xs
xsm
sm
md
lg

พบความผิดปกติคดี “ผู้กำกับโจ้” ถูกปลอมลายเซ็น-ทนายโกงเงิน สูญ 7 ล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ทนายชูชาติ” หนึ่งในทนายที่ทำคดีให้ “ผู้กำกับโจ้” เผย เคยพบการปลอมลายเซ็นของอดีตผู้กำกับขณะที่อยู่ในเรือนจำ ไม่เชื่อเจ้าตัวขอขังเดี่ยวเอง คาใจเอกสารยื่นขอขังเดี่ยวใครเป็นคนเซ็น แฉผู้กำกับโจ้ถูกทนายคนหนึ่งโกงเงินไปซื้อรถให้เมียน้อย ถึง 7 ล้าน ด้าน “ดร.กฤษณพงค์” เชื่อ มีหลายกรณีที่ทำให้เกิดความเครียดจนนำไปสู่การฆ่าตัวตาย ขณะที่ “พ.ต.อ.วิรุตม์” ระบุ มูลเหตุน่าจะมาจากเรื่องนอกเรือนจำ ชี้ คดีอาญาจบเมื่อผู้กำกับเสียชีวิต ส่วนคดีฟอกเงิน ยึดทรัพย์ต้องเดินหน้าต่อ แต่อาจสาวไม่ถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เหตุไม่มีใครซัดทอด

เป็นที่พูดถึงอย่างมากสำหรับกรณีการเสียชีวิตของ “พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล” หรือ “อดีตผู้กำกับโจ้” ขณะถูกจำคุกในคดีคลุมถุงดำผู้ต้องหายาเสพติด อยู่ภายในห้องขังเดี่ยวที่เรือนจำกลางคลองเปรม ซึ่งผลการชันสูตรออกมาแล้วว่าเป็นการฆ่าตัวตาย โดยประเด็นที่สังคมให้ความสนใจมากที่สุดในขณะนี้คงหนีไม่พ้นสาเหตุที่ทำให้ผู้กำกับโจ้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย

อีกทั้งยังมีประเด็นใหม่เมื่อนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องที่ผู้กำกับโจ้ถูกนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่โกงรถยนต์กว่า 10 คัน โดยอ้างว่าจะเอารถไปขายเพื่อนำเงินไปใช้ในการจ้างทนายเพื่อสู้คดีให้ผู้กำกับโจ้ ซึ่งหลายฝ่ายตั้งคำถามว่าเมื่อผู้กำกับโจ้เสียชีวิตไปแล้วคดีดังกล่าว รวมถึงคดีต่างๆ ของผู้กำกับโจ้จะจบลงอย่างไร?

รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิตได้วิเคราะห์ถึงมูลเหตุจูงใจในการปลิดชีพตัวเองของผู้กำกับโจ้ ว่า คนที่จะฆ่าตัวตายได้ต้องมีความเครียดหรือความกดดันอย่างถึงที่สุด มีการบีบคั้นของสภาพจิตใจอย่างมากจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ เช่น อาจจะเครียดเรื่องการอุทธรณ์คดี และเรื่องทรัพย์สินที่ถูกทางการตรวจสอบและยึดอายัดไว้เนื่องจากการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ซึ่งเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน หรือกรณที่มีข่าวว่าผู้กำกับโจ้ถูกนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลอกนำรถยนต์ไปขาย โดยอ้างว่าจะนำเงินที่ได้ไปใช้ในการต่อสู้คดีให้ผู้กำกับโจ้ ก็อาจเป็นความเครียดอีกเรื่องหนึ่งในหลายๆเรื่อง และหากมีปัญหาภายในครอบครัวด้วยก็ยิ่งเป็นปัญหาทับถม ซึ่งส่วนใหญ่การฆ่าตัวตายจะมีสัญญาณบ่งบอก

“บางกรณีอาจมีความเครียดสะสม เมื่ออยู่คนเดียวในภาวะที่รู้สึกสิ้นหวังก็อาจเป็นชนวนให้คิดสิ้นฆ่าตัวตายได้ เป็นอารมณ์ชั่ววูบ กรณีที่คุณอัจฉริยะให้ข้อมูลว่าก่อนวันที่ผู้กำกับโจ้เสียชีวิตมีการโต้เถียงกับญาติที่เข้าไปเยี่ยมที่เรือนจำก็สามารถตรวจสอบจากเทปเสียงการสนทนาระหว่างผู้ต้องหากับญาติที่เข้าไปเยี่ยมซึ่งทางเรือนจำได้บันทึกไว้ ก็จะทำให้ทางเรือนจำหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบได้ว่านี่อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้กำกับโจ้เกิดความเครียดได้ แต่อาจจะไม่จำเป็นต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน ถ้าจะเปิดเผยต่อสาธารณะต้องขออนุญาตจากทางครอบครัวก่อน” ดร.กฤษณพงค์ ระบุ

ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าผู้กำกับโจ้อาจคิดสั้นจากการถูกกดดัน ถูกกลั่นแกล้งในเรือนจำหรือไม่นั้น “ดร.กฤษณพงค์” ระบุว่า ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กัน ขึ้นอยู่กับการสืบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งการสืบหาสาเหตุที่นำไปสู่การฆ่าตัวตายจะเป็นประโยชน์ในกรณีลักษณะนี้ เพราะหากฆ่าตัวตายเพราะถูกกระทำ ถูกกลั่นแกล้ง ก็ต้องหาว่าใครเป็นผู้กระทำ ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย โดยนอกจากจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดแล้วจะได้เป็นแนวทางในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก

พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
ด้าน พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ชี้ว่า ตอนนี้ผลการชันสูตรชัดเจนแล้วว่าผู้กำกับโจ้สียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย ซึ่งญาติไม่ได้ติดใจสาเหตุการตาย แต่ติดใจในมูลเหตุที่ทำให้ผู้กำกับโจ้ฆ่าตัวตาย ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าไม่น่าจะเกิดจากแรงบีบคั้นในเรือนจำ แต่น่าจะเป็นเรื่องนอกเรือนจำมากกว่า อาจเป็นเรื่องการถูกหลอกถูกโกงตามที่เป็นข่าว หรือลึกๆ เขาอาจจะคับแค้นใจที่ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่มาเหลียวแล มีคนบอกว่าก่อนวันที่จะเสียชีวิตผู้กำกับโจ้มีการโต้เถียงกับญาติที่เข้าไปเยี่ยม ดังนั้นถ้าต้องการให้เกิดความชัดเจนว่าผู้กำกับโจ้มีความกดดันเรื่องอะไรหรือไม่ ทางเรือนจำก็ควรเปิดบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างผู้กำกับโจ้กับญาติซึ่งเป็นการคุยกันผ่านโทรศัพท์ซึ่งปกติทางเรือนจำจะบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างผู้ต้องขังกับญาติที่เข้าเยี่ยมไว้อยู่แล้ว

ทั้งนี้ คนที่จะฆ่าตัวตายได้นั้นมีหลายสาเหตุ บางคนอาจจะสิ้นหวัง แต่ไม่ได้แปลว่าคนที่สิ้นหวังทุกคนจะต้องฆ่าตัวตายเสมอไปต้องมีจุดกระตุ้นด้วย เลยฟิวส์ขาด มีความรู้สึกว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว อยู่ในขั้นที่จิตใจไม่ปกติ ขาดการควบคุมสติ ซึ่งเหตุที่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าผู้กำกับโจ้ฆ่าตัวตายก็เพราะเขาไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของไทย ความผิดปกติของคดีชั้น 14 ของนายทักษิณก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คนไม่เชื่อมั่น

“ตอนนี้ญาติอาจจะยังปิดบังเรื่องทรัพย์สิน เรื่องความบาดหมาง เลยยังไม่ชัดว่าผู้กำกับโจ้กดดันเรื่องอะไร อาจจะคับแค้นเรื่องผู้ใหญ่ ไม่เคยมาเยี่ยมยังไม่เท่าไหร่ ยังเอาสมบัติไปอีก ตอนได้ประโยชน์ก็ได้ด้วยกัน พอมีปัญหาก็ทิ้งไปเลย หรืออาจจะสิ้นหวังที่จะสู้คดี เพราะเดิมผู้กำกับโจ้เชื่อว่าเขาจะหลุดจากคดีได้ เหลือแค่ทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยไม่เจตนา โทษจำคุก 10 ปี ทำความดีก็อาจได้ลดโทษเหลือ 3-4 ปี ซึ่งก็ติดมาแล้ว 3 ปี เขาก็ยื่นอุทธรณ์สู้คดี แต่พอนานวันเข้าก็รู้ว่าเป็นเรื่องยากที่เขาจะหลุดจากคดีฆ่าคนตายโดยเจตนา โอกาสที่ศาลจะยืนคำสั่งเดิมคือจำคุกตลอดชีวิตมีถึง 90% แม้จะทำความดีโน่นนี่ ขอลดโทษก็อาจเหลือจำคุก 15 ปี กว่าจะได้ออกมาทุกคนก็คงทิ้งเขาไปหมดแล้ว สมบัติก็ไม่เหลือ เลยรู้สึกสิ้นหวัง” พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าว

