xs
xsm
sm
md
lg

‘บัตรทอง’ ไม่ล่มแต่บริการห่วยลง-ตายเพิ่ม!? จี้รัฐสกัดโกงหวังนำงบสู่กองทุนสุขภาพดันสิทธิพื้นฐานเท่ากัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จับตารวม 3 กองทุนสุขภาพไปไม่ถึงฝั่งฝัน ด้าน นพ.ณัฐ ศิริรัตน์บุญขจร อาจารย์แพทย์รามาและบอร์ดแพทย์ สปส. ชี้‘โมเดลขนมชั้น’ เป็นทางออกที่ดี จะมีทั้ง 3 กองทุน‘บัตรทอง -ประกันสังคม -สวัสดิการข้าราชการ’ หรือเหลือเพียง
single player ไม่สำคัญ แต่ต้องใช้ระบบจ่ายเดียวกันจึงจะลดเหลื่อมล้ำได้ เชื่อบัตรทองไม่ล่มสลายแต่จะเจอวิกฤตการรับและการให้บริการที่แย่ลง คิวยาว บุคลากรพูดจาไม่ดี และการเสียชีวิตของคนไข้จะมากขึ้นหรือไม่?รัฐบาลต้องคิดให้หนัก ๆ แจงไม่เห็นด้วยต้องco-pay เพราะทุกคนจ่ายก่อนแล้วยอมรับบัตรทอง ดีกว่าประกันสังคม แต่สิทธิข้าราชการดีที่สุดย้ำไม่ควรลดทอนสิทธิราชการ จี้รัฐบาลผลักดันให้สิทธิพื้นฐานทุกคนเท่ากันให้ได้แค่สกัดไม่ให้มีการโกง ก็มีงบประมาณจัดทำได้แล้ว ส่วนบอร์ดใหญ่สปส.ต้องการให้ผู้ประกันตน 24 ล้านคนได้สิทธิบัตรทองและใช้เงินกองทุนใช้Top -up!


การผลักดันที่จะให้มีการรวม ‘3 กองทุนสุขภาพ’ เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบสุขภาพที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน เป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มความเป็นธรรมให้กับประชาชนทุกส่วนได้เข้าถึงหลักประกันสุขภาพอย่างเท่าเทียมกัน มีความพยายามมาอย่างต่อเนื่อง แต่ดูเหมือนโอกาสที่จะเกิดขึ้นเป็นไปได้ยากจริง ๆ เราจึงเห็นแค่การตั้งคณะกรรมการศึกษาเพื่อรวม 3 กองทุน การสัมมนา การทำวิจัยขององค์กรต่าง ๆ รวมไปถึงการเรียกร้อง สะท้อนปัญหาสิทธิรักษาพยาบาลที่ด้อยกว่าปรากฏสู่สังคมอยู่บ่อย ๆ

โดย 3 กองทุนสุขภาพ ประกอบด้วย 1. สิทธิ ‘บัตรทอง’ ดูแลทุกคนที่ไม่มีสิทธิสวัสดิการรักษาอื่น ๆ ภายใต้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 2.สิทธิประกันสังคม อยู่ในความดูแลของ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และได้รับสิทธิรักษาเฉพาะตัวผู้ประกันตนตาม ม.33 และ 39 เท่านั้น 3.สิทธิสวัสดิการข้าราชการ เบิกจ่ายตรงกรมบัญชีกลาง จะครอบคลุมครอบครัว ทั้งคู่สมรส บุตร และพ่อ-แม่

อย่างไรก็ดี ในการเข้าถึงระบบการให้บริการสุขภาพ ทั้ง 3 กองทุน มีความแตกต่างกันจึงมักจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึง ‘ยา’ และเครื่องมือหัตถการต่าง ๆ ที่สิทธิบัตรทองและสิทธิประกันสังคม จะรู้สึกว่าด้อยกว่าสวัสดิการข้าราชการที่สามารถเบิกได้เกือบจะทุกอย่าง และถ้าจำเป็นต้องใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติก็ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเหมือนกับสิทธิอื่น ๆ ยิ่งคนไข้ไม่มีเงินจะจ่ายส่วนต่าง โอกาสจะเข้าถึงยาใหม่ ๆ จึงเป็นไปไม่ได้เลย รวมทั้งคิวในการรอทำหัตถการก็ไม่ต้องรอข้ามปีเหมือนกับสิทธิบัตรทอง เป็นต้น

