‘จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี’ นายกสมาคมค้าทองคำ แนะจับตานโยบายป่วนโลกของ‘โดนัลด์ ทรัมป์ ’ ที่จะประกาศในวันที่
2 เม.ย.นี้ จะทำให้ราคาทองขึ้นต่อหรือไม่ เชื่อมีโอกาสหลังราคาSpot ขยับไป 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ อาจไปถึง 3,200-3,400 มีผลให้ราคาทองคำในไทยไปต่อที่บาทละ 53,000 ได้เช่นกันหากอัตราค่าเงินบาทผันผวน แค่ 10 สตางค์ มีผลต่อราคาทอง 160 กว่าบาท ขณะที่นโยบายทรัมป์ผนวกกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาทะเลจีนใต้ยังคงเดินหน้าไร้ข้อยุติ ก็ยิ่งซ้ำเติมให้ธนาคารกลางทั่วโลกขายดอลลาร์หันมาตุนทองแนะใครอยากออมทองหาจังหวะเข้าช่วงปรับฐานส่วนคนที่สะสมไว้มากก็ควรทำกำไรแล้วค่อยสะสมใหม่ ด้าน ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ชี้ราคาคงไม่ทะลุเกินบาทละ 50,000 !
ความเคลื่อนไหวของราคาทองคําในตลาดโลก ปี 2025 ปรับตัวลดลงและพุ่งสูงขึ้นให้เห็นเป็นช่วง ๆ ส่งผลให้บรรดานักเก็งกำไรต่างก็ลุ้นกันต่อเนื่องว่าครั้งนี้ทองคำในประเทศมีโอกาสแตะที่ 50,000 บาทต่อบาททองคำ ตามที่มีการคาดการณ์ไว้หรือไม่ หรือมีแนวโน้มจะสูงกว่า 50,000 หรือจะปรับตัวลดลงเพราะเหตุใด
โดยเฉพาะช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเราได้เห็นราคาทองคำโลก(Spot) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือบริเวณ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์และวันนี้ (26 มี.ค.) เวลา 16.34 น.มีการปรับตัวขึ้น-ลง 9 ครั้ง ทองคำ Spot อยู่ที่ 3,018.50ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ค่าเงินดอลลาร์ต่อบาทอยู่ที่ 33.99 ส่วนทองคำในประเทศยังคงทำนิวไฮ โดยทองแท่งขายออกที่ 48,550.00 บาท และรับซื้อที่ 48,450.00 ขณะที่ทองรูปพรรณขายออกบาทละ 49,350 และรับซื้อ 47,572.08
ที่สำคัญอะไรคือเหตุ-ปัจจัย ที่ทำให้ราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวและบรรดาคนที่เชื่อว่าการลงทุนออม ‘ทอง’ ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่ดีและมั่นคงที่สุดในระยะยาว หากเรามีทองแท่ง ทองรูปพรรณจำนวนหนึ่งอยู่ในมือแล้ว ควรตัดสินใจอย่างไรดี ควรขายออกในช่วงทองมีราคาขึ้นในเวลานี้ดีหรือไม่ หรือคนที่มีเงินก้อนโตแบบเย็น ๆ แต่ยังไม่มีทองอยู่ในมือ ควรเข้าไปซื้อสะสมหรือไม่? และเข้าซื้อจังหวะราคาเท่าไรดีที่สุด
‘จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี’ นายกสมาคมค้าทองคำ บอกว่า ให้สังเกตดูช่วงนี้เราจะเห็นราคาทองคำดูนิ่ง ๆ มีการเคลื่อนไหวขึ้น-ลง แคบ ๆ แค่ 50 บาทหรือ 100 บาทมาหลายวันแล้ว การเคลื่อนไหวแบบนี้ กำลังอยู่ในช่วงของการปรับฐานเพื่อที่จะไปต่อ เพราะราคาทองสัมพันธ์กับค่าเงิน ซึ่งช่วงนี้มีความผันผวน และค่าเงินบาทก็อยู่ที่ 33.85-34 บาทต่อดอลลาร์ ใครที่ต้องการซื้อหรือขายทอง ก็ควรติดตามนโยบายในวันที่ 2 เมษายน 2025 ที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะประกาศนโยบายภาษีศุลกากรของประเทศ เพื่อตอบโต้ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และจะกระทบทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย
“ถ้ากระทบรุนแรง ทองก็อาจจะขึ้น ซึ่งผลที่จะตามมา เศรษฐกิจอาจถดถอย และถ้าดอลลาร์อ่อน จะทำให้ธนาคารทั่วโลกทยอยขายดอลลาร์ และเข้าซื้อทองคำแทน ซึ่งตอนนี้เราก็เริ่มเห็นการสะสมของนักลงทุนและธนาคารทั่วโลกเริ่มสะสมเพิ่มมากขึ้น ก็จะยิ่งฉุดให้ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นเรื่องที่เรามองและวิเคราะห์กัน”
ดังนั้นจึงอยากให้มองสถานการณ์วันที่ 2 เม.ย.เป็นสำคัญที่จะเห็นอะไรชัดขึ้น อีกทั้งเรื่องความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ระหว่างรัสเซียและยูเครน ก็ยังคงดำเนินต่อไป บวกกับความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ล้วนแต่ส่งผลต่อราคาทองทั้งสิ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ย่อมมีผลกระทบต่อค่าเงินบาท