ส่วนเรื่องคดีความหลังจากผู้กำกับโจ้เสียชีวิตไปแล้วจะเป็นอย่างไรนั้น “พ.ต.อ.วิรุตม์” ระบุว่า เมื่อผู้กำกับโจ้เสียชีวิตลงความผิดในคดีอาญาก็ระงับไปเนื่องจากเหตุแห่งการตาย แต่กระบวนการในการพิสูจน์และยึดอายัดทรัพย์ยังคงเดินหน้าต่อไป ซึ่งดูแล้วทรัพย์สินที่สามารถชี้แจงได้ว่าได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายน่าจะมีไม่มากเท่าไหร่ อย่างกรณีรถหรู เมื่อเจ้าตัวเสียชีวิตไปแล้วจะแสดงที่มาที่ไปอย่างไร และการฟอกเงินในขบวนการจำหน่ายรถหรูก็ย่อมเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย มีคนร่วมกระทำผิด เอาเงินไปฝากคนนั้นคนนี้ ซึ่งในทางกฎหมายก็ต้องสืบว่าโยงไปถึงใครบ้าง

“คือเรื่องส่งส่วยก็เรื่องหนึ่ง เรื่องธุรกิจที่ไม่ชอบมาพากลก็เรื่องหนึ่ง แล้วเรื่องแบบนี้ผมเชื่อว่าผู้กำกับโจ้ต้องทำธุรกิจกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แน่ แต่การสืบว่าใครเกี่ยวข้องในคดีฟอกเงินบ้างก็อาจจะยาก เพราะเมื่อผู้กำกับโจ้ตายไปก็ขาดพยานสำคัญที่จะซัดทอด พูดง่ายๆ เมื่อผู้กำกับโจ้ตายไป คนที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฟอกเงินอะไรต่างๆ เขาก็ได้ประโยชน์ไปด้วย พวกตำรวจผู้ใหญ่ที่อาจจะมาทำธุรกิจร่วมกับโจ้นี่แฮปปี้แน่นอน” พ.ต.อ.วิรุตม์ ระบุ

ส่วนกรณีทรัพย์สินของผู้กำกับโจ้ที่ถูกโกงซึ่งทางญาติได้มอบหมายให้นายอัจฉริยะไปดำเนินการฟ้องร้องนั้น “พ.ต.อ.วิรุตม์” ชี้ว่า ก็สามารถดำเนินการไปตามกฎหมาย ซึ่งทรัพย์สินที่เป็นของผู้กำกับโจ้หากพบว่าใครยักยอกก็มีความผิด แต่อาจจะมีความซับซ้อนเพราะมันมีทรัพย์ที่ถูกอายัดอยู่ ก็ต้องไปดูว่าทรัพย์สินที่ถูกโกงนั้นตามกฎหมายเป็นทรัพย์สินของใคร เป็นทรัพย์สินที่ซุกซ่อนไว้ในชื่อใครหรือไม่ ถ้าใช้ชื่อคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องก็ไปฟ้องร้องอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเป็นทรัพย์สินของผู้กำกับโจ้ที่ไม่ได้ถูกอายัดจากการยึดทรัพย์ในคดีร่ำรวยผิดปกติและฟอกเงินก็ฟ้องร้องเรียกคืนได้


ขณะที่ นายชูชาติ กันภัย หนึ่งในทนายความที่ทำคดีให้ผู้กำกับโจ้ เปิดเผยว่า หลังจากที่ผู้กำกับโจ้ถูกจับกุมที่ จ.นครสวรรค์ ก็มีคดีที่เกี่ยวข้องในหลายแง่มุม ผู้กำกับโจ้จึงมีทนายที่ทำคดีให้ 5-6 คน คือ ทนายซึ่งทำคดีที่เกิดที่ จ.นครสวรรค์ (คดีถุงดำ) ทนายที่ทำคดีรถหรู ทนายที่ทำคดีร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งอยู่ในความดูแลของ ป.ป.ช.(คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทนายที่ทำคดียึดทรัพย์ และตนซึ่งทำคดีเกี่ยวกับที่ดิน เนื่องจากผู้กำกับโจ้ถูกหุ้นส่วนที่เคยทำธุรกิจรังนกนางแอ่นร่วมกัน ยึดโฉนดที่ดินจำนวน 4 แปลงไว้ เมื่อเห็นว่าผู้กำกับโจ้ถูกจำคุกเลยไม่ยอมคืน ผู้กำกับโจ้จึงให้ตนมาดำเนินการฟ้องร้องเรียกคืนให้

