xs
xsm
sm
md
lg

ผ่าเครือข่าย "ดิไอคอน" ตามหา “บอส” ที่หายไป?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เจาะเครือข่าย “ดิไอคอน” 3 ประสานเส้นทางโกง “เทวดา-กุนซือ-ผู้ถือหุ้น” เจอ “บอสปัน” ถือหุ้นไขว้หลายบริษัท แฉ “บอสแล็บ” คือมือไอทีที่วางระบบหลังบ้านให้ดิไอคอน พบพิรุธ ส่ง บ.พัฒนาเว็บไซต์ ร่วมหุ้นบริษัทขนส่งในเครือ ตั้งข้อสังเกต “บอสจินดา” เป็นนอมินีหรือไม่ ตามหา “วิสูตร อภิญโญวิเชียร” ผู้ดูแลระบบบัญชี หัวใจในการสอบเส้นเงิน ส่วน “ธเนตร วงษา” ปรมาจารย์ของ “บอสพอล” ปฏิเสธไม่ใช่ “กุนซือ ธ” ด้าน “เอกภพ” เผยมีเทวดาส่งร่างทรง ประทับใน “ดีเอสไอ” ลั่นใหญ่แค่ไหนก็จะตามเอาผิด ขณะที่พยานพูดถึง “เทวดาตัวใหญ่” ได้แค่ ไม่รู้ ไม่รู้

เป็นที่ฮือฮาทีเดียวสำหรับการเข้าจับกุม 18 ผู้ต้องหา “แก๊งดิ ไอคอนกรุ๊ป” ตามหมายจับใน 2 ข้อหาคือ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ภายใต้ปฏิบัติการ “หนุมานถล่มกรุง THEiCON GROUP” โดยชุดสืบสวนกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ในช่วงค่ำของวันที่ 16 ต.ค.2567 ที่ผ่านมา พร้อมกับการอายัดทรัพย์ของบรรดาบอสต่างๆ ขณะที่ประชาชนต่างให้ความสนใจว่าหลังจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถเอาผิดบุคคลดังกล่าวได้มากน้อยขนาดไหน จะนำทรัพย์สินมาคืนให้แก่ผู้เสียหายได้หรือไม่ และสามารถนำผู้ร่วมขบวนการซึ่งอยู่เบื้องหลังมาลงโทษได้หรือเปล่า?

ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้จะมีใครบ้าง และเกี่ยวข้องในแง่มุมไหน คงต้องไปเรียบเรียงกัน

“บอสพอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” เจ้าของและผู้ถือใหญ่ของ “บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด”
ทั้งนี้ มีข้อมูลสำคัญจากปากคำของพยานที่เคยอยู่ในเครือข่ายดิไอคอน โดยร่วมงานมาตั้งแต่สมัยเริ่มก่อตั้งและดูระบบหลังบ้านต่างๆ ซึ่งได้เข้าให้ข้อมูลแก่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ว่า 
 
“บริษัทดิไอคอนเริ่มธุรกิจด้วยการจดทะเบียนเป็นธุรกิจค้าปลีก ในปี 2561 แต่ทำตลาดแบบตรง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (ศคบ.) จึงมีหนังสือแจ้งเตือนไป ต่อมาดิไอคอนจึงได้เปลี่ยนรูปแบบเป็นธุรกิจตลาดแบบตรง โดยช่วงแรกนั้นบอสพอลทำธุรกิจแบบขาวสะอาด แต่หลังจากปี 2563 ได้เกิดความเปลี่ยนแปลง โดยมีเทวดา ผู้ถือหุ้น และกุนซือ เข้ามาเปลี่ยนระบบหลังบ้านทั้งหมดและเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจจากการตลาดแบบตรง มาเป็นการชวนคนซึ่งเข้าข่ายธุรกิจขายตรง แต่ไม่ได้ยื่นขออนุญาต เท่ากับว่าดิไอคอนทำธุรกิจผิดรูปแบบ และมีความผิดตาม พ.ร.บ.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน โดยในปี 63 กุนซือและเทวดาให้นอมินีเข้ามาถือหุ้น 21% เป็นหุ้นลม เพื่อรับเครื่องเซ่นแบบถูกกฎหมาย แต่บางส่วนก็ถวายเครื่องเซ่นเป็นเงินดิจิทัล USDT ซึ่งปัจจุบัน ธ.ก็ยังเป็นกุนซือให้บอสพอลอยู่ ผมยืนยันได้เลยว่าเงินที่เข้าบริษัททั้งหมดหลักแสนบาท ไม่ใช่หมื่นล้านแบบที่เป็นข่าว ตัวเลขที่เป็นข่าวมันผ่านการแต่งบัญชีมาแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องไปไล่เส้นเงินว่าบัญชีของพวกแม่ข่ายต่างๆ หรือบอสแต่ละคนมีเงินเข้าเท่าไหร่ และเส้นเงินไปถึงไหน”

ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวทำให้สามารถแยกตัวละครหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการฉ้อโกงของดิไอคอนได้เป็น 3 กลุ่ม คือ ผู้ถือหุ้น กุนซือ และเทวดา

เช็กประวัติ 4 ผู้ถือหุ้น

สำหรับในกลุ่มผู้ถือหุ้นนั้น นอกจาก “บอสพอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล” เจ้าของและผู้ถือใหญ่ของ “บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด” แล้วคงต้องรวม “บอส” บางคนไว้ด้วย เนื่องเพราะเมื่อดูจากข้อมูลของพยานและพฤติการณ์ของบรรดาบอสแล้วพบว่าอาจมีความไม่ชอบมาพากล

“มีดิจิทัลฟุตพรินต์ที่สามารถยืนยันได้ว่ามี 3 บอสที่เป็นผู้ร่วมอยู่ในขบวนการแปลงเงินบาทเป็นเงินดิจิทัล USDT และ 1 ในบอสนั้นถือหุ้นดิไอคอนด้วย เป็นคนที่บอสพอลไว้ใจที่สุด นั่นคือบอส ป. และมี 2 บอสที่ปิดเฟซบุ๊กหนี ซึ่งบอสคนหนึ่งหน้าตาสวยนะ” พยานระบุ

ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่ามีบอสของดิไอคอนหลายคนที่เคยเป็นลูกทีมของบอสพอลเมื่อครั้งที่บอสพอลยังทำงานอยู่ที่บริษัทขายตรงที่ชื่อ “เจอเนส โกลบอล” และเมื่อบอสพอลมาเปิดบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ทีมงานเหล่านี้ก็ถูกดึงมาร่วมงานด้วย ได้แก่ “บอสปัน” น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร บอสสวย- นัฐปสรณ์ ฉัตรธนสรณ์ บอสปีเตอร์-นายกลด เศรษฐนันท์ บอสหมอเอก-นายฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ และบอสแม่หญิง-น.ส.กนกธร ปูรณะสุคนธ์

“บอสปัน” น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร
ขณะที่ในส่วนของผู้ถือหุ้นนั้น นอกจาก “บอสพอล” แล้ว ยังมีอีก 4 คนด้วยกัน คือ

1.น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือบอสปั ซึ่งเป็น 1 ใน 18 คนที่ถูกจับ โดยบอสปันนั้นถือว่าเป็นคนที่มีความสนิทสนมกับบอสพอลมากที่สุด สร้างชื่อเสียงจากการขายคอร์สเรียนด้านการทำธุรกิจออนไลน์ จนผลักดันตัวเองขึ้นมาอยู่แถวหน้าของวงการขายคอร์ส และร่วมกับ “บอสพอล” ในการก่อตั้งธุรกิจดิไอคอนกรุ๊ป
 
