xs
xsm
sm
md
lg

ชี้ หาก“รมว.กลาโหม”ไม่สนใจความมั่นคง “กองทัพ”ก็ไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่ง !

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อ.ปานเทพ” ชี้ 3 ปัจจัย ทำ“เขมร”เหิมรุกล้ำดินแดนไทย เหตุ นโยบายความมั่นคงอ่อนแอ รัฐบาลไทยไม่ยึดเส้นแบ่งดินแดนตามแนวธรรมชาติ เช่น ชะง่อนผา สันปันน้ำ ร่องน้ำลึก กัมพูชาจึงเห็นโอกาสที่จะได้ดินแดนไทย โดยใช้วิธีบุกรุกเพื่อนำไปสู่การเจรจา และเชื่อว่าฝ่ายไทยไม่กล้าตอบโต้ เพราะผู้นำเขมรเคยมีบุญคุณกับอดีตผู้นำไทยเมื่อครั้งที่ช่วยพาหนี แนะ “กองทัพ” มุ่งรักษาอธิปไตย หากคำสั่ง รมว.กลาโหม ไม่ถูกต้อง ทหารก็สามารถต่อต้านได้

นับเป็นประเด็นที่สร้างความไม่พอใจให้แก่คนไทยทั้งประเทศ จากกรณีที่ทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาสร้างสนามเพลาะเพื่อสร้างจุดที่ตั้งบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี กระทั่งเกิดการปะทะกับทหารไทย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไม่นานทหารและชาวเขมรได้รุกล้ำเข้ามาร้องเพลงชาติกัมพูชาและทำกิจกรรมบนปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ จนฝ่ายไทยต้องส่ง“นักรบชุดดำ”เข้าไปกดดัน ไม่นับกรณีที่ชาวกัมพูชาออกมาเคลื่อนไหวประท้วงอ้างสิทธิว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชา

กระทั่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดกัมพูชาจึงเหิมเกริมกล้ารุกรานประเทศไทยหลายต่อหลายครั้งในยุคที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ“แพทองธาร ชินวัตร” ขึ้นบริหารประเทศ ?

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ซึ่งติดตามปัญหาเรื่องข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชามาตลอด วิเคราะห์ว่า เหตุที่กัมพูชากล้ารุกล้ำและพยายามอ้างสิทธิเหนือดินแดนไทยนั้น มาจากสาเหตุ 3 ประการ คือ

สาเหตุแรก เป็นเพราะนโยบายรัฐบาลซึ่งไม่มีความชัดเจนว่าจะยึดมั่นแนวทางที่ปกป้องอธิปไตยของไทย คือรัฐบาลต้องถามตัวเองว่านโยบายของรัฐบาลไทยในประเด็นดังกล่าวนั้นมีความชัดเจนหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการตรึงกำลัง การเฝ้าระวัง การปกป้องชายแดน เพราะโดยหลักการแล้วถึงแม้ว่าเราจะมีคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย –กัมพูชา (General Border Committee: GBC) ซึ่งทำหน้าที่เจรจาปักปันเขตแดน ตาม MOU 2543 แต่ทหารที่ตรึงกำลังจะต้องไม่ถอยร่นออกมาจากแนวเขตเดิม ไม่ว่าจะในเหตุการณ์ปกติหรือขณะที่เกิดกรณีพิพาท ซึ่งหากดูจากคำสั่งของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในช่วงที่ผ่านมาแล้วจะพบว่าไม่ได้เป็นไปตามหลักการนี้