ส่วนเรื่องการเข้าเยี่ยมในเรือนจำนั้น ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ใครจะเข้าเยี่ยมก็ได้ ตามระเบียบนั้นผู้ต้องขังจะต้องแจ้งไว้ตั้งแต่แรกเลยว่าจะให้ใครเข้าเยี่ยมได้บ้าง โดยมีโควตาไม่เกิน 10 คน ซึ่งผู้กำกับโจ้แจ้งรายชื่อไว้แค่ แม่ น้องสาว แฟน และทนายความซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้กำกับโจ้ ให้เข้าไปเยี่ยมได้ ส่วนเพื่อนตำรวจหรืออดีตผู้บังคับบัญชาถ้าจะเข้าไปเยี่ยมน่าจะต้องติดต่อผ่านมาทางญาติ แต่เท่าที่ทราบไม่เคยมีตำรวจท่านใดเข้าไปเยี่ยมผู้กำกับโจ้

“ช่วงปีที่แล้วผมเข้าเยี่ยมผู้กำกับโจ้เกือบทุกสัปดาห์ ก็รู้สึกว่าไม่ได้มีความเครียดอะไร แต่หลังจากเดือน ต.ค.2567 ผมติดทำคดีดิไอคอน เลยไม่มีเวลาไปเยี่ยม ประกอบกับคดีที่ดินซึ่งทำให้ผู้กำกับโจ้จะนัดขึ้นศาลในเดือน ส.ค.2568 จึงยังไม่มีเอกสารอะไรที่ต้องให้ผู้กำกับโจ้เซ็น แต่ผมก็ไลน์สอบถามจากทนายที่ทำคดีอื่นๆ ให้ผู้กำกับโจ้อยู่ตลอด ก็ทราบว่าปกติดี” ทนายชูชาติ กล่าว

สำหรับปัญหาที่อาจทำให้ผู้กำกับโจ้ไม่สบายใจนั้น “ทนายชูชาติ” ระบุว่า น่าจะเป็นเรื่องที่ถูกโกง โดยผู้กำกับโจ้เคยบ่นให้ตนฟังเรื่องที่ถูกทนายที่ทำคดีให้โกงเงิน จึงมีการเปลี่ยนทนายในคดีดังกล่าวใหม่ ส่วนเรื่องความเครียดเกี่ยวกับคดีต่างๆ นั้น ช่วงที่ตนเข้าไปเยี่ยมผู้กำกับโจ้ไม่เคยพูดถึง ไม่เคยบ่นว่าเครียด โดยคดีต่างๆ อยู่ระหว่างอุทธรณ์ ก็เป็นไปตามขั้นตอน

“ผู้กำกับโจ้เคยปรับทุกข์ว่าถูกทนายโกงเงิน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นทนายที่ทำคดีรถหรู คือจ่ายค่าทนายไปแล้ว คนที่รับดำเนินการก็ไม่ทำอะไรเลย ไม่ทำคดี ไม่เคยติดต่อ หายไปเลย ก็เลยต้องตั้งทนายคนใหม่ คนที่เกี่ยวข้องก็มีทนายกับทีมเมียน้อยทนาย เห็นว่าทนายเอาเงินไปซื้อรถให้เมียน้อย 2 คัน มีเมียน้อย 2 คน ซื้อให้คนละคัน ถูกโกงไป 6-7 ล้านได้มั้ง” ทนายชูชาติ ระบุ