2.นายจิรวัฒน์ แสงภักดี หรือบอสแล็บ เป็น 1 ใน 18 คนที่ถูกจับกุม โดย “บอสแล็บ” เป็นโปรแกรมเมอร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอที และล่าสุด (วันที่ 17 ต.ค.2567) ทางเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เข้าตรวจค้นบริษัท เซิร์ฟริช จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านการพัฒนาเว็บไซต์ของ “บอสแล็บ” เนื่องจากได้รับแจ้งว่าบริษัทดังกล่าวดูแลระบบหลังบ้านให้บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป

ซึ่งทั้งบอสปัน และบอสแล็บนั้นถือหุ้นในบริษัทในเครือดิไอคอน หลายบริษัท ได้แก่

1) บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ที่จดทะเบียนเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2561 โดยแจ้งเป็นธุรกิจการขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ซึ่ง “บอสปัน” ถือหุ้นอยู่ 4% (บอสพอลถือหุ้นใหญ่สุด ในสัดส่วน 75% และบอสจินดา แซ่ก๊อก ถือหุ้น 21%)

2) บริษัท ดิไอคอนการบัญชี จำกัด ซึ่งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 9 ส.ค.2565 แจ้งว่าเป็นประเภทธุรกิจเกี่ยวกับการทำบัญชีและการตรวจสอบบัญชี รวมทั้งให้คำปรึกษาด้านภาษี โดย “บอสปัน” มีชื่อเป็นกรรมการ ร่วมกับ บอสพอล และนายวิสูตร อภิญโญวิเชียร

นอกจากนั้น บอสปันยังถือหุ้นในบริษัทนี้อยู่ 1% ขณะที่ ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด ในสัดส่วน 50% และนายวิสูตร ถือหุ้นเป็นอันดับสอง ในสัดส่วน 49%

3) บริษัท เฟรนด์ชิป ฟูลฟิลเม้นท์ จำกัด ซึ่งจดทะเบียนวันที่ 15 พ.ค.2562 โดยแจ้งเป็นประเภทธุรกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้า รวมถึงคนโดยสาร ซึ่ง “บอสปัน” มีชื่อเป็นกรรมการ ร่วมกับบอสพอล และ “บอสแล็บ”

ทั้งนี้ บริษัท เฟรนด์ชิป มีผู้ถือหุ้น 3 ราย ได้แก่ บริษัท ดิไอคอนริช จำกัด 3,400 หุ้น บริษัท เซิร์ฟริช จำกัด 3,300 หุ้น และบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด 3,300 หุ้น รวมทั้งหมด 10,000 หุ้น

และจากการตรวจสอบพบว่า บริษัท ดิไอคอนริช จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ประกอบการเป็นนายหน้าจากการขายสินค้า โดยมีชื่อ “บอสปัน” เป็นกรรมการ และถือหุ้นใหญ่

ขณะที่บริษัท เซิร์ฟริช จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ประกอบกิจการออกแบบพัฒนาเว็บไซต์ ติดตั้งระบบเครือข่ายและให้เช่าพื้นที่เซิร์ฟเวอร์ และมีชื่อ “บอสแล็บ” เป็นหนึ่งในกรรมการและร่วมถือหุ้น

ทั้งนี้ ที่น่าสังเกตคือ บริษัท เฟรนด์ชิป ฟูลฟิลเม้นท์ จำกัด แจ้งดำเนินกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้า แต่บริษัทที่เข้ามาถือหุ้นกลับไม่ได้ดำเนินการด้านโลจิสติกส์ โดยบริษัทหนึ่งประกอบกิจการเป็นนายหน้า ขณะที่อีกบริษัทดำเนินการด้านการพัฒนาเว็บไซต์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการขนส่ง



ดีเอสไอบุกค้นบริษัท เซิร์ฟริช จำกัด ของ บอสแล็บ ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำระบบไอทีให้ดิไอคอน
3.จินดา แซ่ก๊อก หรือบอสจินดา เป็นมารดาของบอสพอล ซึ่งตามประวัติเป็นคนงานก่อสร้าง และไม่พบประวัติการทำธุรกิจอื่นๆแต่อย่างใด

