ชี้ กระแสไล่รัฐบาลรุนแรงถึงขั้นเรียกร้องให้กองทัพ “ยึดอำนาจ” เหตุ ประชาชนไม่พอใจ มาตรการตอบโต้กัมพูชาที่รุกล้ำดินแดนไทยของรัฐบาล“แพทองธาร” ซึ่งอ่อนด้อยและขัดขวางการทำงานของทหารตลอดเวลา หวั่นเห็นความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชิวัตรกับฮุน เซน สำคัญกว่าประเทศชาติ ด้าน “ดร.สุริยะใส” และ“รศ.ดร.เจษฎ์” เห็นพ้อง หลายปัจจัยสุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่การเสียดินแดน ทำให้ประชาชนมองว่า“ว่าต้องไล่รัฐบาลก่อนไล่ทหารเขมร” เผย คะแนนนิยม“พรรคเพื่อไทย” ตกต่ำเป็นประวัติการณ์
ปฏิเสธไม่ได้ว่าขณะนี้กระแสความไม่พอใจของประชาชนคนไทยที่มีต่อรัฐบาลที่นำโดยพรรค“เพื่อไทย” ซึ่งอ่อนด้อยในแก้ไขปัญหาการรุกล้ำเขตแดนไทยของกัมพูชา ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเรียกร้องให้มีการปฏิวัติรัฐประหาร ยึดนำอาจรัฐบาลก่อนที่ไทยจะเพลี้ยงพล้ำเสียดินแดน ซ้ำรอยสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ไทยเสียพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร
อะไรที่ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นถึงขั้นไล่รัฐบาล ?
ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ชี้ว่า ประเด็นที่ทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นรัฐบาลเรื่องการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชานั้น มีอยู่ 2 ประเด็นหลักๆ คือ
1.ความไม่ลงตัวระหว่างการเมืองซึ่งเป็นฝ่ายนโยบายกับกองทัพซึ่งเป็นฝ่ายปฏิบัติ แนวทางในการปฏิบัติไม่ไปด้วยกัน อาทิ แม่ทัพภาค 2 แจ้งว่าฝ่ายกัมพูชารุกล้ำแนวกันชนเข้ามาในฝั่งไทยแล้วแต่ รมว.กลาโหมกลับให้รอดูก่อน ต้องตรวจสอบก่อน เหมือนกับคำพูดของแม่ทัพภาค 2 ไม่มีน้ำหนัก หรืออีกกรณีหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากก็คือการที่ฝ่ายความมั่นคงประกาศปิดด่านไทยขกัมพูชา แต่ รมว.กลาโหม กลับปฏิเสธว่าไม่มีการปิดด่าน ทั้งที่การปิดด่านชายแดนของไทยถือเป็นมาตรการตอบโต้ แต่ฝ่ายการเมืองกลับบอกว่ายังไม่มีการปิดด่านก็สะท้อนว่าไทยแทบไม่มีอำนาจต่อรอง แสดงว่าตัดสินใจของแม่ทัพถูกบล็อกโดยฝ่ายการเมืองตลอดเวลา
2.ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างตระกูลของผู้นำของไทยและกัมพูชา overreact เกินไป จนถูกมองว่าอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ส่วนตัวมาตลอด ตามมาด้วยปัญหาพื้นที่ทับซ้อน พลังงานในอ่าวไทย ทำให้ประชาชนมองได้ว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ
“ สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ขณะนี้สุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่การเสียดินแดน แม้ว่ากัมพูชาจะไม่สามารถนำเรื่องการอ้างสิทธิในพื้นที่ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกเพียงฝ่ายเดียวได้ก็ตาม แต่ก็น่าเป็นห่วงท่าทีและการแสดงออกในการปกป้องอธิปไตยของรัฐบาลไทย เพราะมีแต่กัมพูชาที่ป่าวประกาศว่าไทยรุกล้ำดินแดนเขาทั้งที่กัมพูชาเป็นฝ่ายรุกล้ำดินแดนไทย อ้างว่าผู้นำกัมพูชาเคยมาถ่ายรูปในพื้นที่นี้ ทำให้ประชาคมโลกรับรู้ข้อมูลในลักษณะนี้มาโดยตลอด ขณะที่รัฐบาลไทยกลับไม่มีการประกาศว่านี่คือพื้นที่ของไทย และมีการสื่อสารแบบตั้งรับ ซึ่งตรงนี้อาจทำให้ประชาคมโลกโน้มเอียงไปทางฝ่ายกัมพูชาเพราะผู้นำของเขาทั้งนายกฯและอดีตนายกฯกัมพูชาประกาศชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา เขาไม่ยอม เขาจะฟ้องศาลโลก แต่ไทยกลับนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ ” ดร.สุริยะใส กล่าว
