รัฐบาลแจกเงินหมื่นไปแล้ว 2 แฟส เฉียด 17 ล้านคน จ่อจ่ายกลุ่ม 16-20 ปี คาดเล็งฐานการเมืองพ่วงด้วย แต่ตัวเลขเศรษฐกิจทุกตัวยังนิ่งไม่มีสัญญาณฟื้นตัว เศรษฐกิจปี 2568 หวังพึ่งเพียงการท่องเที่ยวและส่งออกขณะที่ปัจจัยลบล้อมรอบ มาเลย์ฯ เตือนเที่ยวไทยหลังเกิดเหตุไม่สงบ จับตานักท่องเที่ยวจีนฟื้นหรือไม่
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสภาพเศรษฐกิจเริ่มดังขึ้น เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจของไทยเมื่อสิ้นปี 2567 พบว่าเศรษฐกิจไทยโต 2.5% เป็นอันดับ 9 จากประเทศอาเซียน 10 ชาติ เศรษฐกิจไทยไทยเหนือกว่าแค่พม่าเท่านั้น (ทั้งๆ ที่พม่าที่มีเรื่องความไม่สงบภายใน) ส่วนในปี 2568 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ระดับ 2.8%
หากย้อนกลับไปดูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ที่หาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้งปี 2566 นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ด้วย Digital Wallet 1 หมื่นบาท วงเงิน 5.6 แสนล้านบาท พร้อมทั้งมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีจากนายเศรษฐา ทวีสิน มาเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
โครงการแจกเงิน 1 หมื่นบาทดำเนินการไปแล้ว 2 รอบ และเตรียมแจกรอบที่ 3 แต่เศรษฐกิจไทยยังคงนิ่งสนิท
รอบแรกบัตรสวัสดิการ-พิการ
กระทรวงการคลังได้จ่ายเงิน 1 หมื่นบาทเฟสแรกผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ รับสิทธิ 14,450,168 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.19 ให้แก่กลุ่มเป้าหมายตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.-19 ธ.ค.2567 หมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 144,501.68 ล้านบาท พร้อมตัดสิทธิ 37,685 คน หมื่นคน หลังโอนซ้ำรอบ 3 ไม่สำเร็จ
วัตถุประสงค์หลักในการบรรเทาภาระค่าครองชีพและเพิ่มศักยภาพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ ให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
รอบ 2 ผู้สูงอายุ
แจกรอบ 2 เมื่อ 27 มกราคม 2568 กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้มีการโอนเงินดิจิทัล 10,000 บาท ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ ให้กลุ่มเป้าหมายจำนวน 3,025,596 ราย โดยมีผลการโอนเงินแบ่งเป็น โอนเงินสำเร็จจำนวน 2,825,076 ราย (หรือคิดเป็นร้อยละ 93.37) โอนเงินไม่สำเร็จจำนวน 200,520 ราย (หรือคิดเป็นร้อยละ 6.63) ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 28,250.76 ล้านบาท
เฟส 3 เอาใจ 16-20 ปี
บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ เคาะแจกเงินหมื่นเฟส 3 วัยรุ่น 16-20 ปี กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับการแจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ต โดยใช้กลไกของดิจิทัลวอลเล็ต
ผู้ได้รับสิทธิเงินดิจิทัล เฟส 3 ได้แก่ ประชาชนที่มีอายุ 16-20 ปี เป็นผู้ที่ลงทะเบียนทางรัฐสำเร็จแล้ว มีรายได้ปีภาษี 2566 ไม่เกิน 840,000 บาท มีเงินฝากกับธนาคาร ณ วันที่ 30 มิ.ย.2567 รวมกันไม่เกิน 500,000 บาท ไม่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของ พม. ณ วันที่ 30 พ.ย.67 ไม่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ ไม่เคยฝ่าฝืน ถูกระงับสิทธิ หรือถูกเรียกเงินคืนจากมาตรการหรือโครงการอื่นๆ ของรัฐบาล และไม่เป็นผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไปแล้วในเฟส 1 และเฟส 2 คาดว่าการแจกจะอยู่ในช่วงปลายไตรมาสที่ 2-ไตรมาสที่ 3 (ช่วงปลาย มิ.ย.-ต้น ก.ค.)
