ถึงเวลาลุ้นระทึก!หลังทนายความ‘ทักษิณชินวัตร’ บอกชัดวันที่ 13 มิ.ย.นี้‘ทักษิณ’ ไม่ได้เดินทางไปศาลฎีกาแน่นอน พร้อมขอขยายเวลาส่งเอกสาร ซึ่งศาลฯ ให้เวลาถึง 23 มิ.ย.นี้ ด้าน รศ.ดร. เจษฎ์ โทณะวณิก ระบุ หากศาลฯ พิจารณาเห็นว่าเอกสารจากองค์กรและผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นหลักฐานสรุปได้‘ไม่วิกฤต’ สามารถพิจารณาได้ไม่จำเป็นต้องฟังเอกสาร‘ทักษิณ’ แจงคดีนี้ไม่ใช่คดีอาญาแต่เป็นการวินิจฉัยว่าได้มีการบังคับโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ ชี้หากวินิจฉัยเป็นโทษมี 2 แนวทางคือกลับไปติดคุก 1 ปี หรือ 8 ปีและต้องจำคุกที่เรียกว่า‘คุก’ ไม่ใช่บ้านจันทร์ส่องหล้าระวังแนวทางที่ 3 จำคุก 10 ปี ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องก็ต้องไล่ฟ้องร้องกันยาวหากผลวินิจฉัยเป็นคุณทุกอย่างก็จบ คาดทั้งเรื่องทักษิณและวิกฤตรัฐบาลอิ๊งค์จะได้ข้อยุติ 25 มิ.ย.นี้
กรณีชั้น 14 นั้น นายวัญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ชินวัตร ได้บอกชัดเจนแล้วว่า ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ นายทักษิณ จะไม่ได้เดินทางไปยังศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีตั้งองค์คณะไต่สวนการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณที่ไปรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ แต่ตัวเขาในฐานะทนายความจะเดินทางไปยังศาลฎีกาฯ ตามนัดไต่สวน และในฐานะทนายความของนายทักษิณได้ยื่นคำขอขยายเวลาส่งเอกสารคำชี้แจงต่อศาลออกไปก่อน 30 วัน ซึ่งศาลได้กำหนดกรอบเวลาเป็นภายในวันที่ 23 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ เมื่อครบกำหนดขยายเวลาแล้วนายทักษิณไม่จำเป็นต้องเดินทางไปศาลด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ดี แม้ทนายของนายทักษิณ จะมีการยื่นคำขอขยายเวลาส่งเอกสาร แต่สังคมก็ยังจับตาดูว่าการไต่สวนของศาลฎีกาฯ ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้จะมีอะไรออกมาให้สังคมได้รับทราบ และประเมินหรือวิเคราะห์กันต่อว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นคุณหรือเป็นโทษกับนายทักษิณ หรือไม่? เพราะต้องไม่ลืมว่าองค์กรต่าง ๆ และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ต้องส่งเอกสารชี้แจงถึงมือศาลฎีกาฯ ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่นการพิจารณาของแพทยสภา ที่มีมติลงโทษ 3 แพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ แม้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้มีการยับยั้งมติแพทยสภาก็ตาม แต่ในวันที่ 12 มิ.ย.นี้ แพทยสภาก็จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาประเด็นดังกล่าวซึ่งศาลฯ ก็น่าจะได้รับเอกสารมติดังกล่าว
ที่สำคัญเอกสารชี้แจงของ ป.ป.ช.ที่มีการไต่สวนข้อเท็จจริง 12 เจ้าหน้าที่รัฐเอื้อประโยชน์กรณีส่งตัวผู้ต้องขัง(ทักษิณ) จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ และให้นายทักษิณ อยู่รักษาจนกระทั่งครบ 180 วัน ทั้งที่ไม่เจ็บป่วยจริง ตามที่สังคมต่างเชื่อกันว่า ‘ป่วยทิพย์’ จะส่งเอกสารรายงานประการใด
ว่ากันว่าเอกสาร ป.ป.ช.เป็นเรื่องที่นายทักษิณ เองก็ต้องลุ้นระทึกเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้ก็มีข่าวแว่วออกมาว่าได้ส่งมือดี ๆ หาข้อมูลของ ป.ป.ช.เช่นกันว่าจะเป็นการให้คุณให้โทษหรือไม่ เพื่อจะได้จัดเตรียมเอกสารชี้แจงเพื่อหักล้างได้เช่นกัน
ประเด็นชั้น 14 จึงเป็นเรื่องที่ยังต้องลุ้นระทึกอะไรก็เกิดขึ้นได้นับจากวันที่ 13 มิ.ย.นี้เป็นต้นไป!
