xs
xsm
sm
md
lg

“อาชญากรรมอำพราง” ชู “ความโลภ-ความเชื่อ” ลวงเหยื่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“รศ.ดร.กฤษณพงค์” แจง 4 ปัจจัยที่ทำให้การต้มตุ๋นที่ประสงค์ต่อทรัพย์บรรลุผล ชี้ “ดิไอคอน-ร้านทองแม่ตั๊ก” ใช้วิธีสร้างตัวตนให้คนหลงเชื่อ ตกเป็น “เหยื่อ” เพราะอยากรวยแบบง่ายๆ โดยไม่ต้องเหนื่อย ขณะที่ “ซินแสชื่อดัง” หากินกับคนที่กำลังมีปัญหาและจิตใจอ่อนแอ พร้อมระบุ ความเหลื่อมล้ำของรายได้ และค่านิยมที่ให้ยกย่อง “คนรวย” โดยไม่สนใจที่มาคือต้นตอของปัญหา แนะคนไทยเปลี่ยนค่านิยม หันมายกย่อง “คนดี”



ข่าวการต้มตุ๋นหลอกลวงที่ทำให้เหยื่อสูญเสียเงินรวมแล้วเป็นหลักร้อยหลักพันล้านดูจะเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการหลอกให้ลงทุนในธุรกิจที่มีรูปแบบไม่ต่างจากแชร์ลูกโซ่ของ “ดิไอคอนกรุ๊ป” กรณีของ “ร้านทองแม่ตั๊ก” ที่หลอกให้ลูกค้าซื้อทองจริงผสมทองปลอม กรณีของ “ซินแสชื่อดัง” ที่หลอกให้เจ้าของบ้านหลายรายทำพิธีแก้ฮวงจุ้ย เสริมดวง หรือแม้กระทั่งหลอกให้เชื่อใจแล้วชักชวนทำธุรกิจ แต่กลับโกงเงินไปหน้าตาเฉยแบบ “ทนายตั้ม”

ซึ่งพฤติการณ์เหล่านี้ถือเป็น “อาชญากรรม” หรือการกระทำผิดที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายต่อทรัพย์สินหรือบุคคลรูปแบบหนึ่ง

แน่นอนว่าเหตุการณ์ในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก อะไรที่ทำให้บางคนเลือกที่จะกระทำความผิด เลือกที่จะเป็นนักต้มตุ๋นเพียงเพื่อให้ได้ทรัพย์สินของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง? และอะไรที่ทำ “คนไทย” ตกเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า? และจะมีวิธีป้องกันหรือไม่ อย่างไร?

รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดีและประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดีและประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้การหลอกลวงโดยหวังต่อทรัพย์ของเหยื่อบรรลุผล ว่า เกิดมาจากปัจจัย 4 ประการ คือ

1.ความศรัทธา ซึ่งโดยปกติมนุษย์จะมีความเชื่อความศรัทธาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการอบรมเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรมที่บุคคลนั้นๆ ใช้ชีวิตอยู่ เช่น บางคนเชื่อเรื่องดวง เรื่องโชคลาง เมื่อหมอดูบอกว่าดวงไม่ดี ต้องบูชานั่นนี่เพื่อสะเดาะเคราะห์ก็พร้อมจะจ่าย บางคนเชื่อเรื่องฮวงจุ้ย พอชีวิตมีปัญหา แล้วมีซินแสทักว่าฮวงจุ้ยที่บ้านไม่ดีต้องแก้อย่างนั้นอย่างนี้ก็รีบจ่ายเงินให้ซินแสดำเนินการ

2.ความอยากได้อยากมี เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์มักมีความอยากมี อยากได้ อยากเป็น เช่น อยากมีเงินทองมากๆ อยากได้นั่นอยากได้นี่ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ อยากมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีขึ้น เมื่อมีคนมาชักชวนว่ามีธุรกิจที่ลงทุนน้อยแต่สามารถพลิกชีวิตให้ร่ำรวยได้ง่ายๆ ก็สนใจอยากลงทุน หรือมีคนบอกว่าทำพิธีแบบนั้นแบบนี้จะร่ำรวย จะก้าวหน้าในหน้ารที่การงานก็คิดว่าลองดู ไม่เสียหายอะไร

3.โอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายมีน้อย เพราะไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่อยากมี อยากได้ อยากเป็น แล้วจะสามารถไปถึงเป้าหมายได้ เมื่อวิธีการปกติมันยากที่จะสำเร็จพอมีคนมาแนะนำให้ทำธุรกิจที่เชื่อว่าจะสามารถร่ำรวยได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายก็พร้อมจะลงทุน หรือแนะนำว่าถ้าบูชาสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วมีโอกาสที่จะสำเร็จ ก็ยินดีจ่ายเงินเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย

4.อยากได้อะไรแบบง่ายๆ ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่อยากเหน็ดเหนื่อย ไม่อยากลำบาก หากมีวิธีการที่ทำให้สามารถได้อะไรมาแบบง่ายๆ ก็พร้อมจะทำ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนที่สามารถร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว หรือการเซ่นสรวงบูชา

ธนวันต์ จิรเจริญเวศน์ หมอดูฮวงจุ้ยชื่อดัง
ส่วนปัจจัยที่ทำให้บางคนเลือกที่จะเป็นนักต้มตุ๋นนั้น “รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์” ชี้ว่า หากพิจารณาจาก “ทฤษฎีความกดดันทางสังคม” จะพบว่าความกดดันจากสภาพสังคมที่แต่ละคนใช้ชีวิตอยู่ เช่น อาจจะมาจากคนรากหญ้าแต่อยากมีเงินเยอะๆ อยากมีบ้านหลังใหญ่ๆ มีรถดีๆ ขับ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่รายได้ไม่ถึง เพราะได้ค่าแรงวันละ 300-400 บาท จะไปซื้อบ้านราคาแพงๆ ก็ยาก จึงเริ่มมองหาลู่ทางสร้างรายได้ที่ไม่ถูกต้อง อันนี้คือพอยต์สำคัญ เมื่อมี Goal คือเป้าหมาย ก็ต้องมี means คือวิธีการ

แต่ละคนมีเป้าหมายคืออยากได้ อยากมี อยากเป็น แต่วิธีการที่จะไปถึงนั้นอาจแตกต่างกัน บางคนมีโอกาสหน้าที่การงานดี เกิดมาฐานะร่ำรวย ก็สามารถบรรลุเป้าหมายด้วยวิธีที่ไม่ผิดศีลธรรม ขณะเดียวกัน คนที่หาเช้ากินค่ำ คนรากหญ้า อาจมีความเป็นไปได้ที่จะไปถึงเป้าหมาย แต่ต้องใช้เวลาและต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นหลายเท่า คนส่วนหนึ่งจึงเลือกใช้วิธีก่ออาชญากรรม โดยมีการกระทำผิดที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลอื่นในลักษณะที่แตกต่างกัน

สำหรับรูปแบบในการก่ออาชญากรรมเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์นั้น “รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์” อธิบายว่า หากเป็นคนที่มีความรู้เรื่องศาสตร์ที่เกี่ยวกับความเชื่อต่างๆ การดูดวง ดูฮวงจุ้ย จะอาศัยความรู้ตรงนี้ไปหลอกลวงคนอื่นเพื่อเอาทรัพย์สินเพื่อตอบสนองความอยากได้อยากมีของตัวเอง หรือบางคนก็อุปโลกน์ว่าตัวเองมีวิชาอาคม เป็นร่างทรง เพื่อหากินกับคนที่มีความเชื่อแนวนี้ เนื่องจากประเทศไทยนับถือศาสนาพุทธผสมกับการประกอบพิธีกรรมแบบพราหมณ์ และมีพื้นฐานความเชื่อเรื่องผีสาง คาถาอาคม สิ่งลี้ลับต่างๆ นักต้มตุ๋นจึงใช้เรื่องเหล่านี้มาเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินของเหยื่อ เช่นกรณีของ "นายธนวันต์ จิรเจริญเวศน์" หรือ "อาจารย์อ๊อด" หมอดูฮวงจุุ้ยชื่อดัง ที่หลอกลวงให้เหยื่อทำพิธีปรับฮวงจุ้ยบ้าน โรยพระผงกระดูกผี ซื้อสิงห์ หินแกะสลักศักดิ์สิทธิ์ที่อ้างว่านำเข้าจากเมื่องจีนในราคาที่สูง 38 ล้านบาท โดยล่าสุดพบว่ามีคนที่ตกเป็นเหยื่อแล้ว 25 ราย มูลค่าเสียหายรวม 80 ล้านบาท

“คนที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่มักเป็นคนที่จิตใจอ่อนแอ หรืออยู่ในสถานการณ์ที่วิตกกังวล มีความเครียด อยู่ในภาวะที่ต้องการมีที่พึ่งพิงทางใจ เมื่อคนที่หากินกับความเชื่อมาให้ความหวังว่าต้องทำพิธีแบบนั้นแบบนี้ บูชานั่นบูชานี่แล้วจะแก้ปัญหาได้ จะประสบความสำเร็จ ทำมาค้าขึ้น ร่ำรวย มีโชคลาภ หรือมีความรักที่ดี เหยื่อก็หลงเชื่อ บางกรณีนอกจากเสียทรัพย์สินเงินทองแล้วยังเสียตัวด้วย” ดร.กฤษณพงค์ ระบุ