ขณะเดียวกันคนที่ใช้สิทธิประกันสังคม ก็รู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นบัตรทอง หรือสวัสดิการข้าราชการก็ล้วนแต่ใช้งบประมาณของรัฐหรือจากเงินภาษีทั้งสิ้น แต่ผู้ที่ใช้สิทธิประกันสังคม ทำไมต้องจ่ายเงินเอง แถมการรักษาพยาบาลต่าง ๆ ยังสู้ ‘บัตรทอง’ ไม่ได้ ซึ่งโรงพยาบาลรัฐบางแห่ง ยังแนะนำให้ผู้ประกันตน ม. 39 หากส่งต่อเพื่อรักษาพยาบาลอย่างเดียวให้ยกเลิกและไปรับเงินเบี้ยชราภาพ เปลี่ยนมาใช้สิทธิบัตรทอง จะดีกว่า

นี่คือประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ำของผู้ใช้สิทธิรักษาต่าง ๆ !




ว่าไปแล้วผู้ที่ใช้สิทธิประกันสังคมก็น่าจะเริ่มเห็นแสงสว่างและโอกาสเข้าถึงการรักษาที่มากขึ้น ตั้งแต่มีการเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคม ( บอร์ดประกันสังคม : บอร์ด สปส.) เป็นสมัยแรกที่มีตัวแทนฝ่ายผู้ประกันตน (จากกลุ่มประกันสังคมก้าวหน้า) และฝ่ายนายจ้าง เข้าไปอยู่ในบอร์ด สปส.หรือที่เรียกว่าบอร์ดใหญ่ ซึ่งมีกรรมการฝ่ายนายจ้าง 7 คน ฝ่ายผู้ประกันตน 7 คน และฝ่ายรัฐ 7 คน รวม 21 คน และบอร์ดชุดนี้จะหมดวาระประมาณเดือน ก.พ.2569

ต้องยอมรับว่ากรรมการฝ่ายผู้ประกันตนก็พยายามทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงและดูแลผลประโยชน์ให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทั้ง ม.33 , 39 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ของเงินกองทุน สปส. 2.6 ล้านล้านบาท ที่สามารถสร้างผลประโยชน์ได้เพิ่มขึ้นจาก 2%เป็น 5.9% เพื่อนำไปเพิ่มให้กับสวัสดิการต่าง ๆ อีกทั้งเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลได้พยายามผลักดันให้ตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง 2 คน ประกอบด้วย นพ.ณัฐ ศิริรัตน์บุญขจร และนายไชยวัฒน์ วรรณโคตร เข้าไปนั่งเป็นกรรมการชุดบอร์ดแพทย์ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ซึ่งในอดีตบอร์ดแพทย์จะแต่งตั้งโดย รมว.แรงงาน ทั้งสิ้น และเมื่อมีตัวแทนฝ่ายลูกจ้างไปนั่งเป็นบอร์ดแพทย์ จะสามารถผลักดันเรื่องการรักษาพยาบาลได้เพราะต้องไม่ลืมว่าบอร์ดแพทย์ดูแลงบถึง 70,000 ล้านบาทต่อปี

นพ.ณัฐ ศิริรัตน์บุญขจร ทีมประกันสังคมก้าวหน้า เป็นกรรมการบอร์ดแพทย์ ปัจจุบันเป็นอาจารย์สาขาวิชารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่าตัวอาจารย์เองเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย เป็นผู้ประกันตน ม.33 เพราะเข้ามาในยุคที่มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ จึงไม่ใช่ข้าราชการ ดังนั้นในฐานะที่เป็นทั้งคนใช้บริการ และ คนให้บริการ เห็นชัดว่ามีความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงระบบสุขภาพจริง ๆ

“ถ้าเป็นมะเร็งผู้ป่วยบัตรทอง มีโครงการ Cancer Anywhere สามารถส่งเข้าโครงการได้เลย แต่ถ้าผู้ป่วยประกันสังคม ต้องกลับไปต่อรองกับ รพ. ต้นทาง ให้ส่งตัวมา คิวการตรวจรักษาก็ต้องนานออกไปอีก เพิ่งจะมีนโยบาย SSO Cancer Care ซึ่งล่าช้ากว่าบัตรทองไป 2 ปี ส่วนข้าราชการ เบิกได้ทุกที่ เรื่องของยา 30 บาท กับประกันสังคม จะมียาพื้นฐาน ที่ควรจะเหมือนกัน แต่หลายครั้ง มันจะเกิด local policy ของแต่ละโรงพยาบาล ว่า รพ นี้ กำหนดประกันสังคม ให้จ่ายยานี้ แต่จะยา บัญชี เฉพาะโรค ที่แพงกว่า ที่ 30 บาท กับประกันสังคม ก็ได้ไม่เท่ากันอยู่ดี”

ส่วนในฐานะผู้ใช้บริการที่หมอณัฐ ยกตัวอย่างว่าตัวเขาและเพื่อนไปรับประทานอาหารด้วยกันและมีปัญหาปวดท้อง ซึ่งเพื่อนใช้สิทธิบัตรทอง สามารถเดินเข้าร้านยาและเภสัชจ่ายยาโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินแต่อย่างใด ส่วนหมอณัฐ ต้องไปโรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคมจึงจะได้ยา ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าสิทธิบัตรทองดีกว่าและสะดวกกว่าสิทธิประกันสังคมอย่างไร ซึ่งก็ต้องผลักดันเรื่องนี้ให้กับผู้ประกันตนเช่นกัน

นพ.ณัฐ ศิริรัตน์บุญขจร ทีมประกันสังคมก้าวหน้า
ขณะที่ในความเป็นจริง สิ่งที่ประชาชนควรได้รับ คือ ความไม่เหลื่อมล้ำและควรได้รับการบริการพื้นฐานเหมือนกันหมด อย่างคนจ่ายประกันสังคมต้องจ่ายมากกว่า แต่บางกรณีไม่เท่ากับ สิทธิ์บัตรทอง ทำให้เขารู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม ฉะนั้น สิ่งที่รัฐควรแก้ คือ ทำอย่างไร เราควรได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่ง ‘โมเดลขนมชั้น’ ที่ นพ.ถาวร สกุลพาณิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ นำเสนอไว้ก็น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นรวมหรือไม่รวมจะมีกองทุนเดียวหรือหลายกองทุนก็ตาม จุดสำคัญอยู่ที่ทุกกองทุนมีสิทธิพื้นฐานเหมือนกันหมด ก็จะเกิดความเท่าเทียม และความเป็นธรรมมากขึ้น คือ ต้องมีหลักการเหมือนกัน วิธีจ่ายเหมือนกัน โรงพยาบาลถึงจะรักษาเหมือนกัน

“แบบขนมชั้นโมเดล มันอาจมีหลาย player แต่ทุกกองทุนมีสิทธิพื้นฐานเหมือนกันหมด ก็จะเกิดความเท่าเทียม และความเป็นธรรมมากขึ้น หรือจะไม่มีหลาย player มี single player ก็เหมือนกัน คือทุกอันใช้ระบบจ่ายเดียวกัน และระบบไหน จะทำให้เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น ก็เป็นเรื่องที่สังคมควรจะหาทางออกด้วยกัน”


นพ.ณัฐ บอกว่า หลายคนอยากจะให้รวมเป็นกองทุนเดียว แต่บางคนก็รู้สึกว่าพวกเขาเสียผลประโยชน์ แต่ทุกฝ่ายต้องพูดคุยและหาคำตอบด้วยกัน เพราะทุกกองทุนต่างมีข้อดี ข้อเสีย แต่ต้องให้ยอมรับกันได้ ซึ่งฝ่ายการเมืองต้องมีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าจะดำเนินการ เพราะแต่ละกองทุนกำกับดูแลโดยรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงที่สังกัด การที่รัฐบาลตั้งคณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย ขึ้นมาถือเป็นเรื่องที่ดีที่ควรผลักดันต่อไปให้สำเร็จ