ด้าน รศ.ดร. เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางกฎหมาย ระบุว่ากรณีที่ทนายของนายทักษิณ ยื่นขอขยายเวลาส่งเอกสารชี้แจงนั้น เป็นส่วนประกอบเดียวในการพิจารณาไต่สวนของศาลฎีกาฯเท่านั้น แต่ส่วนขององค์กรและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่ยื่นมาแล้ว ก็ไม่ได้เป็นการตัดสิทธิ์ศาลฎีกาฯ ในการพิจารณา
“ต้องเข้าใจก่อนว่าในการพิจารณาของศาลตรงนี้ไม่ได้เป็นการพิจารณาคดี แต่เป็นการพิจารณาว่ามีการบังคับโทษตามที่ศาลได้มีการพิพากษาแล้วหรือไม่”
ส่วนการที่ทนายของนายทักษิณ จะเลือกขยายเวลาส่งเอกสารอะไรบางอย่าง ก็ไม่ได้แปลว่า หากศาลฯ จะไม่ดูในส่วนของนายทักษิณ จะถือว่าไม่เป็นธรรมต่อนายทักษิณ เพราะต้องไม่ลืมว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นทั้งหมด นายทักษิณ เป็นส่วนประกอบของขบวนการ ซึ่งจะต้องมองลึกลงไปว่าใครคือ คนที่ทำในกระบวนการทั้งหลาย ซึ่งอาจจะไม่ใช่เป็นตัวนายทักษิณ ที่ขับเคลื่อนก็ได้
“หรือคุณทักษิณ อาจเป็นคนสั่ง แต่คงไม่ใช่เป็นคนเขียนไปในเอกสารว่าเป็นคนสั่ง คุณทักษิณ อาจจะเป็นคนเจ็บไข้ ได้ป่วย แต่ใครจะเป็นคนพิสูจน์ว่าคุณทักษิณเป็นคนเจ็บไข้ได้ป่วย เช่นวันนี้ มีคนป่วย อาจจะเป็นคุณทักษิณ หรือใครก็ตาม ตกลง คนที่เป็นคนป่วย จะเป็นคนสรุป หรือ หมอเป็นคนสรุป .....
แต่เมื่อหมอสรุปแล้วมีใครก็ตาม ดำเนินการตามขั้นตอนของราชทัณฑ์ ยื่นทุกอย่างมาครบ หากศาลพิจารณาเห็นว่าตกลงป่วยตกลงดำเนินการได้ถูกต้องก็หลุดไป จบ”
รศ.ดร. เจษฎ์ บอกว่า หากเอกสารชี้แจงส่งมานั้นถ้าไม่ป่วย หรือป่วยไม่ถึงขั้นวิกฤต การดำเนินการต่าง ๆ ก็ต้องถือว่ามิชอบ ศาลฯสามารถพิจารณาได้ และไม่จำเป็นต้องฟังหรืออ่านอะไรจากนายทักษิณ ซึ่งคดีนี้ต่างกับการพิจารณาคดีอาญา หากไม่ได้ตัวจำเลยมาและพิจารณาลับหลังจำเลย จะถือว่าไม่เป็นธรรม ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาซึ่งทำไม่ได้
“เรื่องชั้น 14 เป็นการพิจารณาว่า ได้มีการบังคับโทษ ตามที่ได้มีการพิพากษาไปหรือไม่ ไม่ต้องฟังคุณทักษิณนะ แต่จะฟังก็ฟังได้ เพื่อประโยชน์ทางกระบวนการยุติธรรม เพราะเอกสารทุกอย่าง ที่ยื่นส่งเข้ามา เป็นหลักฐานสรุปได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องฟังคุณทักษิณ”
ดังนั้นหากศาลฯพิจารณาข้อมูลทั้งหมดและเห็นว่าไม่วิกฤต ศาลฯ อาจวินิจฉัยให้กลับไปนับหนึ่งใหม่ได้เช่นกัน โดยไม่ต้องรอวันที่ 23 มิ.ย.ซึ่งทั้งหมดอยู่ที่ดุลพินิจในการวินิจฉัยของศาลทั้งสิ้น
รศ.ดร. เจษฎ์ บอกว่าต้องย้อนไปดูว่าหลังจากที่ศาลฎีกาฯ ได้ตัดสินจำคุกนายทักษิณ เป็นเวลา 8 ปี และนายทักษิณได้ขอพระราชทานอภัยลดโทษ โดยได้รับพระราชทานลดโทษเหลือติดคุก 1 ปี และหากศาลฎีกาฯ ไต่สวนแล้วเห็นว่านายทักษิณยังไม่ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา และข้อมูลเรื่องอาการป่วยไม่เป็นความจริงเพื่อให้ย้ายไปอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจแทนการรับโทษจำคุกในเรือนจำ ก็เป็นไปได้ 2 ทาง คือ
