xs
xsm
sm
md
lg

คดี“ชั้น 14” ส่อติดคุกยกแผง “ทักษิณ”กลับมารับโทษ 8 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ดร.เจษฎร์” ชี้ “ทักษิณ”อาจต้องกลับเข้าคุกและรับโทษมากกว่า 8 ปี หากศาลไต่สวนพบว่ามีการช่วยเหลือให้ไปนอนชั้น 14 รพ.ตำรวจ แทนการจำคุกในเรือนจำ เหตุมีกรณีทูลเท็จเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษเพิ่มมาอีกคดี ขณะที่ผู้ให้การช่วยเหลือส่อติดคุกกราวรูด ตั้งแต่ ผู้บัญชาการเรือนจำ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ หมอที่อ้างว่ารักษาทักษิณ ปลัดกระทรวงฯ ยัน รมว.ยุติธรรม โดนทั้ง ม.157 และทำเอกสารเท็จ โดยโทษสูงสุดอาจติดคุกถึง 30 ปี แนะ ยอมรับสารภาพ เพื่อให้ศาลเมตตาลดโทษ โชคดีอาจเหลือแค่รอลงอาญา !

เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้ นายทักษิณ ชินวัตร, ผู้บัญชาการเรือนจำ , อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องทำคำชี้แจงต่อศาล ตามคำร้องที่“นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์” อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นต่อศาล เนื่องจากศาลเห็นว่าการบังคับโทษในคดีของนายทักษิณอาจไม่เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล โดยให้บุคคลดังกล่าวชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลภายใน 30 วัน และศาลจะดำเนินการพิจารณาไต่สวนต่อไป ซึ่งหมายความว่าแม้ศาลจะยกคำร้องที่“นายชาญชัย”ยื่นเรื่องให้ศาลไต่สวนกรณีส่ง“นายทักษิณ”ไปรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ แต่ทักษิณก็ยังไม่พ้น“บ่วงกรรม” และนี่อาจเป็นการนับหนึ่งเพื่อพาทักษิณกลับเข้าคุก !

สิ่งที่สังคมอยากรู้ก็คือหากศาลไต่สวนแล้วพบว่ามีการดำเนินการเพื่อให้ทักษิณไม่ต้องถูกจำคุกในเรือนจำตามคำพิพากษาของศาล ใครบ้างที่ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ ?

รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก ประธานหลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย
รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก ประธานหลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย ระบุว่า ต้องชื่นชมการทำหน้าที่ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพราะนี่คือการธำรงกระบวนการยุติธรรมของไทยให้คงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ ศาลท่านคงได้นั่งดูเหตุบ้านการเมืองและเห็นความไม่ชอบมาพากล เช่น การพิจารณาจริยธรรมของแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจที่รักษานายทักษิณ ซึ่งทางแพทยสภาโยกโย้ไม่ยอมเปิดเผยเวชระเบียนซึ่งบันทึกรายละเอียดในการรักษา ศาลจึงเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาไต่สวน เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศาลโดยตรงเพราะศาลท่านเป็นผู้กำหนดโทษ ถ้าราชทัณฑ์ไม่ได้บังคับโทษตามที่ศาลตัดสินก็เท่ากับว่าคำพิพากษาของศาลไม่มีความศักดิ์สิทธิ์

“ ยิ่งการที่ราชทัณฑ์อ้างว่าพอหลุดจากศาลมาแล้วถือเป็นเรื่องของราชทัณฑ์ นั่นก็แปลว่าศาลจะมีคำสั่งจำคุกใคร อะไรยังไงก็แล้วแต่ สุดท้ายมันอยู่ที่ราชทัณฑ์ว่าจะจำคุกผู้กระทำผิดจริงหรือเปล่า จะให้ติดคุกจริงกี่วัน หรือจะให้ป่วยแล้วออกไปอยู่นอกคุกก็ได้ ก็จะกลายเป็นว่าราชทัณฑ์ใหญ่กว่าศาล และไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลกันระหว่างอำนาจบริหารคือราชทัณฑ์ กับอำนาจตุลาการคือศาล ที่สำคัญเรื่องนี้จะเป็นบรรทัดฐานต่อไปในอนาคต ” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์
“ทักษิณ”อาจมีโทษเพิ่ม

