xs
xsm
sm
md
lg

คำร้อง “ธีรยุทธ” อาจทำ “เพื่อไทย” ถูกยุบ “อุ๊งอิ๊ง” หลุดนายกฯ ส่ง “อนุทิน” ขึ้นแทน!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“รศ.ดร.พิชาย” ระบุคำร้องของ “ธีรยุทธ” ประเด็นนักโทษชั้น 14 ทำ “ทักษิณ-พท.” หนาว เหตุผลสอบของกรรมการสิทธิฯ ชี้ชัดแม้วไม่ได้ป่วยหนัก จนท.ส่อทุจริต-เอื้อประโยชน์ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าผิด “ทักกี้” ต้องกลับมาติดคุก รับโทษเพิ่มอีก 6 ปี นำไปสู่การยุบ “เพื่อไทย” ในฐานะผู้สั่งการ เป็นเหตุให้ “อุ๊งอิ๊ง” ถูกตัดสิทธิการเมือง 10 ปี หลุดเก้าอี้นายกฯ จำส่งไม้ต่อให้ “อนุทิน”



สร้างแรงสั่นสะเทือนให้การเมืองไทยไม่น้อยทีเดียวสำหรับกรณีที่ “นายธีรยุทธ สุวรรณเกสร” มือยุบพรรคก้าวไกล ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยสั่งการให้ “นายทักษิณ ชินวัตร” ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ซึ่งการกระทำดังกล่าวแบ่งเป็น 6 กรณีด้วยกัน

เนื่องด้วยหากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองชนิดที่หลายฝ่ายนึกไม่ถึง ส่วนว่าจะส่งผลอย่างไรบ้างนั้นคงต้องไปฟังมุมมองจากกูรูทางการเมือง

“รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต” ผอ.หลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
“รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต” ผอ.หลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ชี้ว่า เบื้องต้นต้องรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องของนายธีรยุทธหรือไม่ อย่างไร ซึ่งถ้าศาลรับคำร้องก็เดินหน้าต่อ แต่ถ้าไม่รับคำร้องก็ตกไป โดยหากรับพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้ทั้ง 6 ประเด็น และพิจารณาว่าแต่ละประเด็นจะวินิจฉัยอย่างไร ทั้งนี้ โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าจากทั้ง 6 ประเด็นที่ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้นประเด็นที่น่าจะมีผลต่อนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทยมากที่สุดคือประเด็นที่ 1 ซึ่งนายธีรยุทธ ร้องว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 คือนายทักษิณ ชินวัตร ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษ ให้เหลือโทษจำคุกเพียง 1 ปี แต่จากข้อมูลหลักฐานเชื่อว่านายทักษิณได้ใช้ให้ผู้ถูกร้องที่ 2 คือพรรคเพื่อไทย เป็นเครื่องมือในการควบคุมสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้เอื้อประโยชน์แก่ตัวนายทักษิณ ในระหว่างที่เขาต้องโทษจำคุกได้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อที่จะไม่ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการฝ่าฝืนไม่น้อมรับโทษจำคุกในเรือนจำตามพระบรมราชโองการ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้เกิดการเซาะกร่อน บ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สุด

โดยมีการนำผลสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แนบในคำร้องดังกล่าวด้วย ซึ่งหากพิจารณาจากผลสอบดังกล่าวซึ่งได้สรุปว่านายทักษิณ ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น และไม่อาจเชื่อได้ว่านายทักษิณ ป่วยจนต้องเข้ารับการรักษานานถึง 181 วัน อีกทั้งการกระทำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลตำรวจ และผู้ที่เกี่ยวข้องยังเข้าข่ายเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคล อันอาจเป็นการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ก็อาจฟังได้ว่าข้อร้องเรียนนี้มีมูล และหากสามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่านายทักษิณ ไม่ได้ป่วยจริงจะส่งผลให้คำร้องในประเด็นนี้มีน้ำหนัก

“หากศาลรัฐธรรมนูญพบว่าคุณทักษิณ ไม่ได้ป่วยจริงแต่ไปนอนที่โรงพยาบาลตำรวจ หรือกลับไปพักที่บ้าน จะเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าคุณทักษิณ ไม่น้อมรับโทษจำคุกในเรือนจำตามพระบรมราชโองการ ทั้งที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว ขณะที่พรรคเพื่อไทยในฐานะผู้นำรัฐบาลอาจจะมีส่วนทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ ศาลจะสั่งให้คุณทักษิณ และพรรคเพื่อไทยเลิกกระทำการดังกล่าว แต่ทั้งนี้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทยโดยตรงเนื่องจากเป็นการร้องหลังจากการกระทำเหล่านี้ได้ผ่านไปแล้ว แต่คำวินิจฉัยของศาลจะเป็นสารตั้งต้นที่นำไปสู่การยื่นคำร้องเพื่อเอาผิดนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทยต่อไป” รศ.ดร.พิชาย กล่าว