โดยบอสจินดา ได้เข้ามาถือหุ้นในบริษัทเครือ ดิไอคอน กรุ๊ป 3 แห่ง ได้แก่

- บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ถือ 21%

- บริษัท ดิ ไอคอน เวลเนส จำกัด ถือ 0.01%

- บริษัท นิรมิตร โกลบอล จำกัด ถือ 5%

ทั้งนี้ บอสพอลอาจจะให้ “บอสจินดา” ผู้เป็นแม่ เข้ามาถือหุ้นในบริษัทเพื่อให้รายได้จากเงินปันผลยังคงอยู่ภายในครอบครัว แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า บริษัท นิรมิตร โกลบอล จำกัด ซึ่งจดทะเบียนวันที่ 15 ก.ค.2563 โดยแจ้งประเภทธุรกิจการขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งถือว่าเป็นกิจการที่ซ้ำซ้อนกับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด จึงเป็นไปได้ว่าอาจมีการตั้งบริษัทเพื่อผ่องถ่ายรายได้

อีกทั้งยังมีคนตั้งข้อสังเกตว่า หุ้น 21% ที่บอสจินดาถืออยู่ใน บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด นั้นเป็นตัวเลขที่ตรงกับที่พยานระบุว่า “กุนซือและเทวดาให้นอมินีเข้ามาถือหุ้น 21% เป็นหุ้นลม เพื่อรับเครื่องเซ่นแบบถูกกฎหมาย” ซึ่งประเด็นนี้จึงเป็นเรื่องที่ทางตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องตรวจสอบต่อไป




4.นายวิสูตร อภิญโญวิเชียร เป็นหนึ่งในกรรมการใน “บริษัท ดิไอคอนการบัญชี จำกัด” ร่วมกับบอสพอล และบอสปัน โดยนายวิสูตรนั้นไม่ปรากฏชื่อใน 18 คนที่ถูกจับกุม

สำหรับบริษัท ดิไอคอนการบัญชี จดทะเบียนเมื่อวันที่ 9 ส.ค.2565 โดยแจ้งว่าเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการทำบัญชีและการตรวจสอบบัญชี รวมทั้งให้คำปรึกษาด้านภาษี โดยมีผู้ถือหุ้นในบริษัท 3 ราย ได้แก่

- บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด สัดส่วน 50%

- นายวิสูตร อภิญโญวิเชียร ถือหุ้นในสัดส่วน 49%

- บอสปัน ถือหุ้นในสัดส่วน 1%

โดยจากข้อมูลนำส่งงบการเงินระหว่างปี 2565-2566 พบว่าในช่วงเวลาแค่ 1 ปี 5 เดือน บริษัทมีรายได้รวมถึง 582,272 บาท

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าบริษัท ดิไอคอนการบัญชี ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี และการให้คำปรึกษาด้านภาษี ซึ่งเป็นกิจการที่ไม่สอดคล้องกับธุรกิจหลักของดิไอคอน กรุ๊ป ที่เน้นการสร้างเครือและขายสินค้า อย่างไรก็ดี เชื่อว่าบริษัท ดิไอคอนการบัญชี น่าจะเป็นบริษัทที่ทำบัญชีให้เครือดิไอคอน กรุ๊ป ทั้งหมด

ขณะที่ “นายวิสูตร อภิญโญวิเชียร” ซึ่งถือหุ้นถึง 49% ก็เป็นบุคคลโนเนม ไม่พบข้อมูลในฐานข้อมูลโซเชียลต่างๆ พบเพียงอย่างเดียวคือมีบุคคลที่ชื่อ “วิสูตร อภิญโญวิเชียร” ปรากฏใน facebook ซึ่งนายวิสูตรดังกล่าวประกอบกิจการค้าไม้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำบัญชี และปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัททำบัญชีนั้นถือเป็น “หัวใจสำคัญ” ในการตรวจสอบเส้นเงินของเครือไอคอน กรุ๊ป ทั้งหมด หากแต่ว่า ณ วันนี้ นายวิสูตรหายไปไหน? เหตุใดจึงเหมือนบุคคลไร้ตัวตน



“นายธเนตร วงษา” นักธุรกิจที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการธุรกิจขายตรง และอดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.
นาย ธ.กุนซือ?