ส่วนว่าเรื่องนี้จะส่งผลอย่างไรต่อนายทักษิณนั้น “รศ.ดร.เจษฎ์” ชี้ว่า มีแนวโน้มที่นายทักษิณจะต้องกลับมาติดคุก เพราะชัดเจนว่าหลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกนายทักษิณเป็นเวลา 8 ปี และทักษิณได้ขอพระราชทานอภัยลดโทษ โดยได้รับพระราชทานลดโทษเหลือติดคุก 1 ปี แต่ที่ผ่านมาทักษิณไม่ได้ถูกจำคุกแม้แต่เพียงวันเดียว ซึ่งหากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไต่สวนแล้วเห็นว่าทักษิณยังไม่ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา และมีการสร้างข้อมูลเท็จเรื่องอาการป่วยเพื่อให้ทักษิณได้ย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจแทนการรับโทษจำคุกในเรือนจำ ก็เป็นไปได้ 2 ทาง คือ

แนวทางแรก ศาลอาจจะมีคำสั่งให้ทักษิณติดคุก 1 ปี ตามที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ

แนวทางที่ 2 ศาลอาจจะสั่งให้ทักษิณต้องเข้ารับโทษจำคุก 8 ปีตามคำพิพากษาเดิมก่อนที่จะได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ เนื่องจากเห็นว่าในการขอพระราชทานอภัยโทษของทักษิณนั้นได้อ้างว่า “เคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา แต่ขณะนี้อายุมากและมีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยต้องเข้ารักษาพยาบาลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ” แต่จากการไต่สวนพบว่าทักษิณไม่ได้เคารพในกระบวนการยุติธรรม และไม่ได้มีอาการป่วยถึงขั้นที่ต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างที่กล่าวอ้าง จึงเท่ากับเป็นการทูลเท็จเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ

และจากกรณีที่มีการทูลเท็จดังกล่าวก็อาจจะมีผู้ไปดำเนินการฟ้องร้องเอาผิดกับนายทักษิณอีกคดีหนึ่งด้วย จึงอาจทำให้ทักษิณต้องรับโทษจำคุกจากทั้งสองคดีเป็นเวลามากกว่า 8 ปี


 พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ
ใครต้องรับโทษบ้าง

รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวต่อว่า ส่วนบุคคลอื่นๆที่ร่วมช่วยเหลือให้นายทักษิณไม่ต้องรับโทษในคุกก็ต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ผู้บัญชาการเรือนจำ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ แพทย์ที่อ้างว่าทำการรักษานายทักษิณ และอาจรวมถึงปลัดกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลกรมราชทัณฑ์ด้วย

โดยบุคคลที่ช่วยเหลือให้นายทักษิณไม่ต้องรับโทษในคุกจะมีความผิดในหลายกระทงด้วยกัน อันได้แก่

1.ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2.ความผิดฐานทำเอกสารเท็จและใช้เอกสารเท็จ อาทิ หากนายทักษิณไม่ได้ป่วยขั้นวิกฤตแต่มีการทำเอกสารเท็จว่านายทักษิณป่วยหนักต้องย้ายออกจากราชทัณฑ์ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ จนเกิดเป็นเอกสารส่งตัวนายทักษิณ , กรณีที่โรงพยาบาลตำรวจไม่ได้มีเวชระเบียนซึ่งบันทึกการรักษานายทักษิณอยู่จริง แล้วไปทำขึ้นมา หรือไปเขียนข้อมูลการรักษาที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง

นอกจากนั้นยังมีเอกสารที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์และผู้ที่เกี่ยวข้องเซ็นเพื่อให้นายทักษิณสามารถอยู่นอกเรือนจำขณะที่ยังต้องโทษคุมขัง เนื่องจากกฎกระทรวงเรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ระบุไว้ว่า กรณีผู้ต้องขังต้องพักรักษาตัวที่สถานที่รักษานอกเรือนจำเป็นเวลานาน ให้ผู้บัญชาเรือนจำดำเนินการ ดังนี้

- กรณีการพักรักษาตัวเกินกว่า 60 วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้ปลัดกระทรวงทราบ

-กรณีการพักรักษาตัวเกินกว่า 120 วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทราบ

ทั้งนี้ นายทักษิณนอนอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เป็นเวลา 143 วัน โดยกรณีที่ทักษิณออกจากเรือนจำไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ เกิน 60 วัน อธิบดีกรมราชทัณฑ์ต้องลงนามให้นายทักษิณอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจต่อ โดยระบุว่าเป็นไปตามความเห็นของแพทย์ และนำเสนอต่อปลัดกระทรวงยุติธรรมทราบ และเมื่อทักษิณรักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 120 อธิบดีกรมราชทัณฑ์ก็ต้องรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการยุติธรรมทราบ

นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
ซึ่งการทำและใช้เอกสารเท็จ จะเป็นความผิดตาม มาตรา 264 เรื่องการปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งระบุว่า ผู้ใดสร้างขึ้นหรือบางส่วนของเอกสารอันเป็นเท็จ หรือเพิ่มเติมเอาจาก หรือแก้ไขด้วยวิธีการใดๆ ซึ่งเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราหรือลงลายมือชื่อเท็จในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นหรือประชาชน ถ้าการกระทำดังกล่าวได้กระทำเพื่อทำให้บุคคลใดเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความผิดตามมาตรา 161 ซึ่งระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษาเอกสาร กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท

และความผิดตามมาตรา 162 ซึ่งระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการดังต่อไปนี้ในการปฏิบัติการตามหน้าที่

(1) รับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ

(2) รับรองเป็นหลักฐานว่า ได้มีการแจ้งซึ่งข้อความอันมิได้มีการแจ้ง

(3) ละเว้นไม่จดข้อความซึ่งตนมีหน้าที่ต้องรับจด หรือจดเปลี่ยนแปลงข้อความเช่นว่านั้น หรือ

(4) รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ

ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 140,000 บาท

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม
และหากนำเอกสารเท็จดังกล่าวไปแถลงต่อศาลซึ่งได้เรียกไต่สวน ก็จะมีความผิดตาม มาตรา 177 ซึ่งระบุว่า ผู้ใดเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ได้กระทำในการพิจารณาคดีอาญา ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 140,000 บาท

“ ถ้าคุณทักษิณไม่ได้ป่วยจริง แต่คุณมาบอกว่าคุณทักษิณป่วย ก็มีความผิดตามมาตรา 157 ถ้าทำเอกสารเท็จเพื่อรับรองว่าคุณทักษิณป่วยหรือเพื่อนำคุณทักษิณออกไปพักนอกเรือนจำ ก็มีความผิดตามมาตรา 161 ,162 และ 264 ซึ่งหากมีการกระทำผิดดังกล่าวซ้ำหลายครั้ง ศาลก็อาจจะพิจารณาลงโทษในทุกมาตรา ซึ่งอาจมีโทษสูงสุด จำคุกถึง 30 ปี งานนี้น่าจะติดคุกกันกราวรูด ตั้งแต่ผู้บัญชาการเรือนจำ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ปลัดกระทรวงยุติกรรม ไปยัน รมว.ยุติธรรม รวมถึงแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และแพทย์ที่ทำการรักษาคุณทักษิณ ซึ่งจนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าหมอคนไหนที่รักษาคุณทักษิณ เป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ เซ็น 1 ครั้งก็คิดเป็น 1 กรรม และถ้าหากเอาเอกสารเท็จไปแถลงต่อศาลอีกว่าคุณทักษิณป่วยจริง ก็จะเข้าข่ายเบิกความเท็จซึ่งมีความผิดอีก มีโทษจำคุก 5 ปี หรือแค่เบาะๆถ้าศาลพิจารณาว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาล คือศาลเรียกให้มาชี้แจงแต่กลับเอาเอกสารเท็จมาหลอกลวงศาลอีกถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล แค่นี้ก็อ่วมแล้ว ” รศ.ดร.เจษฎ์ ระบุ

รศ.ดร.เจษฎ์ ได้ให้คำแนะนำว่า ถ้าผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่อยากติดคุกเพราะให้การช่วยเหลือนายทักษิณ ก็ควรรับสารภาพเพื่อให้ศาลเมตตาลดโทษ สมมุติศาลพิจารณาแล้วมีโทษจำคุก 10 ปี แต่ผู้กระทำผิดรับสารภาพ ศาลจะพิจารณาลดโทษเหลือกึ่งหนึ่ง คือเหลือโทษจำคุก 5 ปี , ให้การเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรม ลดโทษลงอีกกึ่งหนึ่ง เหลือโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน , ให้การช่วยเหลือแก่กระบวนการพิจารณาเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ประกอบกับกระทำไปโดยที่อยู่ภายใต้อำนาจบังคับของผู้บังคับบัญชา และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน สุดท้ายศาลอาจจะลดโทษเหลือจำคุกเพียง 1 ปี และให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี ก็เป็นได้ แต่หากยังดื้อแพ่งยืนยันต่อศาลว่าการดำเนินการนำตัวนายทักษิณออกมาอยู่นอกเรือนจำขณะที่ต้องโทษนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องแล้ว ก็อาจจะต้องรับโทษเต็ม

กล่าวได้ว่าขณะนี้ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” คือความหวังของประชาชนที่จะกอบกู้ศักดิ์ศรีให้กับกระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่ให้ถูกย่ำยีจากกรณี “ชั้น 14”ของนายทักษิณ ชินวัตร !



ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


กำลังโหลดความคิดเห็น