บรรดาบอสของ ดิไอคอนกรุ๊ป
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ กล่าวต่อว่า นักต้มตุ๋นอีกกลุ่มหนึ่งจะใช้ความโลภหรือความอยากได้อยากมีเป็นตัวล่อให้เหยื่อมาร่วมทำธุรกิจที่มีลักษณะของแชร์ลูกโซ่ อย่างกรณีของ “ดิไอคอน” หรือการหลอกขายสินค้าที่ราคาสูงแต่คุณภาพต่ำ อย่างกรณีของ “ร้านทองแม่ตั๊ก” โดยสองกลุ่มนี้จะมีรูปแบบคล้ายๆกันคือเจ้าของธุรกิจมักโชว์ความร่ำรวยและการใช้ชีวิตที่หรูหรา โชว์เงินจำนวนมากๆ โชว์บ้านหลังใหญ่ รถซูเปอร์คาร์ ภาพการไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ใช้วิธีสร้างตัวตนให้ดูน่าเชื่อถือ สร้างสตอรี่ว่าเป็นคนจนหรือชนชั้นกลางมาก่อนที่จะประสบความสำเร็จ เมื่อคนเกิดความเชื่อแล้วก็ชักชวนมาร่วมทำธุรกิจ หรือหลอกขายสินค้า เพราะเหยื่อส่วนใหญ่จะเชื่อว่ามีโอกาสที่จะร่ำรวยแบบนี้ได้ หรือเชื่อว่ารวยแล้วไม่โกง

อย่าง “บอสพอล” เจ้าของดิไอคอนกรุ๊ป ก็สร้างสตอรี่ว่าตนเองมาจากคนที่ยากจน แต่สามารถมีบ้านหลังใหญ่โต ร่ำรวยได้ด้วยธุรกิจของดิไอคอน ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าถ้าทำแบบที่ได้รับแนะนำก็สามารถประสบความสำเร็จและร่ำรวยได้เหมือนกัน มีการจัดกิจกรรมในฮอลล์ใหญ่ๆ แล้วอุปโลกน์คนที่มีสตอรี่คล้ายๆ กับเขาขึ้นมาเพื่อตอกย้ำให้เกิดความเชื่อ หรือเอาคนที่มีชื่อเสียง เช่น ดารามาพูดเพื่อสนับสนุนธุรกิจนี้ว่าถ้าไม่ดีจริงเขาคงไม่เอาชื่อเสียงมาเสี่ยง ธุรกิจนี้จึงยิ่งดูน่าเชื่อถือ แต่เบื้องหลังคือดารานักแสดงเหล่านี้มาร่วมงานเพราะได้ค่าตัวดี นอกจากนั้น ยังมีการบิวต์ให้คนที่มาร่วมกิจกรรมมีความรู้สึกร่วม เช่น ปรบมือ โห่ร้อง ให้พูดพร้อมๆ ว่า รวย รวย รวย สำเร็จ สำเร็จ สำเร็จ เมื่อทุกคนพูดไปในทิศทางเดียวกันจะเกิดการสร้าง “จิตวิทยาหมู่” ทำให้คนรู้สึกมีความหวังว่าจะรวยแบบนี้ได้

ส่วนกรณี “ร้านทองแม่ตั๊ก” ก็ใช้วิธีสร้างตัวตนให้มีความน่าเชื่อถือเช่นกัน อีกทั้งสร้างภาพว่ามีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน เพื่อให้เหยื่อเชื่อว่าเป็นคนดีคงไม่ค้าขายคดโกง และใช้ความโลภของคนในการหลอกขายสินค้า หลอกให้เชื่อว่าเป็นทองคำแท้ มีมูลค่าสูง แต่ร้านทองแม่ตั๊กนำมาขายในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด ทำให้ลูกค้าเชื่อว่าถ้าซื้อไปเก็บไว้จะได้กำไรส่วนต่างเยอะมาก

“ตามหลักอาชญวิทยา คนจะเลือกก่ออาชญากรรมที่แตกต่างกัน โดยอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และทักษะตามที่ตนเองถนัด ส่วนว่าใครจะตกเป็นเหยื่อบ้าง ต้องบอกว่าทุกคนมีสิทธิเป็นเหยื่อได้หมด ยิ่งอาศัยความเชื่อที่ไม่มีขีดจำกัด เช่น ความเชื่อเรื่องศาสนา ความศักดิ์สิทธิ์ เป็นร้อยล้านก็ยินดีจ่าย เหมือนกรณีซินแสดูฮวงจุ้ยที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ ขณะที่การหลอกให้คนมาร่วมทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่จะโชว์ภาพลักษณ์หล่อสวย โชว์ความร่ำรวย คนจำนวนไม่น้อยจะมองว่าเขารวยแล้วไม่โกงหรอก แล้วธรรมชาติของคนเราอยากได้อะไรที่ง่ายๆ ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องลำบาก ลงทุนน้อยๆ ได้กำไรเยอะๆ ดังนั้นคำพูดที่ว่าให้เงินทำงานจึงเป็นอะไรที่โดนใจ ปัจจุบันเป็นยุคดิจิทัลแล้วจะมาเหนื่อยยากทำไม ก็ไปกู้เงินมาเพื่อใช้เงินต่อเงิน แต่จริงๆในทางธุรกิจมันไม่มีอะไรที่ง่ายขนาดนั้น” รศ.ดร.กฤษณพงค์ กล่าว

