xs
xsm
sm
md
lg

ความแตก!! ชีแฉ “พระพล” เสพเมถุน-รอโทษปาราชิก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“พระพล-แม่ชีริน” คู่กรณีเสพเมถุนในวัดดานพระอินทร์ ฝ่ายหญิงแฉมีสัมพันธ์หลายจุดทั่ววัด พระพลโพล่งเคยมีสัมพันธ์กับอดีตชีเมื่อ 5 ชาติที่แล้ว สำนักพุทธฯ ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงสั่งพ้นวัดภายใน 7 วัน รอสอบเพิ่มหากผิดจริงต้องปาราชิก “แพรี่” เผยสูตรสำเร็จหลอกสีกาอ้างเคยเป็นผัวเมืยกันเมื่อชาติที่แล้ว นักวิชาการด้านศาสนาชี้เจ้าอาวาสอำนาจเยอะ จริง-ไม่จริงปฏิเสธไว้ก่อนไม่งั้นกระทบทั้งวัด ทุกวันนี้ยังมี ถ้าประโยชน์ไม่ลงตัว ความลับแตก แนะบวชแล้วมีความรักต้องสึก

เรื่องราวของอดีตแม่ชีริน หรือ น.ส.บุญญาพร สุนทรวัฒน์ เข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เพื่อเอาผิดกับพระครูวินัยธรอนุชา อธิปัญโญ หรือพระพล อดีตเจ้าอาวาสวัดดานพระอินทร์ ตำบลร่มเกล้า อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร โดยกล่าวหาว่า พระพล มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตนเอง ตั้งแต่เดือนเมษายน 2558 ในบริเวณวัด ซึ่งตอนนั้นตนเองเป็นแม่ชี กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่อยู่ในความสนใจของผู้คนในสังคม

เรื่องของพระและแม่ชีถูกขยายความเพิ่มเติม ถึงพฤติกรรมของพระพลที่มีสัมพันธ์กับแม่ชีตามสถานที่ต่างๆ ภายในวัด ขณะที่พระได้ออกมาปฏิเสธในเรื่องดังกล่าว

ขณะเดียวกัน เธอยังร้องไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนจังหวัดมุกดาหารอีกด้วย จนมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมีพระครูวชิรธรรมพินิต เจ้าคณะอำเภอนิคมคำสร้อย เป็นประธานประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง


เบื้องต้นสั่งพ้นวัด 7 วัน

นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดมุกดาหาร ได้รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่อง พระสงฆ์วัดแห่งหนึ่งมีพฤติกรรมไม่สมควรแก่สมณวิสัย สร้างความเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์และพระพุทธศาสนามาแล้วว่า ผู้ถูกกล่าวหาให้การภาคเสธ ยอมรับกึ่งหนึ่ง แต่ไม่ยอมรับในประเด็นการเสพเมถุน ชี้แจงยอมรับว่าคลิปเสียงเป็นเสียงตนกับอดีตแม่ชีจริง แต่เป็นเพียงแสดงการสื่อสารเท่านั้น ผู้ถูกกล่าวหายังอ้างว่าผู้ร้องเรียนมีอาการป่วยทางจิต และชอบให้แสดงการสื่อสารในเชิงชู้สาวจึงจะสงบ

คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงมีมติ ดังนี้

1.กรณีที่ พระพล ยอมรับว่ามีการพูดจาเกี้ยวพาราสีกับฝ่ายหญิงเชิงชู้สาว มีความผิดตามพระธรรมวินัย เป็นครุกาบัติ อาบัติสังฆาทิเสส เห็นควรให้มีการลงโทษตามพระธรรมวินัย คือ เข้าปริวาสกรรม 

2.เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบข้อมูลพยานหลักฐานเพิ่มเติม จึงเห็นควรให้พระพล ออกจากวัดภายใน 7 วัน นับตั้งแต่รับทราบคำวินิจฉัย และให้พระครูวิเวกศีลคุณ รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดดานพระอินทร์

คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะรวบรวมคำให้การพยานพร้อมพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายมาทำคำวินิจฉัย ซึ่งหากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการเสพเมถุน จะมีโทษถึงขั้นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ ต้องลาสิกขา ส่วนผลการพิจารณาวินิจฉัยจะเป็นอย่างไรนั้นต้องหลังจากเสร็จการสอบปากคำพยานทั้งสองฝ่าย