“ถ้าเงินบาทแข็ง ราคาทองจะถูกลง แต่ถ้าเงินบาทอ่อนทองจะสูงขึ้น คือถ้าอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน 10 สตางค์ มีผลต่อราคาทอง 160 กว่าบาท”
นายกสมาคมค้าทองคำ บอกอีกว่า จากสถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้เราคาดการณ์ว่าเดิมราคาทอง Spot จะอยู่ที่ 3,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ปัจจุบันมองมีโอกาสจะไปต่อที่ 3,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศไทยน่าจะขยับไปได้ที่บาทละ 53,000 ก็เป็นได้
“สิ่งที่จะทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นหรือลงอย่างไร อยู่ที่การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งมีผลมากกว่าราคาทองในต่างประเทศขึ้นลงอีก ดังนั้นราคาทองจะขึ้นไปบาทละ 52,000-53,000 ก็ต้องดูใกล้ ๆ ว่าบาทอ่อนค่าแค่ไหน เพราะการเปลี่ยนแปลง 10 สตางค์ จะมีผลกับราคาทอง 160 กว่าบาท”
ทั้งนี้การจะเห็นราคาทองบาทละ 52,000-53,000 น่าจะได้เห็นในช่วงปลายปี 2568 นี้ ส่วนคนที่อยากจะออมทอง และมีเงินเย็น ๆ เวลานี้อยู่ในช่วงปรับฐาน ก็พอที่จะทยอยลงทุนได้บ้าง
“ราคานี้ ทยอยเก็บได้ ไม่แพง ถ้าจะออมซื้อทองแท่งดีกว่าเพราะไม่ต้องเสียค่ากำเหน็จ เวลานำมาขายก็ได้เต็ม ๆ ราคาก็อยู่ที่ประมาณบาทละ 48,500 ขณะที่ราคาSpot อยู่ที่ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งยังมีโอกาสที่จะไปต่อ ส่วนจะซื้อได้ถูกน้อย ถูกมากก็ขึ้นอยู่กับจังหวะที่เข้าซื้อ เวลานี้ออมทองได้ผลตอบแทนดีกว่าดอกเบี้ยฝากแบงก์ ถ้าจะไปเล่นหุ้นช่วงนี้ก็ตกต่ำ พูดง่าย ๆ ต้องแบ่งพอร์ตให้เป็น อาจไปลงทุนที่ดิน ทั้งหมดอยู่ที่ว่าเราจะบริหารเงินอย่างไร เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดี”
ส่วนคนที่ทยอยเก็บตุนทองไว้แล้ว และมีต้นทุนที่ต่ำ ถ้าอยากจะขายก็เลือกจังหวะที่เราพอใจ แต่ก็ควรแบ่งขายทำกำไรบ้างเช่นกัน และเมื่อราคาทองปรับลงมาค่อยมาซื้อกลับคืนน่าจะดีกว่า ปัจจุบันคนนิยมมาซื้อทองมากกว่านำทองมาขาย เพราะเชื่อว่าทองเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงและมีโอกาสไปต่อได้
ด้าน ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิเคราะห์ทิศทางราคาทองคำ ว่า ต้องดูสถานการณ์หลังวันที่ 22 เม.ย.2568 ว่าประธานาธิบดี‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จะดำเนินการเรื่องสงครามการค้า(Trade war) อย่างไร จะใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ประเทศใดหรือไม่ ล่าสุดทรัมป์ได้ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้า 25% จากทุกประเทศที่ซื้อน้ำมันหรือก๊าซจากเวเนซุเอลา ขณะเดียวกัน ก็จะชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับบางประเทศ และอาจจะยกเว้นภาษีนำเข้าให้บางประเทศ
อย่างไรก็ดี ทิศทางของสงครามการค้านั้นไม่ได้หนักหน่วงอย่างที่หลายคนกลัวกัน มันมีการผ่อนคลาย จึงทำให้ราคาทองคำไม่น่าจะเป็น safe haven (สินทรัพย์ที่จะอยู่รอดปลอดภัยแม้ว่าจะเกิดวิกฤตการณ์) ส่วนทิศทางของหุ้นคงต้องรอดูสถานการณ์ที่ชัดเจน ซึ่งหุ้นน่าจะย่อราคาลงพอสมควรแล้ว ทิศทางของหุ้นและดอลลาร์น่าจะเป็นตัวเร่งเศรษฐกิจ
“ราคาหุ้นน่าจะแกว่งอยู่ในกรอบแคบๆ คงไม่ทะลุขึ้นไปมากกว่านี้ ไม่ควรทะลุ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพราะยังไม่มีปัจจัยที่จะหนุนว่าในระยะสั้นจะทะลุถึง 3,000 แต่ในอนาคตไม่แน่ เบื้องต้น 2,700-3,000 จะเป็นกรอบที่น่าสนใจในช่วงนี้ ส่วนประชาชนทั่วไปจะเอาทองคำออกมาขายหรือเก็บไว้ก่อนก็ได้ เพราะดูแล้วราคาคงไม่ทะลุเกินบาทละ(บาททองคำ) 50,000 บาท ” ผศ.ดร.ธนวรรธน์ ระบุ
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j