นายธีรยุทธ สุวรรณเกสร ผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
รศ.ดร.พิชาย อธิบายต่อว่า สำหรับผลพวงที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณนั้น นายธีรยุทธ หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งอาจจะนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไปร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้นำตัวนายทักษิณ กลับไปรับโทษจำคุกตามกำหนดเวลาเดิมคือ 1 ปี นอกจากนั้น เมื่อมีหลักฐานชัดเจนว่านายทักษิณ ได้รับอภิสิทธิ์จากกรมราชทัณฑ์ทำให้ไม่ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำ ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะมีความผิดตามมาตรา 157 ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะที่ตัวนายทักษิณ ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดจะต้องรับโทษ 2 ใน 3 ด้วย

ส่วนกรณีพรรคเพื่อไทยนั้นเนื่องจากผู้ร้องได้ร้องว่าการกระทำดังกล่าวของพรรคเพื่อไทยในฐานะผู้ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้น การดำเนินการขั้นต่อไปจะเป็นไปตามกระบวนการเดียวกับการยุบพรรคก้าวไกล คือหากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าพรรคเพื่อไทยมีความผิดตามคำร้องของนายธีรยุทธ ขั้นต่อไปนายธีรยุทธ หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็อาจจะนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไปร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ยื่นยุบพรรคเพื่อไทย ซึ่งหาก กกต.พิจารณาแล้วเห็นว่ามีหลักฐานชี้ชัดว่าเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจ มีพฤติการณ์เซาะกร่อนบ่อนทำลาย และเป็นการกระทำที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กกต.จะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคเพื่อไทย แต่หาก กกต.เห็นว่าไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง คำร้องก็ตกไป

“ในส่วนของคุณทักษิณ อาจจะได้รับโทษเพิ่มขึ้น คือนอกจากโทษจำคุกในคดีเดิม จำนวน 1 ปีแล้ว อาจจะต้องรับโทษในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดกับการกระทำผิดตามมาตรา 157 ของรัฐมนตรีและบรรดาข้าราชการที่เกี่ยวข้องอีกด้วย โดยคุณทักษิณ จะได้รับโทษ 2 ใน 3 ซึ่งโทษสูงสุดของมาตรา 157 คือติดคุก 10 ปี ดังนั้น คุณทักษิณ อาจจะต้องติดคุกอีก 6 ปีกว่า ขณะที่ในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้น ถ้าพฤติการณ์เข้าข่ายเซาะกร่อนบ่อนทำลาย อาจจะถูกยุบพรรค อย่างไรก็ดี เบื้องต้นขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญว่าจะเขียนคำวินิจฉัยในคดีที่นายธีรยุทธร้องไปว่าอย่างไร” รศ.ดร.พิชาย ระบุ

นายทักษิณ ชินวัตร
รศ.ดร.พิชาย ชี้ว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายทักษิณ และพรรคเพื่อไทยมีความผิดตามคำร้องของนายธีรยุทธ จะส่งแรงสั่นสะเทือนต่อการเมืองไทยไม่น้อยทีเดียว ทั้งต่อตัวนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย โดยในส่วนนายทักษิณ นั้นอาจเป็นจุดที่ทำให้เขาไม่มีโอกาสกลับมาเดินบนเส้นทางการเมืองได้อีก ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็สุ่มเสี่ยงที่จะถูกยุบพรรค ซึ่งแม้ว่านอกจากกรรมการบริหารพรรค จำนวน 23 คนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ส.ส.และสมาชิกพรรคจะสามารถย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ เช่นเดียวกับที่ผ่านมา แต่อย่าลืมว่าหนึ่งในกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองคือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีฐานะเป็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย”

“หากศาลวินิจฉัยว่าคุณทักษิณ มีความผิด และส่งผลให้คุณทักษิณ ต้องกลับมาเข้าคุก ซึ่งคุณทักษิณ คงยอมไม่ได้ และอาจจะเดินทางออกจากประเทศไทยอีกครั้งก็เป็นได้ ส่วนพรรคเพื่อไทยในกรณีร้ายแรงสุดคือถูกยุบพรรค จะส่งผลให้คุณอุ๊งอิ๊งถูกตัดสิทธิทางการเมืองถึง 10 ปี และหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยอัตโนมัติ ซึ่งเมื่อพรรคถูกยุบความเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยจะสิ้นสุดลงด้วย ดังนั้น จึงต้องมีการฟอร์มรัฐบาลขึ้นใหม่ โดยเชื่อว่าน่าจะเป็นขั้วรัฐบาลเดิม โดยมีเพื่อไทยในชื่อพรรคใหม่เป็นแกนนำ แต่ที่เปลี่ยนไปคือตัวนายกรัฐมนตรีจะมาจากการพรรคการเมืองอื่น เนื่องจากเพื่อไทยเหลือแคนดิเดตนายกฯ อีกเพียงคนเดียวคือ นายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งมีปัญหาด้านสุขภาพ โดยคาดว่าหากคุณอุ๊งอิ๊งเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง คนที่จะมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปคือคุณอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคอันดับสองในรัฐบาล และเพิ่งจะพาคุณเนวิน ชิดชอบ เข้าพบคุณทักษิณเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา” รศ.ดร.พิชาย กล่าว



ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่


Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j


กำลังโหลดความคิดเห็น