้างความสั่นคลอนให้นายกฯแพทองธารอย่างหนัก “รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร” นักวิชาการทางด้านรัฐศาสตร์ ด้านการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า สาเหตุที่สมเด็จฮุน เซน เอาคลิปการสนทนากับนายกฯแพทองธารออกมาปล่อย น่าจะมาจาก 4 ประเด็น คือ
1. เพื่อให้รัฐบาลไทยอ่อนแอลง คือแรกเริ่มก่อนที่จะเกิดข้อพิพาทเรื่องดินแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ทางกัมพูชามองว่าฝ่ายบริหารและฝ่ายต่างประเทศของไทยอ่อนแอกว่าในอดีต เมื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพของกัมพูชาในรอบหลายปีที่ผ่านมา ทั้งภาวะการนำ เสียงสนับสนุนจากประชาชน ปัจจัยเศรษฐกิจต่างๆ จึงมองว่าไทยอ่อนแอพอที่กัมพูชาจะจุดประเด็นเรื่องดินแดนเพื่อเรียกคะแนนนิยมโดยที่ทางกัมพูชาไม่เดือดร้อนมากนัก แต่เมื่อปฏิบัติการไประยะหนึ่ง ประเทศไทยตั้งหลักได้และดำเนินกลไกตอบโต้โดยมีภาคประชาชนให้การสนับสนุน ทางกัมพูชาก็พบว่าไทยเข้มแข็งกว่าที่เขาคิด สมเด็จฮุน เซน จึงปล่อยคลิปดังกล่าวออกมาเพื่อลดความเสียเปรียบของทางกัมพูชา
2. ต้องการตอบโต้ที่ไทยทำให้กัมพูชาเสียหน้า จากการที่กัมพูชาต้องการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ คือได้ดินแดนเพิ่มมากขึ้น โดยให้ศาลระหว่างประเทศพิพากษาใน 4 พื้นที่ซึ่งทางกัมพูชายื่นต่อศาลโลก ได้แก่ สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย เป็นของกัมพูชา เพื่อสร้างภาพความแข็งแกร่งให้แก่นายฮุน มาเนต ซึ่งเป็นผู้นำประเทศ แต่เมื่อไทยตอบโต้โดยการปิดด่านทำให้กัมพูชาเดือดร้อนจนต้องขอเจรจาให้เปิดด่าน สมเด็จฮุน เซน จึงไม่พอใจที่ไทยทำให้ผู้นำกัมพูชาเสียหน้า จึงตอบโต้ด้วยการปล่อยคลิป
3. ผู้นำกัมพูชาต้องการเรียกคะแนนนิยม เพราะสิ่งนี้มีความจำเป็นต่อการอยู่รอดของรัฐบาลกัมพูชาทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และถ้าเขาสามารถขยายดินแดนได้ก็จะมีผลต่อการอยู่รอดในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยกลบภาพลักษณ์ที่ถูกนานาชาติมองว่าเป็นเมืองของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้
4.หากคลิปเสียงดังกล่าวส่งผลให้นายกฯไทยขาดความชอบะรรมในการบริหารประเทศ และเกิดการรัฐประหารขึ้น ความชอบธรรมของไทยในเวทีโลกก็จะลดลง โดยเฉพาะกรณีข้อพิพาทที่กัมพูชายื่นต่อศาลโลก
รศ.ดร.ปณิธาน ยังตั้งข้อสังเกตว่า จากเหตุการณ์การปล่อยคลิปเสียงครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้ให้น้ำหนักเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฮุนและตระกูลชินวัตรมากนัก เพราะตระกูลผู้นำของไทยเคยพึ่งพิงกัมพูชาเรื่องการลี้ภัยในอดีต และอาศัยกัมพูชาช่วยสร้างความเข้มแข็งในช่วงที่เกิดวิกฤตการเมือง ทางผู้นำกัมพูชาจึงคิดว่าเขาได้ให้ความช่วยเหลือผู้นำไทยมาเยอะแล้วจึงต้องการผลประโยชน์กลับคืนบ้าง โดยเฉพาะเรื่องดินแดนที่เขาเรียกร้อง และคิดว่าต่อให้มีกรณีปล่อยคลิปเสียงทางผู้นำไทยก็คงไม่คงไม่ไปอะไรกับเขาเพราะกรณีคลิปเสียงจะทำให้ผู้นำไทยอ่อนแอกว่าเดิม
“ ในสายตาของผู้นำกัมพูชาตระกูลชินวัตรอาจจะไม่ถึงกับไร้ราคา แต่ราคามันลดลงมากเพราะว่านายกฯไม่ได้อยู่ในฐานะผู้นำที่เข้มแข็งจริงๆ คนในตระกูลก็มีคดีติดตัวกันเยอะ อยู่ในเงื่อนไขที่มีพันธนาการเยอะมาก เขาก็อาจจะคิดว่าเป็นจังหวะที่ดีที่เขาจะใช้เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง เขาประเมินผู้นำไทยว่าความสามารถต่ำ อ่อนแอ ความเกรงใจเลยหายไป ” รศ.ดร.ปณิธาน ระบุ