ทนายกองทัพธรรม

ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม กล่าวว่า กรณีมีข่าวอดีตเจ้าอาวาสพระดังที่จังหวัดมุกดาหาร เสพเมถุนกับอดีตแม่ชี รวมถึงเรื่องการบริหารการเงินภายในวัด จนเป็นข่าวโด่งดังขณะนี้ อยากบอกให้รู้ว่าเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.จังหวัดมุกดาหาร และอดีตแม่ชี คนที่มีสัมพันธ์กับอดีตเจ้าอาวาสวัดดังไปร้องเรียนหลายที่ แต่ไม่เป็นผล ไม่มีใครสนใจเลย สุดท้ายจึงทำหนังสือร้องเรียนมายังมูลนิธิทนายกองทัพธรรม

เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นเชื่อได้ว่ามีมูล ดังนั้น มูลนิธิทนายกองทัพธรรม จึงประสานทางโทรศัพท์เรียนเจ้าคณะอำเภอนิคมคำสร้อย และท่านเจ้าคณะจังหวัดมุกดาหารให้ทราบว่าผู้เสียหาย และ กอ.รมน. จังหวัดมุกดาหารร้องเรียนมายังเราและเรียนสอบถามข้อเท็จจริงพร้อมถวายคำแนะนำเรื่องการดำเนินการต่อกรณีนี้ตาม พ.ร.บ.สงฆ์ กฎมหาเถรสมาคม

ปาราชิกหรือไม่ต้องรอ

แหล่งข่าวจากวงการสงฆ์กล่าวว่า ผลสอบยังเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น โดยผู้ถูกกล่าวหาให้การปฏิเสธในเรื่องการมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน ดังนั้น ต้องมีการสอบที่ชัดเจนอีกครั้ง เราไม่ได้บอกว่าใครดี ใครไม่ดี ที่จริงคนที่ทราบดีก็มี 2 ท่านคือพระกับแม่ชีที่เป็นคู่กรณีกัน ย่อมรู้แก่ใจดีว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องแบบนี้ทั้งฝ่ายหญิงหรือชายก็ทำไม่ถูกทั้งคู่

การที่พระได้รับโอกาสเป็นใหญ่ถึงเจ้าอาวาส สามารถสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่โตได้ ย่อมทำให้คนส่วนใหญ่เกรงใจ เพราะมองว่าเป็นการทำคุณประโยชน์ให้วัด ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าพระท่านทำสิ่งที่ไม่ดีไว้จริงหรือไม่ ตอนนี้ลูกศิษย์ของวัดไม่เชื่อสิ่งที่แม่ชีรินออกมากล่าวหาพระพล

ในอีกด้านหนึ่งถ้าพระท่านทำจริง ในทางปฏิบัติแล้วต้องปฏิเสธไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นจะเกิดผลเสียกับตัวพระและวัด หลังจากนั้นค่อยว่ากันตามสภาพ ซึ่งเราเห็นในหลายกรณีสุดท้ายพระต้องสึกออกไป

เช่นเดียวกับ Facebook แฟนเพจ ไพรวัลย์ วรรณบุตร ที่โพสต์ข้อความว่า มุกที่พวกอลัชชียังใช้หลอกเอาสีกาได้เสมอ ก็คือ ชาติที่แล้วเราเคยเป็นผัวเมียกันมาก่อน #อยู่วังบาดาลไหมล่ะ


ศาสนาไม่เสื่อม-เสื่อมที่คน

เรื่องพระมีเมียนั้นดูแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย เราเคยเจอกันมาแล้วหลายกรณีแล้ว ทั้งพระยันตระ พระมิซูโอะ หรือระดับพระลูกวัด ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นความเสื่อมของพุทธศาสนา ต้องแยกให้ออก ศาสนาคือคำสอน คำสอนไม่เปลี่ยน บุคคลที่อาศัยคำสอนนั้นประพฤติตัวหลุดจากข้อห้ามต่างๆ ศาสนาไม่ได้มัวหมอง สิ่งที่เกิดขึ้นตัวบุคคลและวัดนั้นจะมัวหมองเอง มันเป็นเรื่องของบุคคล