สอดคล้องกับ “รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก” ประธานหลักสูตรคณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย ที่ระบุว่า การดำเนินการของรัฐบาลต่อการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำดินแดนไทยของฝ่ายกัมพูชา สุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่การเสียดินแดน ใน 3 ประเด็นด้วยกัน คือ
1.รัฐบาลไม่ได้แสดงท่าทีเพื่อยืนยันพื้นที่อธิปไตยของไทย ที่ผ่านมารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยทำประเทศไทยเสียเปรียบกัมพูชาเรื่อปัญหาเขตแดนมาตลอด เช่น ตอนที่ทหารกัมพูชาเข้ามาเคลื่อนไหวและร้องเพลงชาติกัมพูชาเพื่อแสดงสัญลักษณ์ที่ปราสาทตาเมือนธม รัฐบาลไทยก็ไม่ได้แสดงท่าทีท้วงติงถึงความไม่เหมาะสมหรือแจ้งอย่างเป็นทางการไปยังรัฐบาลกัมพูชาว่าการกระทำเช่นนี้ขัดต่อสันติภาพระหว่างประเทศและขัดต่อการเป็นสมาชิกในสมาคมอาเซียน และสมาชิกในองค์การสหประชาชาติ การลุกล้ำอธิปไตยโดยข้ามแดนเข้ามาในเขตแดนไทยหรือการกล่าวอ้างของผู้นำกัมพูชาที่บอกว่าช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย เป็นของกัมพูชา รัฐบาลไทยต้องเรียกทูตกัมพูชามาชี้แจงว่าการกำหนดเขตแดนไทย-กัมพูชาเป็นอย่างไร อยู่ ณ จุดไหน ซึ่งสิ่งเหล่านี้รัฐบาลไทยไม่ได้ทำเลย
2. รัฐบาลไม่ฟังความเห็นของกองทัพ แม้จะมีคณะกรรมการร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาหลายชุดที่สามารถพุดคุยเรื่องปัญหาเขตแดนได้ แต่บางเรื่องการเจรจาในคณะกรรมการอาจจะโน้มเอียงไปในเรื่องของการทูต แต่ลักษณะที่มีการรุกคืบซึ่งส่งผลต่ออธิปไตยของประเทศและสุ่มเสี่ยงที่จะเสียดินแดน รัฐบาลก็อาจจะต้องฟังความเห็นจากฝ่ายทหารว่านัยสำคัญทางการทหารเป็นอย่างไร ต้องลงพื้นที่อย่างฉับไว นอกจากนั้นการประสานความร่วมมือควรเป็นเรื่องระหว่างผู้นำประเทศ คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย กับนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เท่านั้น บิดาของผู้นำประเทศอย่าง นายทักษิณ ชินวัตร และนายฮุน เซน ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง ทางฮุน เซน อาจจะอ้างได้ว่าเขาเป็นประธานวุฒิสภากัมพูชา แต่ทักษิณไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมืองใดๆก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว และเข้าไปก้าวก่ายอำนาจของฝ่ายทหาร
3. การตอบโต้ทางการทหารของไทยไม่เข้มข้นเท่าที่ควร โดยหลักการแล้วเกิดสถานการณ์การสู้รบ มีการยิงกัน มีการรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย ฝ่ายไทยก็ต้องผลักดันออกไป หรืออาจถึงขั้นต้องโจมตีก่อนถ้าจำเป็นเพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง หากปล่อยให้เขมรโจมตีก่อนหรือยั่วยุโดยแสดงสัญลักษณ์ว่าเป็นดินแดนของเขาโดยที่ฝ่ายไทยไม่ทำอะไรเลยก็เท่ากับฝ่ายไทยอ่อนด้อยในการรักษาอธิปไตย