จากกรณีที่พยานในคดีดิไอคอน เปิดเผยว่า "บอสพอลมีกุนซืออยู่เบื้องหลัง อักษรย่อ ธ. เป็นคนคิดกระบวนการทุกอย่าง โดยกุนซือ ธ.เคยลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. กุนซือทำงานร่วมกับเทวดา และคำว่า ดิไอคอน บอสพอลไม่ได้เป็นคนคิด แต่กุนซือเป็นคนคิด รวมถึงกระบวนการทุกอย่าง และผมยังมีหลักฐานว่า ปัจจุบัน ธ.ยังเป็นกุนซือให้บอสพอลอยู่"

ขณะที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ระบุว่า “ธ เป็นลาสบอส หรือบอสคนสุดท้าย เป็นอาจารย์ของบอสพอล และปรมาจารย์ของธุรกิจขายตรงแบบเครือข่าย”

ซึ่งคำใบ้ดังกล่าวทำให้หลายคนพุ่งเป้าไปที่ “นายธเนตร วงษา” นักธุรกิจที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการธุรกิจขายตรง และอดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.

ขณะที่ นายธเนตร ก็ออกมายอมรับว่า สนิทกับบอสพอล ซึ่งตนเรียกว่าน้องพอล ส่วนพอลเรียกตนว่า "ป๋า" เนื่องจากตนเคยทำขายตรงที่บริษัท เจอเนส โกลบอล และมีพอลเป็นทีมงาน ต่อมาพอลไปเปิดดิไอคอน ส่วนตนยังทำที่เจอเนสเหมือนเดิม แต่ปัจจุบันไม่ได้ทำแล้ว ส่วนที่บอกว่า ตนไปถือหุ้นของดิไอคอน 21% นั้นไม่เป็นความจริง ตนไม่มีนอมินี และไม่เคยให้คำแนะนำกับดิไอคอนแต่อย่างใด

“ในตอนนั้น พอลเป็นลูกทีมของผมที่เจอเนส อยู่กันมา 7 ปี ตอนนั้นก็สนิทกัน โดยที่ผมเป็นอัปไลน์ของพอล ผมเห็นแววของพอลตั้งแต่ยังไม่ร่วมงานกัน พอลเป็นคนเก่งคนหนึ่ง และพอลออกจากเจอเนสไปเปิดดิไอคอน เราไม่ได้เกี่ยวกันแล้ว แต่มีแชตกันบ้าง หลังสุดคือเมื่อเดือนที่แล้ว จนถึงตอนนี้ถือว่าสนิทกัน” นายธเนตร กล่าว

ส่วนว่า นายธเนตร กับกุนซือ ธ จะเกี่ยวข้องกันหรือไม่อย่างไรนั้น คงต้องให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป

นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด
เทวดามีกี่องค์

จากที่พยานในคดีดิไอคอน ได้ให้ข้อมูลว่า “บอสพอลมีความใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ระดับสูงในรัฐบาล มีการดูแลกัน มีการเซ่นไหว้เทวดาอยู่ โดยใช้เงินสดแปลงเป็นสกุลดิจิทัล มีหลักฐานด้วยว่าไปเบิกเงินสดที่ไหน และไปแลกเงินคริปโต USDT ที่ไหน ที่ต้องใช้ USDT เพราะสกุลเงินนี้ค่อนข้างเสถียร โดย 1 USDT เทียบเท่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคนที่รับแลกเงินนี้เป็นกลุ่มจีนเทา เนื่องจากกลุ่มจีนเทาต้องการเงินบาทเพื่อนำไปใช้ลงทุนในธุรกิจในประเทศไทย โดยพบว่าจีนเทากลุ่มนี้นำเงินไปลงในโครงการคอนโดมิเนียมที่ดำเนินการก่อสร้างในช่วงโควิด”

ทำให้หลายฝ่ายอยากรู้ว่า เทวดาเป็นใคร และมีกี่องค์?