“การเมืองต้องร่วมมือกัน เพราะแต่ละกองทุนอยู่กันคนละกระทรวงกำกับดูแล จึงต้องใช้ความพยายามระดับรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีได้ตั้งคณะกรรมการความเหลื่อมล้ำของสุขภาพมาแล้ว ก็หวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน คือ ต้องแก้ที่ต้นเหตุจริงๆ ซึ่งใครจะเป็นคนบอกให้ทุกคน มาคุยกัน มันต้องใช้ระดับรัฐมนตรี คุย และมาตัดสินใจ”

หมอณัฐ บอกว่า อยากจะถามรัฐมนตรี และนักการเมืองว่าจะเริ่มแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างจริงจังได้หรือยัง หรือจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อย ๆ หากทำเช่นนี้ระบบสุขภาพของไทยจะติดหล่มอีกกี่สิบปี

“กองทุนบัตรทองไม่ล่มสลายหรอก (ควรให้คำจำกัดความว่า ‘ล่ม’ คืออะไรให้ชัดเจน) แต่มันจะสะท้อนออกมาให้เห็นถึงการให้บริการที่แย่ลงไปเรื่อย ๆ เช่น การให้คีโม ยาโรคมะเร็ง อาจรอคิวนานขึ้น คิวทันตกรรม เป็นปี คือ ภาพที่ประชาชนจะได้รับบริการ มันจะแย่ไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่รอนาน จะเจอปัญหาบุคลากรพูดจาไม่ดี ซึ่งตรงนี้ยังไปไม่ถึงคุณภาพการรักษา การเสียชีวิตมากขึ้นหรือเปล่า เนื่องจากบุคลากรไม่พอ ทรัพยากร เครื่องไม้เครืองมือก็ไม่พอ รัฐบาลต้องคิดให้หนัก ๆ ซึ่งทุกคนต่างปรารถนาการรักษาที่ดีที่สุด”

นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ทำให้คนตะขิดตะขวงใจ ที่ออกมาประกาศว่างบสาธารณสุขไม่เพียงพอ แต่กลับปล่อยให้มีการคอร์รัปชันเกิดขึ้นมากมาย แต่ละปีมีการคอร์รัปชันกันไปเท่าไหร่ และที่เห็นกันชัด ๆ ก็คือการถล่มของตึก สตง.มันสะท้อนอะไรกับการคอร์รัปชันหรือไม่


หมอณัฐ บอกอีกว่าการรวม 3 กองทุนเป็นกองทุนเดียวเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะถ้าเราจะไปกดสิทธิสวัสดิการข้าราชการที่เคยได้รับนั้นลงมาไม่ได้และไม่ถูกต้องเพราะคนที่เป็นข้าราชการหลายคนก็เพราะมีสิทธิ์สวัสดิการข้าราชการ เป็นแรงจูงใจ และข้าราชการบาง sector ก็มีเงินได้ไม่เท่าเอกชน ดังนั้นสิทธิสวัสดิการที่เขาได้รับทั้งครอบครัวจึงเป็นแรงจูงใจในการทำงานราชการ

“หมอเองต้องใช้ ม.33 เพราะมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ถ้ายังไม่ออกนอกระบบหมอก็เป็นข้าราชการได้สิทธิสวัสดิการข้าราชการย่อมดีกว่า เพราะครอบครัวก็ได้ใช้ ซึ่งถ้าหมออยากได้สิทธิข้าราชการก็ต้องย้ายไปเป็นอาจารย์แพทย์ที่โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข”


สำหรับการรวมกันระหว่างบัตรทองและประกันสังคม ยังมีความหวังและต้องพัฒนาทำให้ความเหลื่อมล้ำของประชาชนลดน้อยลงไปด้วย สิ่งที่ต้องทำคือการเรียกร้องให้ทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นเพื่อมาบำรุงโรงพยาบาล บุคลากรให้ทำงานดีขึ้น อีกทั้งส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่มีการเสนอให้ผู้ป่วยร่วมจ่าย หรือที่เรียกว่า co-pay เพราะต้องไม่ลืมว่าเรามีการ co-pay ก่อนป่วยอยู่แล้วในเรื่องการเสียภาษี และผู้ใช้สิทธิประกันสังคม ก็มีเงินที่สมทบเข้าไปอยู่แล้ว หากเขาป่วยต้องจ่ายเพิ่มอีกจะทำไปเพื่ออะไร จะให้ต้องมาร่วมจ่ายทั้งที่ยังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเข้าไม่ถึงระบบสุขภาพใช่หรือไม่