สาแหตุที่ 2 เกิดจากรัฐบาลไม่มีความชัดเจนว่าประเทศไทยจะยึด“เส้นแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติ” จากเดิมที่ไทยยึดสนธิสัญญาในการแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาโดยใช้สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี 1904 และเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจนกลายเป็นสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี 1907 ซึ่งมีบริบทสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดข้อพิพาท ว่าไทยและกัมพูชาจะยึดแผนที่ตามที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นหรือจะยึดสนธิสัญญาที่กำหนดว่าการแบ่งแขตแดนระหว่างประเทศจะยึดแนวสันปันน้ำซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติ ซึ่งถ้าเรายึดเส้นแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติก็จะง่าย เราเห็นหน้าผาตามธรรมชาติเราก็รู้ว่านี่คือเขตแดนไทยหรือกัมพูชา แต่ถ้ายึดตามแผนที่ของฝรั่งเศสก็จะเกิดความสับสน โดยจากแนวเขตแดนตามธรรมชาติซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ของประเทศใดก็จะกลายเป็นแนวเขตแดนที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน พื้นที่ของใครกันแน่ บางส่วนก็ล้ำเกินเข้ามาในหน้าผาของไทย ทำให้ MOU 2543 ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เกิดขึ้นใหม่ กลายเป็นความคาดหวังของกัมพูชาว่าประเทศไทยอาจไม่ยึดแนวเขตแดนตามธรรมชาติแล้ว เช่นเดียวกับกรณีที่กัมพูชาประสบความสำเร็จในการเรียกร้องให้ประสาทพระวิหารซึ่งตั้งอยู่บนชะง่อนผาของฝั่งไทยตกเป็นของกัมพูชา โดยที่ไทยเคยเพลี้ยงพล้ำไปยอมรับการขึ้นเวทีศาลโลกซึ่งเป็นเครื่องมือของการเมืองระหว่างประเทศ


อาจารย์ปานเทพ ระบุว่า ตามหลักคือสิ่งใดที่ขึ้นทะเบียนว่าเป็นโบราณสถาน เป็นศิลปวัฒนธรรมของประเทศไทย มีการบันทึกตามกฎหมาย และไม่มีการปฏิเสธจากชาติอื่น เราจะต้องปกป้องพื้นที่นั้นว่าเป็นของไทย อีกทั้งประเทศไทยไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลโลกนับตั้งแต่ที่ไทยเสียตัวปราสาทพระวิหารเมื่อปี พ.ศ.2505 ในเมื่อปัจจุบันเราไม่ได้เป็นสมาชิกภาคีศาลโลกแล้ว สิ่งที่เราต้องทำคือประเทศไทยต้องยึดเส้นแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติเช่นที่เคยปฏิบัติมา ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าเราไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน และกลายเป็นว่าเขตแดนจะขึ้นอยู่กับผลการเจรจา

ต้องเข้าใจว่าแม้ช่วงหนึ่งไทยจะยอมรับสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส แต่แผนที่ของฝรั่งเศสบางจุดกลับไม่เป็นไปตามสนธิสัญญา ซึ่งในสนธิสัญญาระบุชัดเจนว่าเราต้องแบ่งเขตแดนไทย-กัมพูชา โดยยึด“แนวสันปันน้ำ” แต่ในขั้นตอนการเขียนแผนที่บางครั้งอาจเกิดความคลาดเคลื่อนเพราะยุคนั้นยังไม่มีดาวเทียม ยังไม่มีจีพีเอส พิกัดอาจขาดความแม่นยำ แผนที่บางจุดจึงผิดธรรมชาติ บ้างก็ล้ำเข้ามาเกินแนวสันปันน้ำฝั่งไทย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ควรได้รับการยอมรับ แม้เราจะใช้กลไกในการเจรจาแบบสันติวิธี แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีความมั่นคงทางการทหารเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และเมื่อเราไม่ได้เป็นสมาชิกศาลโลกแล้วเราก็ควรกลับไปยึด“เส้นแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติ”เหมือนเดิม

“ แต่ละรัฐบาลก็มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลกัมพูชาแตกต่างกัน ที่น่าสังเกตคือรัฐบาลกัมพูชาไม่ค่อยเป็นมิตรกับไทยในบางรัฐบาล การเผชิญหน้าก็สุ่มเสี่ยงต่อการปะทะกัน คนก็คิดว่ารัฐบาลเพื่อไทยซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลคุณทักษิณ รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ หรือรัฐบาลคุณแพทองธาร กัมพูชาก็คงไม่มารุกรานไทยและไม่มีการปะทะ แต่กลับตรงกันข้าม ประเด็นสำคัญคือรัฐบาลไปสร้างความคาดหวังให้กัมพูชา ทำให้กัมพูชาคิดว่าเขามีสิทธิในพื้นที่เกินขอบเขตตามแนวธรรมชาติ ทำให้ความคาดหวังดังกล่าวพัฒนากลายเป็นการุกคืบ มีการเข้ามาร้องเพลงชาติกัมพูชาบนปราสาทตาเมือนธมซึ่งเป็นผืนแผ่นดินไทย ไปจนถึงการปะทะกันที่ช่องบก ทั้งที่ปราสาทตาเมือนธมตั้งอยู่บนหน้าผาฝั่งไทยแต่กลับเกิดข้อพิพาทเพราะกัมพูชาจะใช้เส้นแบ่งเขตแดนตามแผนที่ฝรั่งเศส หรือกรณีพื้นที่ทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมเป็นเส้นมัธยะ แบ่งทะเลไทยกับกัมพูชา แต่ไทยไปทำ MOU 2544 ในสมัยนายกฯทักษิณ จากเดิมที่เป็นเส้นมัธยะแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง ชัดเจนว่าพื้นที่ทางทะเลของไทยกับกัมพูชาอยู่ตรงไหน กลายเป็นว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ชัดเจนว่าเป็นของใคร ปล่อยให้มีการลากเส้นคร่อมเกาะกูด ลากเข้ามาในอ่าวไทย ” นายปานเทพ กล่าว


นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
อาจารย์ปานเทพ ชี้ว่า ประเทศไทยไทยมีกองกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหารไม่แพ้กัมพูชา เพียงแค่เรารักษาพื้นที่ดินแดนของเราให้ดี ไม่ว่าจะเจรจากันกี่ครั้ง เจรจากันกี่ร้อยปี ตราบใดที่ไทยยังรักษาพื้นที่ของเรามันก็ไม่มีปัญหา แต่ที่มีปัญหาเพราะมีความคาดหวังจากทางกัมพูชา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยต้องระวัง ที่จริงแล้วไม่ควรให้พื้นที่เขตแดนซึ่งถูกแบ่งตามแนวธรรมชาติอยู่แล้ว เช่น ชะง่อนผา สันปันน้ำ ร่องน้ำลึก มีการเจรจาเรื่องเขตแดนกันอีก เพราะทันที่เริ่มมีการเจรจาปักปันเขตแดนซึ่งแบ่งด้วยแนวเขตธรรมชาติอยู่แล้ว แต่กลับเอาหลักหินไปปักตรงนั้นตรงนี้ ก็แปลว่าเราไม่ได้ยึดแนวเขตแดนเดิมซึ่งแบ่งโดยธรรมชาติ สมมุติเรามีหน้าผาเป็นแนวเขต จากเนินเขาจรดหน้าผาคือฝั่งไทย ถัดหน้าผาออกไปคือฝั่งกัมพูชา ก็ไม่มีความจำเป็นที่เราจะเอาหลักศิลาไปปักตรงชะง่อนหน้าผาอีกเพราะมันคือฝั่งไทยอยู่แล้ว แต่ถ้าเราเอาหลักศิลาไปปักตรงชะง่อนหน้าผาก็อาจถูกเข้าใจว่าเราได้สละพื้นที่ตรงชะง่อนหน้าผาออกไป

“ ความไม่ชัดเจนของรัฐบาลอาจเป็นไปได้ 2 สาเหตุ คือ 1.รู้ไม่ทันกัมพูชา เพราะในการเจรจาต่างๆ หรือศัพท์ที่กัมพูชาใช้มันมีวาระซ่อนเร้นมาตลอด หรือ 2.สมรู้ร่วมคิดกับกัมพูชา แต่เท่าที่ผมสังเกตดูส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาจากที่ฝ่ายไทยไปตกลงหรือมีกระบวนการตัดสินใจให้เกิดการเจรจาในลักษณะที่ทำให้ไทยเสียเปรียบมาตลอด การที่ไทยเป็นสุภาพบุรุษเกินไปก็อาจทำให้ไทยเสียเปรียบ สูญเสียดินแดนเหมือนกรณีประสาทพระวิหารที่เรายอมรับอำนาจศาลโลก เมื่อปี 2505 และเสียพื้นที่เพิ่มเติมในสมัยรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ หรือกรณีปราสาทตาเมือนธมซึ่งชัดเจนว่าเป็นของไทย แต่เราไปยอมปล่อยให้ทหารกัมพูชาเข้ามาแสดงสัญลักษณ์โดยการร้องเพลงชาติกัมพูชาเพื่อให้ภาพออกไปสู่สากล ” อาจารย์ปานเทพ กล่าว