แนวทางแรก ศาลฯ อาจจะมีคำสั่งให้นายทักษิณ ติดคุก 1ปี ตามที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ และเมื่อนายทักษิณ เลือกใช้กลไกยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษเป็นการเฉพาะราย ตามโบราณราชประเพณีว่าพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการอภัยโทษที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ที่เป็นระบบเดิม
“เมื่อนายทักษิณ เลือกระบบเดิมจำคุก ก็คือจำคุก จะนอนโรงพยาบาล หรือไปนอนที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หรือบ้านใด ๆ ไม่ได้ เพราะจำคุกก็คือจำคุก ที่เรียกว่าคุก”
แนวทางที่ 2 หากศาลฯ พิจารณาเห็นว่า นายทักษิณ มีการเล่นแร่แปรธาตุไปเรื่อย ทั้งนอนโรงพยาบาลและนอนบ้าน ป่วยทิพย์ แสดงให้เห็นว่าไม่เคารพในกระบวนการยุติธรรม ไม่สำนึกในความผิด มีการโกหก และทูลเท็จเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษศาลฯอาจจะสั่งให้ทักษิณต้องเข้ารับโทษจำคุก 8 ปีตามคำพิพากษาเดิม
“ต้องดูต่อไปว่าอาจจะมีแนวทางที่ 3 เป็นการนับต่อเนื่องเกิดขึ้นได้กลายเป็นเรื่องใหญ่คือ 10 ปี ก็มีคำถามเกิดขึ้นว่าจะต้องโทษจำคุกไปถึง 10ปีได้อย่างไร ก็ต้องย้อนไปดู เพราะเมื่อมีพระราชโองการโปรดเกล้าพระราชทานอภัยโทษลดโทษ แต่ทั้งหมดทูลเท็จ พระองค์ท่าน ก็อาจจะมีพระบรมราชโองการยกเลิกก็ได้ ก็แล้วแต่พระองค์ท่านจะวินิจฉัย ซึ่งเราไปก้าวล่วงไม่ได้”
รศ.ดร. เจษฎ์ ย้ำว่าหากศาลฎีกาฯ มีคำวินิจฉัยโทษต้องกลับไปจำคุกนั้น ในความเห็นส่วนตัวตามพระราชโองการ ซึ่งเป็นระบบเก่า จะติดกำไลEM และเรียกว่าจำคุกที่บ้านจันทร์ส่องหล้าหรือบ้านไหน ๆ ก็ไม่ได้ ต้องเข้าใจด้วยว่าคุกคือคุก แต่ถ้าใช้ระเบียบใหม่ของกรมราชทัณฑ์ ที่มีการประกาศใช้อาจจะไปอยู่บ้าน อยู่ที่ไหน ๆ ก็ได้ แต่เมื่อนายทักษิณเลือกถวายฎีกา ถือเป็นระบบแบบเก่า คุกก็ต้องคุกจริง ๆ
“ถ้าไปติดกำไลและอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้า ก็อาจจะมีคนไปส่งเสียงวุ่นวาย เพราะมวลชนคงไปเยี่ยมคุกจันทร์ส่องหล้า จะยอมให้สังคมจารึกไว้ว่าคุกจันทร์ส่องหล้าหรือ”
ขณะเดียวกันต้องติดตามคำวินิจฉัยของศาลฯ ว่ากรณีนายทักษิณ ผลจะออกมาเป็นคุณหรือโทษประการใด เพราะถ้าออกมาเป็นคุณเพราะป่วยจริงและกระบวนการต้องโทษถูกต้อง ก็อาจแปลว่าคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดย่อมชอบด้วยกฎหมายก็จะรอดได้เช่นกัน แต่ถ้าออกมาเป็นโทษคือป่วยทิพย์สร้างหลักฐานเท็จ คนที่เกี่ยวข้องย่อมกระทำผิดและมีโทษตามไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ก็คงมีคนไปฟ้องร้องกันเป็นคดีกันอีกยาว และประชาชนก็สามารถไปร้องกล่าวโทษผู้ที่เกี่ยวข้องได้เช่นกัน
กระนั้นสังคมต้องจับตาดูว่าวันที่ 13 มิ.ย.นี้จะมีกระแสอะไรออกมาจากศาลฯหรือไม่ อย่างไร โดยเฉพาะมีเสียงลือ เสียงเล่าอ้าง ในสายความมั่นคงว่าเรื่องราวต่าง ๆ ของนายทักษิณ ชินวัตร และประเด็นร้อน ๆ ของ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร น่าจะยุติได้ในช่วง 25 มิ.ย.นี้ ส่วนจะจริงหรือไม่ยังต้องติดตาม!
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j