ส่วนคนวัยทำงานช่วงอายุ 21-59 ปี ยังคงต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลต่อไป
ไหนว่าพายุหมุน
แหล่งข่าวจากภาคเศรษฐกิจกล่าวว่า โครงการ Digital Wallet ของพรรคเพื่อไทยปรับเปลี่ยนไปจากเดิม มีเงื่อนไขเพิ่มเข้ามา ไม่ใช่แจกทุกคนเหมือนตอนหาเสียง อย่างเฟส 1 แจกให้กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มผู้พิการ และเฟส 2 แจกให้กลุ่มผู้สูงอายุ โดยทั้ง 2 เฟสรัฐบาลเลือกที่จะจ่ายเป็นเงินสดแทน ทำให้ผู้รับสามารถนำไปใช้จ่ายได้ตามความต้องการ
ส่วนเฟส 3 มุ่งไปที่กลุ่มวัยเรียน 16-20 ปี เป็นการใส่เงินดิจิทัลเข้าไปให้ มีเงื่อนไขห้ามชำระในบางรายการ ตรงนี้มีข้อสังเกตได้เช่นกันว่า อาจมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาคนรุ่นใหม่เลือกพรรคก้าวไกล (ประชาชน) จำนวนมาก การมอบเงินให้กลุ่มนี้อาจมีส่วนทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้าบางส่วนอาจหันกลับมามองพรรคเพื่อไทย
ตอนนี้น่าจะเหลือกลุ่มวัยทำงาน 21-59 ปีที่ยังไม่ได้รับเงิน 1 หมื่นบาท ซึ่งน่าจะเป็นฐานที่ใหญ่ที่สุด ส่วนจะกำหนดจ่ายเมื่อไหร่ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลเป็นผู้กำหนด
การแจกเงินทั้ง 2 รอบที่ผ่านมา เรายังไม่เห็นสัญญาณในทางเศรษฐกิจว่าเริ่มฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อไม่ได้ขยับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือหากจะมองถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดลง 0.25% ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2568 เหลือ 2% อาจช่วยทำให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศลดลง มีธนาคารหลายแห่งที่ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงบ้าง แต่ลดลงไม่มากนัก บางธนาคารลดราว 0.1% ไม่มีผลในทางปฏิบัติที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เราหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวและการส่งออก แต่ยังมีปัจจัยลบเข้ามาบั่นทอนอยู่ไม่น้อย
นักท่องเที่ยว ม.ค.-9 มี.ค.
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาเข้าสู่ช่วงเทศกาลถือศีลอดของชาวมุสลิม รวมถึงการสิ้นสุดการท่องเที่ยวฤดูหนาว ทำให้เกิดการชะลอตัวทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short Haul) และกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long Haul)
ส่งผลให้ภาพรวมในสัปดาห์นี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 638,863 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 30,077 คน หรือร้อยละ 4.50 คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 91,266 คน
โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน (68,069 คน) มาเลเซีย (58,309 คน) รัสเซีย (54,417 คน) อินเดีย (41,001 คน) และเยอรมนี (33,871 คน) โดยนักท่องเที่ยวชาวเยอรมนี และจีน มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าร้อยละ 10.72 และร้อยละ 5.23 ตามลำดับ
ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย อินเดีย และรัสเซีย มีการปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าร้อยละ 17.35 ร้อยละ 2.29 และร้อยละ 1.87 ตามลำดับ
สําหรับในสัปดาห์ถัดไป คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาทรงตัว จากปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดท่องเที่ยวโลกในงาน ITB ที่กรุงเบอร์ลิน การประกาศปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025
และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและกีฬา การสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย การมีมาตรการ Ease of Traveling ของรัฐบาล ที่ช่วยเพิ่มการอํานวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 รวมถึงการกระตุ้นและส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจํานวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น
สรุปภาพรวมการท่องเที่ยวในสัปดาห์นี้ โดยข้อมูล ณ วันที่ 10 มี.ค.68 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-9 มี.ค.68 ที่ผ่านมาทั้งสิ้น 7,660,207 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 375,035 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 1,121,207 คน มาเลเซีย 938,173 คน รัสเซีย 558,866 คน เกาหลีใต้ 419,759 คน อินเดีย 408,543 คน