ดังนั้นผู้ที่มีอำนาจและเกี่ยวข้องต้องมาร่วมกันหาทางออกจะเป็นกองทุนเดียวหรือหลายกองทุนก็ได้ แต่ทุกกองทุนต้องมีจุดสตาร์ทที่เหมือนกันจึงจะลดความเหลื่อมล้ำได้ ดังนั้นจึงต้องมีในรูปคณะกรรมการขึ้นมากำกับดูแลกองทุนสุขภาพ ซึ่งเห็นว่า ถ้ากระทรวงสาธารณสุขจะทำหน้าที่เป็นหน่วยงาน regulator กำกับดูแลให้กับทุกคนทุกสิทธิการรักษาน่าจะเหมาะสมที่สุด ไม่ใช่ร่วมมือกับ สปสช.เพื่อดูแลบูรณการเฉพาะสิทธิบัตรทองเพียงอย่างเดียวดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือจะตั้งเป็น Super Board ให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก็ต้องมาหารือเพื่อได้ข้อสรุป

ด้าน นายธนพงษ์ เชื้อเมืองพาน กรรมการฝ่ายผู้ประกันตนบอร์ด สปส.ในฐานะ ประธานอนุกรรมการสิทธิประโยชน์ บอกว่า ทีมประกันสังคมก้าวหน้า ได้เข้าไปนั่งเป็นกรรมการบอร์ดแพทย์ 2 ท่าน เชื่อว่าจะผลักดันสวัสดิการรักษาพยาบาลต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ให้กับสมาชิกกองทุนประกันสังคมต่อไป ที่ผ่านมาเราก็มีการหารือร่วมกับ สปสช.อยู่หลายครั้งก็มองเห็นปัญหาที่จะทำให้การรวมกองทุนค่อนข้างเป็นไปได้ยากในเชิงโครงสร้าง ทั้งเรื่องของงบประมาณ และสิทธิสวัสดิการต่าง ๆ ที่แต่ละกองทุน
เคยได้รับมาก่อน

“สิทธิข้าราชการเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมารวมเพราะสวัสดิการที่ได้รับมากอยู่แล้ว ส่วนบัตรทองและประกันสังคมก็พอจะมีโอกาสแต่คงใช้เวลาอีกนานพอสมควร ต้องไม่ลืมว่าประกันสังคมต้องจ่ายเงินรักษา แต่บัตรทองไม่ต้องเป็นเงินรัฐจ่ายทั้งหมด”

 นายธนพงษ์ เชื้อเมืองพาน กรรมการฝ่ายผู้ประกันตนบอร์ด สปส.
ประเด็นสำคัญคือทั้งบอร์ด สปส.และบอร์ดแพทย์.ต้องการผลักดันให้สิทธิประกันสังคมในการรักษาพยาบาล อะไรที่ด้อยกว่าบัตรทองของ สปสช.ก็ต้องได้เท่ากัน เราจึงต้องการให้ผู้ประกันตน ม.33 และ 39 กว่า 24 ล้านคน ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลพื้นฐานคือเป็นบัตรทอง เป็นเงินของรัฐที่ สปสช.ดูแล

ทั้งนี้รัฐจะต้องจัดสรรงบประมาณตรงนี้เพิ่มเข้าไปให้ สปสช.เพื่อผู้ประกันตนอีก 24 ล้านคน ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานการรักษาเดียวกัน แต่การ Top -up ต่าง ๆ ของผู้ประกันตนซึ่งใช้เงินกองทุนฯ จะออกมาอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ต้องมีการพูดคุยและหาข้อสรุปที่ชัดเจน

นายธนพงษ์ ย้ำว่าแนวทางดังกล่าวถือเป็นการรวม 2 กองทุนคือบัตรทองและประกันสังคม เข้าด้วยกันโดยมีสิทธิพื้นฐานที่ได้รับจะเท่ากับกองทุน สปสช. แต่ความยากอยู่ที่เรื่องงบประมาณที่รัฐต้องใส่เข้ามาซึ่งเป็นจำนวนมากพอสมควรก็อาจจะทำให้โครงการนี้ไม่สำเร็จก็ได้!

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


กำลังโหลดความคิดเห็น