ซึ่งคนที่รู้เรื่องนี้ดีคงหนีไม่พ้นพยานในคดีดิไอคอน และนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ซึ่งเป็นผู้ที่พยานในคดีดิไอคอนเข้ามาให้ข้อมูลและขอความคุ้มครอง โดยนายเอกภพได้พาพยานไปแจ้งความดำเนินคดีบอสทุกคน ในความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้เงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ฉ้อโกงประชาชน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และความผิดฐานฟอกเงิน โดยไปแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กระทั่งนำมาสู่การจับกุมบอสทั้ง 18 คน ตามที่เป็นข่าว

สำหรับคำถามที่ว่าพยานมีกี่องค์นั้น พยานให้ข้อมูลว่า “มีการจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จ่ายไปหลัก 10,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเทวดามีหลายคนที่คุ้มครอง 4 หน่วยงานหลัก ทั้ง สคบ. ปคบ. ดีเอสไอ และ สอท. โดยเทวดาเป็นคนนำเงินไปจัดสรรให้แต่ละหน่วยงานเอง แต่เทวดาไม่ได้รับโดยตรง จะมีหน้าเสื่ออีกที”

แต่เมื่อถูกถามว่า มีเทวดาที่เป็นนักการเมืองใหญ่หรือไม่ พยานก็ตอบว่า “ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้”

ขณะที่ นายเอกภพ เปิดเผยว่า เทวดาอยู่ประเทศไทย เป็นผู้ชาย มีอำนาจมาก และเทวดาชอบกินเงินดิจิทัล ซึ่งก่อนหน้านี้เทวดาให้รัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นหน้าเสื่อคอยคุย แล้วมีเทวดาใน สคบ.นอกจากนั้น ดีเอสไอ ถูกเทวดาแผลงฤทธิ์เช่นกัน เพราะในช่วงปี 64-65 เทวดาได้มีการฝากฝังข้าราชการท่านหนึ่งมาอยู่ที่ดีเอสไอ ให้เป็นผู้มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบหน่วยงานที่กำกับหรือสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่โดยตรง มีผลต่อการตัดสินใจ เพราะมีการล็อกสเปกฝากฝัง ต้องเป็นคนนี้มาคุม เพื่อหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน คนของเทวดาจะได้คุ้มครองบริษัทได้ แต่ข้าราชการรายนี้ไม่ถึงขั้นมานั่งตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ

“คุณพอลอาจจะบอกว่าไม่รู้ไม่เห็น แม่ข่ายไปทำกันเอง แต่จากสิ่งที่ทำทั้งหมดเนี่ยมันปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ผมยืนยันว่าจะเอาผิดทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งแม่ทีม แม่ข่าย บอสทุกระดับ ไปจนถึงเหล่าเทวดที่รับเงินตรงนี้ เส้นเงินไปถึงตรงไหนจะอาผิดทั้งหมด เพื่อหยุดยั้งขบวนการนี้ เพราะเงินที่ได้ไปเป็นเงินที่ได้มาจากเลือดและน้ำตาของประชาชน ซึ่งแต่ละกลุ่มฐานความผิดก็อาจจะแตกต่างกันออกไป” นายเอกภพ กล่าว

ส่วนว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเอาผิดบุคคลเหล่านี้ได้แค่ไหน จะเอาเงินกลับมาคืนผู้เสียหายได้มากน้อยเพียงใด และจะสาวไปถึงเทวดาแต่ละองค์ได้หรือเปล่า ประชาชนอย่างเราๆ คงต้องติดตามกันต่อไป!!

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j
กำลังโหลดความคิดเห็น