แม้กระทั่งพระลูกวัดก็มีข่าวในลักษณะนี้เรื่อยมา สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับว่าพุทธศาสนาจะเสื่อมลงหรือไม่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล พระที่บวชอยู่ในทุกวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสมมติสงฆ์ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าใครจะควบคุมตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน
ปาราชิก 4 ข้อได้แก่ ห้ามลักทรัพย์ ห้ามฆ่าคนตาย ห้ามเสพเมถุน ห้ามอวดอุตริมนุสธรรม แม้เรื่องเสพเมถุนแม้ยังไม่ชัดเจน แต่เราได้เห็นพระพลได้กล่าวในรายการทีวีว่า “เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอดีตชี เมื่อห้าชาติที่แล้ว แต่ชาติปัจจุบันไม่เคยมีอะไรกัน” “เราอยู่วังบาดาลคุณจำไม่ได้เหรอ” เอาแค่ที่ท่านปาราชิกในข้อที่ 4 ไปแล้ว

เจ้าอาวาสใหญ่

ที่จริงหากบวชแล้วพบว่าตัวเองมีความรัก ก็ควรสึกออกไปใช้ชีวิตตามวิถีทางที่เหมาะสมได้ ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะละวางได้มากน้อยแค่ไหน อย่างกรณีพระมิตซูโอ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาคือบางท่านยังติดในลาภยศที่มีบนผืนผ้าเหลือง ลาภ สักการะ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการตัดสินใจที่จะของพระดังๆ หลายรูป บ้างเลือกทั้งเงินทองและมีทั้งสตรี

ทุกอย่างอยู่ที่คนที่มาบวชเป็นพระทั้งสิ้น บางคนประพฤติตัวอยู่ในกฎระเบียบได้เป็นอย่างดี แต่บางคนยังตัดสิ่งเหล่านี้ไม่ขาดทำให้อ่อนไหวไปกับสิ่งที่เข้ามากระทบ

วันนี้อำนาจของพระไปอยู่ที่เจ้าอาวาสเป็นหลัก ใครที่ขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสได้ย่อมมีอำนาจเหนือทุกคนในวัด ยิ่งเป็นพระสายปฏิบัติ เดินธุดงค์ ตั้งสำนักสงฆ์แล้วยกระดับขึ้นเป็นวัดได้ มีสิ่งปลูกสร้างที่สอดคล้องกับความเชื่อของคนในพื้นที่ ยิ่งเพิ่มความเคารพบูชาเพิ่มมากขึ้น ยิ่งมีสานุศิษย์มาก มีแม่ชีเข้ามาร่วมปฏิบัติธรรม หากผู้ที่เป็นเจ้าอาวาสหลงไปกับสิ่งเร้าต่างๆ โอกาสที่จะเกิดปัญหาตามมาก็มีได้เช่นกัน

ทุกอย่างอยู่ที่การลงตัวของผลประโยชน์ ถ้าสามารถบริหารจัดการได้ดีไม่เกิดความขัดแย้ง เรื่องที่เป็นความลับก็ยังคงเป็นความลับอยู่ แต่ถ้าประโยชน์ไม่ลงตัว โอกาสที่ความลับจะถูกเปิดเผยออกมาย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ

สิ่งที่เกิดขึ้นกับวัดดานพระอินทร์ ก็ไม่ได้หมายความว่า เรื่องลักษณะนี้จะเกิดขึ้นเป็นรายสุดท้าย เราเชื่อว่ายังมีพระอีกจำนวนหนึ่งที่ยังคงมีพฤติกรรมในลักษณะนี้อยู่ เพียงแค่รอเวลาให้เรื่องถูกแฉออกมา

ที่จริงเรื่องภายในวัดมีหลากหลายมิติเสพเมถุนก็ส่วนหนึ่ง ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกไม่น้อยที่วัดอาจถูกคนภายนอกติเตียนเอาได้ โดยเฉพาะวัดดังที่มีรูปเคารพบูชาที่มีชื่อเสียง ดังนั้น ทั้งพระในวัดรวมไปถึงเจ้าอาวาสต้องระมัดระวังเรื่องเหล่านี้ให้ดี และหากเกิดปัญหาขึ้นควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายสงฆ์ด้วยกันที่ควรเข้ามาจัดการแก้ปัญหา เพราะมีพระสงฆ์ที่เป็นพระปกครองตามลำดับชั้นอยู่แล้ว

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


กำลังโหลดความคิดเห็น