กรกนก สุวรรณบุตร เจ้าของร้านทองแม่ตั๊ก โชว์นาฬิกาแบรนด์เนมและเงินสดจำนวนมากเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ ยังให้คำชี้แนะว่า สังคมไทยต้องเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องเป็นสังคมแห่งปัญญา อย่ามองคนแค่รูปลักษณ์ภายนอก อีกทั้งคนไทยต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความเท่าเทียมในสังคม จากที่ตนได้ศึกษาสาเหตุของการตกเป็นเหยื่อธุรกิจแชร์ลูกโซ่พบว่าส่วนหนึ่งมาจากความเหลื่อมล้ำของรายได้และค่านิยมของสังคมไทยที่ยกย่องคนที่มีฐานะร่ำรวย ซึ่งต่างจากประเทศในแถบยุโรป เช่น ฟินแลนด์ เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ ที่ประชากรของเขาไม่ค่อยตกเป็นเหยื่อของธุรกิจแชร์ลูกโซ่หรือมิจฉาชีพที่หากินกับความเชื่อ ประเทศเหล่านี้มีปัญหาแชร์ลูกโซ่น้อยมาก เนื่องจากช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้นแคบมาก ประเทศเหล่านี้ไม่ได้เน้นเรื่องฐานะทางการเงินแต่จะเน้นเรื่องดัชนีความสุข นอกจากนั้นการนำเรื่องพิธีกรรมความเชื่อมาใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงเพื่อเอาทรัพย์สินของเหยื่อในประเทศเหล่านี้แทบจะไม่มีให้เห็น ขณะที่ประเทศไทยนั้นช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนสูงมาก ที่สำคัญคนไทยให้การยกย่องคนที่มีฐานะ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาผลสำรวจจากสหประชาชาติ (UN) พบว่าประเทศฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีดัชนีความสุขสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก 7 ปีต่อเนื่อง ที่น่าสนใจคือหนึ่งในตัวชี้วัดได้แก่ปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันที่ค่อนข้างน้อย รายได้ประชากรต่อหัวสูง ด้านการศึกษาเป็นระบบที่เน้นการให้ความรู้ ไม่ใช่การแข่งขันทางการศึกษา ไม่ได้แข่งกันเรียน ไม่มีการวิ่งเต้นเพื่อให้ลูกได้เข้าโรงเรียนดังๆเหมือนบ้านเรา เนื่องจากมาตรฐานของสถานศึกษาแต่ละแห่งในฟินแลนด์ไม่แตกต่างกันมาก ที่สำคัญเขาไม่ได้ยกย่องคนที่มีฐานะการเงิน ในขณะที่ประเทศไทยนั้นตรงข้ามกันทุกอย่าง

“คือโครงสร้างของประเทศ โครงสร้างทางสังคม ระบบการศึกษา วัฒนธรรม และค่านิยมในสังคม ล้วนมีผลต่อความคิดและพฤติกรรมของประชากร คนไทยมีค่านิยมที่นิยมชมชอบ ยกย่องและให้เกียรติคนรวย คนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี โดยไม่สนใจว่าจะได้เงินทองหรือตำแหน่งหน้าที่มาด้วยวิธิการใด แม้ภายหลังจะพบว่าคนเหล่านี้มีความผิดและถูกดำเนินคดี แต่เมื่อข่าวซาลง สังคมยังต้อนรับและให้การยกย่องคนเหล่านี้เหมือนเดิม ดังนั้นถ้ามาตรฐานสังคมไทยยังเป็นแบบนี้ คนที่หากินกับการหลอกลวง และคนตกเป็นเหยื่อจากการต้มตุ๋นจะไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทย ซึ่งผมกล้ายืนยันเลยว่าเคสดิไอคอน และการใช้ความเชื่อความศรัทธามาเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงแบบซินแสคนดังจะไม่ใช่เคสสุดท้ายของประเทศไทย ตราบใดที่ค่านิยมของคนไทยยังยกย่องคนที่มีฐานะร่ำรวยมากกว่ายกย่องคนดี สังคมไทยต้องปรับเปลี่ยนค่านิยมตรงนี้” ดร.กฤษณพงค์ ระบุ

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


กำลังโหลดความคิดเห็น