“ หากมีการเจรจาร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาก็ต้องระวังไม่ให้ไทยเสียเปรียบ เช่น กัมพูชาต้องการเป็นคนกำหนดแนวเขตแดน หรือพยายามดึงไทยเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก หรือแม้แต่การที่นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา หรือสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกมาอ้างว่าพื้นที่ตรงนั้นตรงนี้เป็นของกัมพูชาแต่ถูกไทยรุกราน เพื่อให้ประชาคมโลกมองว่าไทยเป็นตัวร้าย ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยไม่อาจเพิกเฉย เพราะจะทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจาเรื่องเขตแดน ดังนั้นทั้งยุทธศาสตร์ทางการทูตและยุทธศาสตร์ทางการทหารจะต้องดำเนินการควบคู่กับอย่างเหมาะสม ” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว
ทั้งนี้ ดร.สุริยะใส มองว่า สถานการณ์ขณะนี้อยู่ในช่วงที่พี่น้องประชาชนกำลังประเมินการทำงานของรัฐบาลว่าพยายามที่จะปกป้องอธิปไตยของไทยมากกว่าผลประโยชน์และความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือเปล่า ซึ่งสัญญาณนี้จะเป็นบทพิสูจน์ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติหรือไม่ จากนี้ไปทุกย่างก้าวของรัฐบาลจะถูกประเมินจากสังคมว่ามีความจริงจังที่จะปกป้องอธิปไตยของไทยหรือไม่ การที่นายกฯแพทองธารปะทะคารมกับสื่อ แสดงให้เห็นว่านายกฯไม่ได้ซีเรียสในประเด็นคำถามของนักข่าวทั้งที่เป็นเรื่องของความมั่นคง แต่กลับไปซีเรียสในท่าทีของนักกข่าว ซึ่งสะท้อนว่านักข่าวซีเรียสต่อปัญหาความมั่นคงของชาติมากกว่านายกฯเสียอีก และสะท้อนถึงวุฒิภาวะของผู้นำประเทศ อีกทั้งขณะที่กระทรวงมหาดไทยสั่งให้หลายจังหวัดในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาเตรียมพร้อมอพยพ แต่นายกฯแพทองธารกลับบอกว่าเหตุการณ์ยังสงบ ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งแสดงว่านายกฯไม่มีข้อมูล ไม่ทำการบ้าน ไม่สนใจปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง
ฉะนั้นความเสี่ยงที่จะทำให้พี่น้องประชาชนทนไม่ไหวที่จะปล่อยให้รัฐบาลที่ขาดเจตนาในการปกป้องอธิปไตยของไทยอย่างตรงไปตรงมา ก็อาจเป็นเหตุให้ประชาชนที่รับไม่ได้ถึงขั้นลุกขึ้นมาเดินขบวนไล่รัฐบาลก็เป็นได้ เพราะเรื่องอธิปไตยของชาติเป็นประเด็นใหญ่ สามารถที่จะปลุกความรักชาติและจากทุกภาคส่วนได้ง่ายกว่าทุกเรื่อง ส่วนกรณีที่ขณะนี้มีกระแสเรียกร้องให้ทหารยึดอำนาจหรือเปลี่ยนรัฐบาล เนื่องจากประชาชนไม่พอใจที่รัฐบาลไม่แสดงท่าทีปกป้องดินแดนไทยจากการรุกรานของกัมพูชานั้น ถึงที่สุดก็อาจจะไปถึงขั้นนั้นได้ เมื่อท่าทีของฝ่ายการเมืองไม่ได้สะท้อนเจตนารมณ์ในการปกป้องอธิปไตย ประชาชนย่อมไม่เห็นคว่ามสำคัญของการมี รมว.กลาโหมคนปัจจุบัน และไม่เห็นความสำคัญของการมีรัฐบาลชุดนี้
