xs
xsm
sm
md
lg

“อดีตพระพรหมเมธี”สู้คดี-“วัดสัมพันธวงศ์”ไม่เหมือนเดิม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พระจำนงค์ธัมมจารี หรืออดีตพระพรหมเมธี กลับมาจากเยอรมันสู้คดีเงินทอนวัด หลังเห็นวัดสามพระยาและวัดสระเกศพ้นผิดเตรียมการมาตั้งแต่ปี 2567 พระจำนงค์ทำหนังสือขอความเป็นธรรมตั้งแต่พฤษภาคม 67 รอบนี้ทุกอย่างสะดวกสำนักพุทธฯ เดินเรื่องช่วย แต่วัดสัมพันธวงศารามออกอาการไม่รับกลับทีมกฎหมายยึดแนวทางสู่ของสามพระยา-สระเกศ หวังอัยการสั่งไม่ฟ้อง

หลังจากหลบหนีคดีออกจากประเทศไทยไปพักที่เยอรมัน ในที่สุดพระจำนงค์ ธัมมจารี อายุ 84 ปี หรืออดีตพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม วรวิหาร ก็กลับมาเมืองไทยในช่วงเช้าวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เป็นเวลาราว 7 ปีที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีเงินทอนวัด คาดว่าน่าจะออกจากประเทศไทยไปตั้งแต่ 24 พฤษภาคม 2561

จากนั้นจึงถูกควบคุมตัวไปรับทราบข้อกล่าวหาที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พนักงานสอบสวน ได้แจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับให้อดีตพระพรหมเมธี รับทราบ 2 ข้อหาคือ ร่วมกันฟอกเงิน และสนับสนุนเจ้าพนักงานละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวในชั้นสอบสวน โดยวางเงินสดจำนวน 4 แสนบาท เป็นหลักทรัพย์ประกันตัว โดยพนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่าอดีตพระพรหมเมธี เป็นพระชั้นผู้ใหญ่ ไม่มีพฤติกรรมยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน จึงอนุมัติให้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว


เดินเครื่องมาเป็นระยะ

เรื่องการกลับมาของอดีตพระพรหมเมธีนั้นมีมาเป็นระยะ ๆ แต่เริ่มหลังจากคดีของวัดสามพระยาและวัดสระเกศเสร็จสิ้นลง มีหนังสือขอความเป็นธรรมตั้งแต่ช่วงสิงหาคม 2567 และมีคนดังเข้ามาร่วมให้ความช่วยเหลือ

นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ไลฟ์สดแจ้งว่า ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมให้กับอดีตพระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ถึง ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้ยกเลิกหมายจับอดีตพระพรหมเมธี เนื่องจากท่านมิได้กระทำความผิดตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในห้วงเวลานั้น

เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างได้คลี่คลายจนเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า พระภิกษุสงฆ์เหล่านั่นได้ถูกกลั่นแกล้ง จนพระเถระผู้ใหญ่ 2 รูป คือ พระพรหมดิลก และพระพรหมสิทธิ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ คืน สมณศักดิ์ ให้ดังเหมือนเดิมแล้ว จากเหตุผลดังกล่าว อดีตพระพรหมเมธี ซึ่งปัจจุบันลี้ภัยอยู่ประเทศเยอรมนี ได้ส่งหนังสือขอความเป็นธรรม

ข้อกล่าวหาของเจ้าพนักงานสอบสวนที่มีต่ออดีตพระพรหมเมธี เป็นการกล่าวหาเกี่ยวกับการฟอกเงิน เหมือนพระพรหมดิลกทุกประการ ลักษณะการเบิกจ่ายในการสร้างอาคารภายในวัดสัมพันธวงศ์ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีการโอนเข้าบัญชีวัดสัมพันธวงศ์ และการเบิกจ่ายให้กับผู้รับเหมาเหมือนเฉกเช่นเดียวกันกับวัดสามพระยา ที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องไปแล้ว

นอกจากนี้ยังพบจดหมายชี้แจงข้อกล่าวหาและขอความเป็นธรรม โดยพระจำนงค์ ธัมมจารี เขียนไว้เมื่อ 10 พฤษภาคม 2567 เขียนที่เยอรมัน

“พูดง่าย ๆ ท่านดู Case วัดสามพระยาและวัดสระเกศ ที่สู้คดีจนพ้นความผิด ท่านจึงตัดสินใจกลับมาสู้ เพราะเห็นช่องทางชนะ จากนี้ไปก็ต้องหาพยานหลักฐานมาสู้คดีกัน แต่กรณีของท่านอาจแตกต่างจากพระพรหมดิลกและพระพรหมสิทธิในเรื่องสถานะ เพราะทั้ง 2 เป็นเจ้าอาวาสมาก่อน ท่านจำนงเป็นเพียงผู้ช่วยเจ้าอาวาส ที่สำคัญคือ จะกลับไปจำวัดที่วัดสัมพันธวงศารามได้หรือไม่” แหล่งข่าวกล่าว