นายชูชาติ กันภัย หนึ่งในทนายความที่ทำคดีให้ผู้กำกับโจ้
นอกจากนั้น ทนายชูชาติยังสงสัยว่ามีการปลอมลายเซ็นของผู้กำกับโจ้ โดย “ทนายชูชาติ” ให้ข้อมูลว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมากว่า 6 เดือนแล้ว ประมาณเดือน ก.ย.ปีที่แล้วตนได้เข้าพบและคุยอยู่กับผู้กำกับโจ้ที่ช่องพบทนายความ (ช่องหมายเลข 5) เป็นเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง ขณะเดียวกันก็มีญาติรอเยี่ยมผู้กำกับโจ้ต่อจากตน หลังจากที่พูดคุยเสร็จตนก็มารอรับเอกสารที่ส่งเข้าไปให้ผู้กำกับโจ้ลงลายมือชื่อเพื่อจะนำไปยื่นต่อศาล ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับคดีที่ตนทำอยู่ เป็นการมอบอำนาจให้ตนไปดำเนินการ แต่ที่ผิดปกติคือปรากฏว่ามีการลงลายมือชื่อของผู้กำกับโจ้และมีผู้รับรองเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ปกติระหว่างที่ตนคุยกับผู้กำกับโจ้จะมีเจ้าหน้าที่ถือเอกสารมาให้ผู้กำกับโจ้ลงลายมือชื่อต่อหน้าตนซึ่งเป็นทนาย อีกทั้งลายเซ็นดังกล่าวก็เหมือนเป็นการเซ็นเลียนแบบ

“ผมงงอยู่ว่าผู้กำกับโจ้นั่งคุยกับผมอยู่ พอคุยกับผมเสร็จ ก็มีญาติมารอคุยกับผู้กำกับโจ้ต่อ โดยที่ผู้กำกับโจ้ยังไม่เดินเข้าไปข้างในแดนเลย แล้วเขาจะไปเซ็นตอนไหน อยู่ๆ ใครเซ็นให้เขาล่ะ ผมก็เลยไม่กล้าเอาเอกสารนี้ไปยื่นต่อศาล เพราะถ้าไม่ได้เซ็นต่อหน้าผม ผมจะไม่ใช้ ลายเซ็นดูคล้ายๆ แต่ไม่เหมือน เพราะปกติลายเซ็นที่ผู้กำกับโจ้เซ็นต่อหน้าผมจะมีความคมชัดกว่า คนละแบบ ผมก็เลยเก็บเอกสารนี้ไว้ แล้วสัปดาห์ถัดมาก็เอาเอกสารไปให้ผู้กำกับโจ้เซ็นใหม่ ผมก็นึกไม่ออกว่าทำไปทำไม แต่มันไม่ใช่ลายเซ็นผู้กำกับ ผมดูรู้เลยว่ามันไม่ใช่ อาจจะเป็นเรื่องของการถือวิสาสะดำเนินการโดยไม่ได้บอกเจ้าตัว แต่ผมก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับผู้กำกับโจ้หรือโวยวายกับเจ้าหน้าที่นะ เพราะผมไม่อยากไปขัดแย้งกับใคร พอผู้กำกับโจ้เสียชีวิต ผมก็เลยย้อนนึกถึงว่า เอ...แล้วที่บอกว่าผู้กำกับโจ้ยื่นขอขังเดี่ยวเอง ใครเป็นคนเซ็น ผมแค่สงสัย ผมไม่ปรักปรำใคร ผมว่ามันเป็นไปได้ยากที่คนจะขอขังเดี่ยวเอง” ทนายชูชาติ กล่าว

ส่วนที่หลายคนมองว่าผู้กำกับโจ้ขอขังเดี่ยวเองเพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยเนื่องจากมีปัญหาขัดแย้งกับผู้ต้องขังคนอื่นนั้น “ทนายชูชาติ” กล่าวว่า จากที่ตนเห็นในเรือนจำมีแต่คนรักผู้กำกับโจ้เพราะเป็นคนมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผู้ต้องขังบางคนไม่มีญาติมาเยี่ยมเลย เวลาญาติผู้กำกับโจ้มาเยี่ยมเขาก็จะเอาเงินมาฝากให้ผู้กำกับโจ้ไว้ซื้อของกินของใช้ ผู้กำกับโจ้ก็ซื้อของกินเผื่อผู้ต้องขังเหล่านี้ด้วย เวลาตนไปเยี่ยมผู้กำกับโจ้ ผู้ต้องหาคนอื่นก็จะบอกต่อๆ กันว่าเดี๋ยวผู้กำกับออกมา ไม่เห็นมีใครเกลียดผู้กำกับโจ้เลย

ส่วนว่าคดีการเสียชีวิตของ “ผู้กำกับโจ้” จะจบลงอย่างไร จะมีบทสรุปถึงสาเหตุที่นำไปสู่การฆ่าตัวตายหรือไม่ คงต้องติดตามกันชนิดห้ามกะพริบตา!

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j
คลิก>> พบความผิดปกติคดี “ผู้กำกับโจ้” ถูกปลอมลายเซ็น-ทนายโกงเงิน สูญ 7 ล้าน - YouTube



กำลังโหลดความคิดเห็น