“ สังเกตได้ว่าตอนนี้พี่น้องประชาชนทุกขั้วทุกสีต่างเห็นตรงกันว่ารัฐบาลอ่อนแอและตั้งรับมากเกินไป หลายฝ่ายจึงตำหนิรัฐบบาลอย่างรุนแรง ข่าวเต็มโซเชียลไปหมด แม้แต่คนเสื้อแดงก็ยังตำหนิรัฐบาล ถึงขั้นที่ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยบางคนบอกว่าจะไม่สนับสนุนพรรคนี้แล้ว บรรดานายแบกนางแบกยังเงียบไม่ออกมาเชียร์รัฐบาลเพื่อไทยเหมือนเดิม ขณะนี้เริ่มมีประชาชนที่ทนไม่ไหว ตรงนี้อาจเป็นฟางเส้นสุดท้าย เป็นเรื่องที่จะทำให้รัฐบาลไปเร็วกว่าที่คิด ขณะเดียวกันก็ยังมีกรณีชั้น 14 ความไม่ลงรอยกันของพรรคร่วมรัฐบาล บ่อนกาสิโน ซึ่งจะกลายเป็นการสุมไฟหลายๆกองแล้วลุกลามมารวมกัน เพราะเรื่องการเสียดินแดนเป็นเรื่องที่อ่อนไหว ซึ่งคนที่เรียกร้องให้รัฐประหารเป็นคนที่ไม่เคย reaction ทางการเมืองด้วยซ้ำ ” ดร.สุริยะใส ระบุ
ขณะที่ รศ.ดร.เจษฎ์ ชี้ว่า ขณะนี้ประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นและไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่าจะสามารถปกป้องอธิปไตยของไทย โดยเฉพาะ นายกฯแพทองธาร และนายภูมิธรรม เวชยชัย รมว.กลาโหม แม้แต่ประชาชนที่เลือกพรรคเพื่อไทยก็ไม่มีความเชื่อมั่น แม้บางคนยังแสดงออกว่ายังสนับสนุนพรรคเพื่อไทยแต่เนื้อแท้แล้วเขาไม่มีความเชื่อมั่น ส่วนคนที่เป็นผู้สนับสนุนที่ไม่ได้เหนียวแน่นก็ออกมาเรียกร้องให้เปลี่ยนรัฐบาล การที่ รมว.กลาโหมสั่งให้ทหารถอยอยู่ตลอดเวลามันเป็นการแสดงความอ่อนด้อยของ รมว.กลาโหมและรองนายกฯที่ดูแลความมั่นคง หน้าที่ของท่านคือทำให้ราชอาณาจักรไทยเป็นปึกแผ่นมั่นคง รักษาอธิปไตยและดินแดนของไทยทั้งทางบก ทางอากาศและทางทะเล ขณะที่นายกฯแพทองธารก็ต้องแสดงท่าทีให้ชัดเจนว่าจะไม่นำเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างครอบครับของผู้นำไทยและกัมพูชามาเกี่ยวข้องกับการเจรจาข้อพิพาทเรื่องดินแดน เพื่อให้คนไทยมั่นใจว่านายกฯมีความจริงใจต่อประเทศไทย ไม่ใช่จริงใจต่อกัมพูชา
“ กรณีที่เกิดกระแสไล่รัฐบาลเพื่อไทยเนื่องจากความไม่พอใจในการแก้ไจปัญหาการรุกล้ำดินแดนไทยของกัมพูชาจึงเป็นเรื่องธรรมดา เพราะถ้ามีปัญหาเศรษฐกิจหรือสังคม อย่างน้อยคนไทยยังมองว่าสามารถให้โอกาสรัฐบาลในการแก้ปัญหา แต่ถ้าเป็นเรื่องของดินแดนแล้วคนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอม เพราะเมื่อใดที่ประเทศอื่นรุกคืบเข้ามาและนำไปสู่การขีดเส้นแบ่งเขตแดนใหม่มันมีผลต่อทรัพยากรจำนวนมหาศาลของไทย ดังนั้นถ้ารัฐบาลจะทำให้เสียดินแดน ประชาชนจะมองว่ารัฐบาลไปเถอะ บางคนถึงขั้นเรียกร้องให้มีการปฏิวัติรัฐประหารก่อนจะที่ไทยจะเสียดินแดน เพราะถ้าเสียดินแดนไปแล้วมันเอาคืนกลับมาไม่ได้ ประชาชนจึงรู้สึกว่าต้องไล่รัฐบาลก่อนไล่ทหารเขมร ” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว
ดร.สุริยะใส ยังวิเคราะห์ต่อว่า ความเสื่อมศรัทธาที่มีต่อรัฐบาลเพื่อไทยในการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำดินแดนไทยของกัมพูชากำลังส่งผลให้คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยลดลงอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีผลต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเห็นได้ชัดเจนว่ากองเชียร์เพื่อไทยที่เคยออกหน้าออกตานั้นตอนนี้เงียบมาก และบางคนถึงขั้นกลับมาด่ารัฐบาลด้วยซ้ำ
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j