2568 โตช้ากว่า 2567
แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะเติบโตช้าลงกว่าปี 2567 เล็กน้อย ตามแรงหนุนท่องเที่ยว ส่งออกที่ลดลง ท่ามกลางความเสี่ยงสงครามการค้า การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน และภาคการผลิตไทยที่ยังไม่ฟื้นตัว
สงครามการค้ารอบใหม่คาดว่าจะส่งผลสุทธิเป็นลบต่อเศรษฐกิจไทย และเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อแนวโน้มการส่งออกในปี 2568 โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 15 ประเทศที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้าด้วยสูงสุด ทำให้มีความเสี่ยงจะโดนมาตรการการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งทางตรงจากการส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐฯ ลดลง และทางอ้อมจากการแข่งขันที่สูงขึ้นกับสินค้าจีนทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก
ปี 2568 จะยังเป็นปีที่ปั่นป่วนสำหรับภาคธุรกิจ นอกจากผลของสงครามการค้า มาตรการรัฐบางเรื่องอาจกระทบต้นทุน และประเด็นเชิงโครงสร้างสะสม ทำให้สถานการณ์โดยรวมคงไม่ดีขึ้นได้มากนักจากปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไทยจะยังฟื้นตัวต่างกัน และมีความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการขนาดกลางลงล่างในภาคการผลิตจะลดจำนวนลงอีก
นอกจากนี้ จะยังคงเห็นสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทยเติบโตอย่างช้าๆ และอยู่ในระดับต่ำในปี 2568 สอดคล้องกับหลายปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
มาเลย์เตือนเที่ยวไทย
แหล่งข่าวกล่าวว่า เรายังไม่เห็นปัจจัยที่เป็นบวกต่อการฟื้นเศรษฐกิจไทยเท่าใดนัก ตอนนี้กลับมีปัจจัยลบแทรกเข้ามาไม่น้อย ทั้งสถานการณ์กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ปราสาทตาเมือนธม ที่เริ่มมีแรงโต้จากฝ่ายไทย ถือว่าเป็นบรรยากาศไม่ดีด้านการท่องเที่ยว
หรือเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้เมื่อค่ำวันที่ 8 มีนาคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่เมื่อ 9 มีนาคม 2568 "มาเลเซียสนับสนุนอย่างแข็งขัน ขอให้เลื่อนการเดินทางที่ไม่จำเป็นไปยังพื้นที่เหล่านั้นในช่วงเวลานี้"
จากนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเยือนไทย 35.5 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว ในนั้นเป็นนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียราว 4.9 ล้านคน ทำให้มาเลเซียเป็นตลาดด้านการท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของไทยรองจากจีน
ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวจีนก็เปลี่ยนเป้าหมายไปจากประเทศไทยไม่น้อย ตั้งแต่เรื่องการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน ล่าสุดที่นายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ จากประเทศจีน เข้ามาดูแลเรื่องแก๊ง Call Center บริเวณชายแดนไทย-พม่า หลังจากที่เคยมีนักแสดงชาวจีนเคยถูกหลอกให้มาที่ประเทศไทยแล้วเดินทางต่อข้ามแดนไปแถบอำเภอแม่สอด
รัฐบาลไทยได้กดดันด้วยการการตัดไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต งดส่งน้ำมัน แม้จะได้รับคำชมจากรัฐบาลจีน แต่ไม่ได้หมายความว่านักท่องเที่ยวจะเดินทางกลับมาเที่ยวเมืองไทย
“ต้องรอดูตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนต่อไปว่าจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่ แต่เท่าที่ดูแล้วยังอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง แถมมาเจอเรื่องมาเลเซียอีก” แหล่งข่าวกล่าว
ปัจจัยลบอีกด้านหนึ่งที่ต้องจับตามองคือ นโยบายทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง และอาจกระทบต่อหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน ไทยอาจเจอทั้งทางตรงและทางอ้อมตรงนี้ต้องมาพิจารณากันเป็นแต่ละกรณีไป แต่ส่งผลให้การส่งออกของไทยอาจเติบโตได้น้อยลงกว่าเดิม
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j