อาจารย์ปานเทพกล่าวต่อว่า ส่วนสาเหตุที่ 3 ที่ทำให้กัมพูชากล้ารุกล้ำอธิปไตยไทย ก็เพราะกัมพูชามองว่าไทยไม่กล้าตอบโต้ เนื่องจากอดีตผู้นำไทยเคยได้รับการช่วยเหลือจากผู้นำกัมพูชา จึงต้องเกรงใจฝ่ายกัมพูชา ดังนั้นจึงอยู่ที่ท่าทีของรัฐบาล ยิ่งผู้นำรัฐบาลของไทยและกัมพูชามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันก็ต้องยิ่งระวัง ไม่แสดงสัญลักษณ์ให้กัมพูชามีความคาดหวังว่าไทยจะยอม คาดหวังว่าจะได้พื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในสมัยรัฐบาลอื่นๆ กัมพูชาไม่กล้ารุกล้ำเข้ามาเพราะไทยชัดเจนว่าเราจะใช้กำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเต็มกำลังในการปกป้องอธิปไตย ขณะที่รัฐบาลชุดนี้ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจึงสั่งให้ทหารไทยถอยอยู่ตลอดเวลา เป็นเพราะฝ่ายการเมืองในรัฐบาลชุดนี้เคยติดหนี้บุญคุณกับทางกัมพูชาหรือไม่ ตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงและรัฐบาลต้องพึงระวัง

“ อาจเพราะกัมพูชาจับสัญญาณได้ว่ารัฐบาลชุดนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลกัมพูชา อดีตผู้นำไทยเคยพึ่งพาผู้นำกัมพูชาในการหลบหนี เขาเลยคิดว่าฝ่ายไทยมีความเกรงใจ ไทยจึงอ่อนข้อ ไม่กล้าตอบโต้ ถ้าเขาได้ใจรุกคืบเข้ามาแสดงสัญลักษณ์แล้วฝ่ายไทยเฉยๆ ผมเชื่อว่าต่อไปกัมพูชาจะทำมากกว่านี้ ” อ.ปานเทพ ระบุ

พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งดูแลความมั่นคงในพื้นที่ภาคอีสาน
ส่วนที่กระแสสังคมมีความเป็นห่วงว่ากองทัพอาจไม่สามารถปกป้องประเทศจากการรุกรานของกัมพูชาได้อย่างเต็มที่เพราะบรรดาแม่ทัพภาคล้วนต้องฟังคำสั่งจาก รมว.กลาโหม ขณะที่นโยบายของ รมว.โหม มีแค่การตั้งรับและเจรจานั้น “อาจารย์ปานเทพ” มองว่า คนที่มีหน้าที่คือกองทัพ ถ้าทหารที่มีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนแต่ไม่ทำหน้าที่ก็ไม่รู้จะมีกองทัพไปเพื่ออะไร เพราะนี่คือภารกิจหลักของกองทัพ ถ้ากองทัพเห็นว่ารัฐมนตรีทำไม่ถูก คำสั่งที่ออกมาขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือสุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่การสูญเสียดินแดน กองทัพก็ต้องต่อต้าน เพราะไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าเจตนารมณ์ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ หากรัฐมนตรีไม่ได้มีความตระหนักต่อความมั่นคงของชาติ ทางกองทัพก็อาจจะต้องไปพูดคุยทำความเข้าใจกับรัฐมนตรี

ขณะที่ภาคประชาชนที่มีความรักชาติและเป็นห่วงว่าไทยจะสูญเสียดินแดนจากการรุกรานของกัมพูชาก็สามารถทำหน้าที่ของตนเอง โดยช่วยเป็นหูเป็นตาหากพบเห็นว่ามีคนชาติอื่นรุกล้ำหรือเข้ามาแสดงสัญลักษณ์ความเป็นเจ้าของบนผืนแผ่นดินไทยก็ต้องรีบแจ้งให้ทางการรับทราบ ช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลหากเห็นการกระทำที่มิชอบ รวมถึงเป็นกำลังใจให้ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของไทย

“ หากประชาชนเห็นว่ารัฐบาลทำอะไรไม่ถูกต้องก็ต้องส่งเสียงไปยังรัฐบาล เพราะเราเชื่อว่าสังคมที่ตื่นรู้จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองไทยได้ ” อาจารย์ปานเทพ ระบุ

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


กำลังโหลดความคิดเห็น