ชัดเจน 2 พฤษภาคม 68

ทั้งนี้บนสื่อสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่หนังสือของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ทำหนังสือสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เรื่องพระพรหมเมธี

ด้วยพระจำนงค์ ธัมมจารี อดีตพระพรหมเมธี มีลิขิตแจ้งกำหนดการกลับประเทศไทย ทั้งนี้เดินทางออกจากแฟรงก์เฟิร์ต สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน และจะเดินทางถึงประเทศไทยประมาณ 06.30 น. ของวันที่ 5 มิถุนายน 2568

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงขอความเมตตานุเคราะห์พระคุณเจ้า ในฐานะเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช นำความกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช ทราบฝ่าพระบาท การจะควรมิควรประการใด สุดแต่จะโปรด และในฐานะเลขาธิการคณะธรรมยุต ขอความเมตตานุเคราะห์พระคุณเจ้าโปรดแจ้งเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ทราบ

ในหนังสือดังกล่าวมีข้อความ “เรียนเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์เพื่อทราบและจัดที่พักถวายท่านจำนงค์ ธัมมจารี ถวายความสะดวกสัปปายะตามสมควร” คาดว่าเป็นลายมือของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2568


แถลงการณ์ไม่ได้ออกจากวัด

จากนั้นมีการเผยแพร่แถลงการณ์วัดสัมพันธวงศาราม วรวิหาร ใจความสรุปดังนี้ การดำเนินกิจกรรมใด ๆ ของทางวัด จึงต้องเป็นไปด้วยความละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะในการให้ที่พักพิงแก่บุคคลใด บุคคลหนึ่ง หรือพระภิกษุ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินคดีหรือมีหมายจับในคดีอาญาทั้งในหรือต่างประเทศ อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระธรรมวินัย รวมถึงขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการควบคุมคนเข้าเมือง และกฎหายอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของคณะสงฆ์ไทยและวัดในประเทศไทยโดยรวม โดยมีหลักกฎหมายที่ต้องพิจารณาดังนี้

1.พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 29 วรรคหนึ่ง ระบุว่า “ห้ามพระภิกษุซึ่งต้องคดีอาญาอันมีโทษจำคุก เข้ามาดำรงตำแหน่งหรือพำนักในวัด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าคณะผู้ปกครองตามลำดับชั้น”

2.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษเพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

3.พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 12(7) “บุคคลที่มีหมายจับในต่างประเทศหรือเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา ไม่อาจได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศ” และผู้ใดช่วยให้บุคคลดังกล่าวพำนักหรือหลบซ่อนในราชอาณาจักร อาจมีความผิดตามกฎหมาย และมาตรา 54 ระบุว่า คนต่างด้าวผู้ใดเข้ามาหรืออยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการอนุญาตสิ้นสุดหรือถูกเพิกถอนแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่จะส่งตัวคนต่างด้าวผู้นั้นกลับออกไปนอกราชอาณาจักรก็ได้

4. หลักพระธรรมวินัยทางคณะสงฆ์ พระภิกษุที่มีพฤติกรรมอันนำไปสู่การด่างพร้อยของพระพุทธศาสนา แม้ยังไม่ถึงที่สุดแห่งคดี ก็อาจต้องเว้นจากกิจทางสงฆ์ โดยเฉพาะการพำนักในวัดของคณะสงฆ์ไทย เพื่อความสงบเรียบร้อยจากหมู่สงฆ์และสังคมโดยรวม

วัดสัมพันธวงศาราม วรวิหาร เล็งเห็นว่านอกจากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแล้ว การที่ปรากฎตามความดังกล่าวข้างต้น หากทางวัดยินยอมให้ผู้กระทำความผิดเข้ามาพำนักในวัดย่อมก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย และอาจส่งผลให้เกิดความแตกแยกภายในหมู่สงฆ์ได้

ด้วยความเคารพต่อบทบัญญัติของกฎหมาย และเพื่อความสมานสามัคคีภายในหมู่คณะสงฆ์ วัดสัมพันธวงศาราม วรวิหาร จึงออกแถลงการณ์นี้ เพื่อยืนยันว่าทางวัดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด และเห็นควรไม่สามารถอนุญาตให้บุคคลใด หรือพระภิกษุดังกล่าวพำนักในวัดได้ และขอความร่วมมือจากท่านในการหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจขัดต่อหลักกฎหมายบ้นเมือง พระธรรมวินัย และมติของมหาเถรสมาคม

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และขอความร่วมมือในการดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด

จากนั้น 22 พฤษภาคม 2568 เพจของวัดสัมพันธวงศาราม วรวิหาร ได้ออกมาปฏิเสธแถลงการณ์ฉบับดังกล่าว กรณีมีการแชร์เอกสารแถลงการณ์ฉบับหนึ่งในโซเชียล ทางวัดสัมพันธวงศ์ขอชี้แจงว่า เอกสารดังกล่าวไม่ได้ออกจากวัดสัมพันธวงศ์ ขอทุกท่านโปรดทราบตามนี้ และขอความกรุณาท่านที่แชร์ไปแล้วโปรดลบออก และช่วยชี้แจ้งให้ทราบข้อเท็จจริงนี้ด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน และหากมีแถลงการณ์ใดที่ออกจากทางวัดโดยตรง จะแจ้งเป็นสาธารณะผ่านเพจของวัดเท่านั้น


พระจำนงค์ทำเอกสารเข้าไทย

28 พฤษภาคม 2568 เพจ The buddh มีการเผยแพร่ภาพอดีตพระพรหมเมธี วัดสัมพันธวงศ์ เดินทางไปทำไปทำเอกสารเดินทางฉุกเฉิน ที่สถานกงสุลไทยในแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี โดยมี พระเทพวัชรญาณกวี ผช.เจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก กรุงเทพมหานคร พระมหาวิวัต ฌาเนสโก ป.ธ.9,ดร. เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไรน์แลนด์ เลขานุการองค์กรพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรป นายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สถานกงสุลไทยในแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนีดูแล

จนมาถึงการเดินทางกลับมายังประเทศไทยเมื่อ 5 มิถุนายน 2568 และเข้าสู่ขั้นตอนทางกฎหมาย

เคลียร์ทางกลับเรียบร้อย

แหล่งข่าวจากวงการพระสงฆ์กล่าวว่า ทุกอย่างคุยกันหมดแล้ว ไม่งั้นคงเข้ามาในประเทศไทยได้สะดวกอย่างนี้ เห็นได้จากมีผู้ใหญ่ในฝ่ายรัฐบาลบางท่านเข้าช่วยเหลือพระจำนงค์ พระผู้ใหญ่บางรูปก็ให้ความช่วยเหลือทั้งที่ไทยและเยอรมัน ที่สำคัญคงเป็นสำนักพุทธฯ ที่เดินเรื่องพร้อมอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับ รวมประสานหาสังกัดให้พระจำนงค์ได้พำนัก

ทีมกฎหมายของพระจำนงค์ ได้ศึกษาแนวทางสู้คดีจากทั้งวัดสามพระยาและวัดสระเกศ เพราะเป็นข้อกล่าวหาเดียวกัน ยิ่งเมื่อเห็นผลสุดท้ายของคดีแล้วจึงเกิดความมั่นใจว่าสู้ได้ ตอนนี้เขามองไปถึงขั้นว่าอัยการสั่งไม่ฟ้อง

เรื่องของคดีไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะมีคดีตัวอย่างอยู่แล้ว อีกอย่างท่านก็อายุมากถึง 84 ปีแล้ว มีโรคประจำตัวที่ต้องได้รับการรักษา ปัญหาคือ ท่านจะสังกัดวัดไหน เพราะดูจากอาการของวัดเดิมอย่างวัดสัมพันธวงศารามแล้ว เหมือนไม่อยากต้อนรับกลับ เห็นได้จากเรื่องแถลงการณ์ที่ยกข้อกฎหมายต่าง ๆ สำหรับบุคคลหรือพระที่มีคดีความที่จะมาพักในวัด สุดท้ายได้ออกมาชี้แจงว่าเอกสารดังกล่าวไม่ได้ออกมาจากทางวัด นั่นคือสัญญาณที่ส่งมาจากทางวัดสังกัดเดิม

วันที่ยังมีอำนาจอยู่คงไม่มีใครกล้า แต่นาทีนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ท่านต้องเริ่มต้นสู้เรื่องคดีความ อำนาจในมือเปลี่ยนไป นี่คือสัจธรรมไม่ว่าจะเป็นโลกของพระหรือโลกของคน

“เท่าที่ทราบตอนนี้ท่านมีวัดต้นสังกัดรองรับไว้อยู่แล้ว จากความสัมพันธ์ระหว่างพระผู้ใหญ่ด้วยกัน ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าเมื่อเสร็จสิ้นเรื่องคดีความแล้ว พระจำนงค์อาจย้ายไปอยู่วัดแห่งใหม่”

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


กำลังโหลดความคิดเห็น