‘สุรนันทน์’ แฉเหตุ ‘เท้ง-ปชน.’ แพ้ อบจ.ทุกสนาม แนะเรียนรู้กลยุทธ์ ‘ป๋าเหนาะ’ รับมือคู่ต่อสู้ ‘ภูมิใจไทย’!

‘สุรนันทน์ เวชชาชีวะ’ อดีตรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลทักษิณ ชี้จุดอ่อนพรรคประชาชนในการเลือกตั้งนายก อบจ.แพ้ทุกสนาม ต้องรีบปรับยุทธวิธี เรียนรู้จับมือบ้านใหญ่ในพื้นที่ สร้างคะแนนจัดตั้งและผูกสัมพันธ์ เหมือนยุค ‘ป๋าเหนาะ’ ไม่เคยซื้อเสียงแต่รู้จักให้ แนะลดอีโก้ ดึงคนเก่ง คนดี มีประสบการณ์ทั้งผู้บริหารเอกชน ข้าราชการผู้ใหญ่มาช่วยผลักดันพรรค เร่งสร้างชุดความคิดระดับจังหวัดเพื่อสร้างโอกาสในสนามท้องถิ่น และเตรียมรับมือระดับชาติที่คู่ต่อสู้คือพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่เพื่อไทย แจงอย่าหลงเงาตัวเอง การเมืองวันนี้สร้างทายาทอสูรกันแล้ว ด้านแหล่งข่าวระดับแกนนำพรรครัฐบาล แจงพรรคประชาชน ต้องปรับ mindset วางตำแหน่งให้ถูกที่ ติงอย่าเอาหมูปิ้งจากเอ็มโพเรียมไปขายชาวบ้าน 4 ไม้ 100 เพราะชาวบ้านชอบไม้ละ 10 หรือ 7 บาท

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในปี 2567 ที่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นหลายจังหวัด มีสาเหตุจากบรรดานายก อบจ. เหล่านั้นลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระในวันที่ 19 ธค.2567 และการลาออกครั้งนี้ หลายๆ คนให้ความเห็นเกิดจากกติกาของการเลือกตั้งว่าก่อนที่นายก อบจ.จะหมดวาระในช่วง 6 เดือน ทีมบริหารไม่สามารถอนุมัติโครงการหรือขับเคลื่อนงานใดๆ ที่จะเป็นประโยชน์กับพี่น้องในพื้นที่ได้ อีกทั้งมีความเสี่ยงที่จะผิดกติกาได้เช่นกัน

ขณะเดียวกัน พรรคก้าวไกล ปัจจุบันคือพรรคประชาชน (ปชน.) ก็มีความพยายามที่จะช่วงชิงการเมืองท้องถิ่น โดยมีคณะก้าวหน้า นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และแกนนำอีกหลายๆ คนออกไปขับเคลื่อน แต่ทุกพื้นที่ที่คณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล ส่งผู้สมัครชิงนายก อบจ. ไม่ได้รับการตอบรับและพ่ายแพ้ในทุกๆ แห่ง

ล่าสุด การเลือกนายก อบจ.ราชบุรี เมื่อ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งขับเคลื่อนโดยพรรค ปชน. ที่ขนทีมลงไปแบบเต็มสูบ เรียกว่าหัวหน้าพรรคทุกรุ่นลงไปที่ราชบุรี ไม่ว่าจะเป็น นายธนาธร นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าเท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และแกนนำคนอื่นๆ มากมาย ‎

ราชบุรี จึงเป็นพื้นที่เป้าหมายที่พรรค ปชน.เชื่อว่าจะสามารถปักธงได้สำเร็จเพราะเป็นจังหวะที่กระแสแรงมาก จากการที่พรรคก้าวไกลถูกยุบ แต่ก็ยังพ่ายเช่นเดิม จึงทำให้บรรดาคอการเมืองคิดว่าบรรดาแกนนำควรอย่างยิ่งที่จะสรุปบทเรียนถึงสาเหตุความพ่ายแพ้ในทุกๆ สนามท้องถิ่น เพราะไม่เช่นนั้นโอกาสจะได้รับชัยชนะในสนามท้องถิ่นที่จะมีอีกหลายแห่งดูจะสิ้นหวังและอาจลามไปถึงการเมืองระดับชาติที่กำลังจะมีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ในจังหวัดพิษณุโลก และศึกเลือกตั้งในปี 2570 ได้เช่นกัน




นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และอดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บอกว่า การเลือกตั้งนายก อบจ.ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เป็นเพราะบรรดานายก อบจ. ลาออกก่อนครบกำหนด เพราะถ้ารอจนครบกำหนดเลือกตั้งพร้อมกันเกรงว่ากระแสพรรคก้าวไกลจะมาแรงและทำให้พ่ายการเลือกตั้ง จึงชิงความได้เปรียบตรงนี้

“นายก อบจ.ทยอยลาออกเพื่อเลือกใหม่ มันหน้าด้าน มันฉลาดหาช่องโหว่ มันเป็นเกม เพื่อหนีกระแสก้าวไกล ซึ่งไม่ควรกระทำ ดังนั้นที่ก้าวไกลแพ้ทุกสนามก็ต้องมาสรุปบทเรียน ต้องปรับตัว ซึ่งพรรคนี้กระแสแรงเหมือนพรรคไทยรักไทยของนายทักษิณ ชินวัตร ในปีแรก จริงๆ การเมืองจะชนะได้ต้องบวกการจัดตั้ง แต่ก้าวไกลไม่มีตรงนี้”

ขณะที่พรรคประชาชนมีจุดอ่อนที่ปรากฏชัดเจน!

ประการแรก จะต้องเรียนรู้และจับมือกับบ้านใหญ่ก็คือคนในพื้นที่เลือกตั้งนั่นเอง แต่เป็นบ้านใหญ่ที่ดี ไม่ใช่พวกอิทธิพลหรือค้ายา ถ้าเราไปดูกันให้ลึกบ้านใหญ่ในพื้นที่ จะมีความทะเยอทะยาน อยากให้ลูกหลานเป็น ส.ส. ฉะนั้น ก้าวไกล ได้แน่ เพื่อดึงคะแนนและทำกระบวนการจัดตั้งให้เข้มแข็งกว่าที่เป็นอยู่

“ยุคอนาคตใหม่มีการจัดตั้ง ถ้าพรรค ปชน.ทำอย่างนี้ได้จะดีมาก และการจัดตั้งนั้นไม่ต้องใช้เงิน ใช้ความเชื่อ มีการอบรม ในที่สุดคนพวกนี้จะรักพรรคคุณ แต่คุณควรจ่ายค่ารถให้คนที่เข้าร่วมด้วย เหมือนอย่างที่ป๋าเหนาะ (เสนาะ เทียนทอง) อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทยใช้ ซึ่งป๋าเหนาะไม่เคยใช้เงินซื้อเสียงเลยจริงๆ เพียงแต่ให้ค่ารถ เพราะคนที่มาแต่ละคนอยู่ไกลมาก แค่ 50 บาท”

ประการที่ 2 พรรคต้องหาและเลือกคนที่มีชื่อเสียงในจังหวัดอย่าเอาโนเนมจนเกินไป การได้โนเนมเกินไป เป็นเพราะพรรคประมาท เชื่อว่ากระแสพรรคจะดึงคะแนนประชาชนมาได้

ประการที่ 3 พรรคต้องเคลียร์เรื่องสถาบันให้ชัดเจนเพราะไม่ว่าคนต่างจังหวัด หรือ กรุงเทพฯ ล้วนแต่รักสถาบันทั้งสิ้น

“3 องค์ประกอบที่พรรคต้องตีโจทย์ให้แตก ขณะนี้ leadership แม้คุณเท้ง หัวหน้าพรรคจะเก่ง แต่ก็เป็น ส ส. แค่สมัยเดียว ซึ่งคุณเท้งไม่ใช่ธนาธร และไม่มีเสน่ห์ อย่างพิธา ถ้ามอง สใส. ก้าวไกล ตอนนี้ ถ้าพ้นจาก ศิริกัญญา ตันสกุล คนอื่นไม่มีใครรู้จัก พรรคจึงต้องประเมินตัวเองใหม่”

อีกทั้งพรรค ปชน. ต้องประเมินคู่ต่อสู้และมองไปที่สนามใหญ่ด้วย ซึ่งคู่ต่อสู้จากนี้ไปคือพรรคภูมิใจไทย วันนี้แม้พรรคภูมิใจไทยจะไม่ใช่พรรคกระแส แต่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะต้องวางตัวเองเป็นพรรคกระแสแน่ จะต้องได้ ส.ส.เขต 100 กว่าและจะต้องทำคะแนนให้ได้มากเพื่อให้ได้ ส ส.บัญชีรายชื่ออย่างน้อยอาจถึง 20 คน เพื่อผลักดันนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป

“เวลาที่เหลืออยู่ก่อนเลือกตั้งปี 2570 ภูมิใจไทย จะต้องผลักดันนโยบายออกมาเป็นชุดๆ เพื่อให้ได้ ส ส.มากกว่าเพื่อไทยหรือพรรคอื่นๆ เพื่อเป็นแกนนำในการจับมือตั้งรัฐบาล ถึงได้บอกว่าพรรค ปชน.ต้องเตรียมพร้อมรับมือ”

นายสุรนันทน์ บอกอีกว่า พรรค ปชน. ต้องปรับเปลี่ยนคือจะต้องมีการผสมผสานคนที่มีประสบการณ์เข้ามาช่วยขับเคลื่อนพรรค จะคิดเพียงว่าพวกเราอายุ 30-40 ปี เป็นกลุ่มคนที่มีพลัง และคนรู้จักมากมาย แต่ภาพลักษณ์ภายนอกไม่มี ไม่ได้อีกต่อไป

“เปรียบเทียบเหมือนเราตั้งบริษัทใหม่ ต้องหาผู้ใหญ่ที่มีชื่อ มีเครดิตทางสังคมมา มานั่งเป็นบอร์ด โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมือง อาจเป็นอดีตผู้บริหารบริษัท หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่สัก 3-4 คน ผมว่าน่าจะไปได้ดี”

ที่สำคัญคนในพรรค ปชน.ต้องเปลี่ยนความคิด ลด EGO (อีโก้) ที่มีอยู่สูงๆ ลงบ้าง โดยเฉพาะวิธีคิดที่ว่าเดี๋ยวพวกมึงก็ตาย แต่ที่ไหนได้บรรดาพรรคการเมืองใหญ่ได้วางทายาทอสูรเต็มไปหมด เป็นการเมืองแบบระบบอุปถัมภ์ สืบทอดต่อกันได้โดยไม่ต้องมีประสบการณ์ทางการเมืองอะไรทั้งสิ้น

“พรรคประชาชนต้องเร่งปรับตัวเพื่อชิงเลือกตั้งท้องถิ่น ในพื้นที่สนามใหญ่ที่เคยชนะมาแล้วทั้งใน กทม.และปริมณฑลกับภาคตะวันออก อย่าประมาท เพราะถ้าปล่อยให้พวกเขาใช้อำนาจรัฐบาลจับมือกับนักการเมืองในพื้นที่ได้ พรรคประชาชนจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ยาก”


นอกจากนี้ สิ่งที่จะเป็นจุดขายให้พรรค ปชน.ได้ จะต้องหากลยุทธ์นำเสนอชุดความคิดที่เคยนำเสนอในการเปลี่ยนแปลงประเทศ ไปเป็นชุดความคิดในแต่ละจังหวัด จะทำให้คนในพื้นที่รับรู้และจับต้องได้ง่ายกว่านำเสนอในภาพระดับประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นแบบประชานิยม

ด้านแหล่งข่าวจากแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่พรรคประชาชนพ่ายแพ้ทุกสนามก็คือ

ปัจจัยแรก คนในพรรคนี้ตั้งใจทำงานจริงแต่ขาดประสบการณ์ และต้องเข้าใจด้วยว่านักการเมืองเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษที่ต้องเป็นได้ทุกอย่าง เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม การไปร่วมงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานศพ หรืองานแต่งของชาวบ้าน ต้องเข้าไปให้ถึงก้นครัว ชาวบ้านเขาชอบแบบนี้ถึงจะเทคะแนนให้

“นี่คือคะแนนความรัก ความสนิทสนม ที่พรรคนี้ไม่ว่าจะชื่อพรรคอะไรไม่เคยมีเลย”

ปัจจัยที่ 2 พรรคนี้มี mindset ที่ใช้ไม่ได้ มองความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นพวกตลาดล่าง ส่วนพวกก้าวไกล จะไม่ใช้วิธีแบบนี้ เขาจะใช้การสื่อสาร บอกนโยบายของพรรคจะทำอะไรเท่านั้น

“คุณต้องรู้นะว่า การเลือกนายก อบจ. หรือเลือกเทศบาล อบต.มันคือตลาดล่าง คุณเล่นเอาของห้างไปขายตลาดล่าง ไม่มีใครเขาซื้อคุณหรอก จะเปรียบให้ฟัง ว่าก้าวไกลคือหมูปิ้งจากเอ็มโพเรียม สะอาด ถูกอนามัย สุดหรู ซื้อ 3 แถม 1 ไม้ ก็คือ ได้หมูปิ้ง 4 ไม้ จ่าย 100 บาท

แต่ถ้าคุณไปดูวิถีชีวิตชาวบ้านในพื้นที่การเมืองท้องถิ่น จะเห็นว่าหมูปิ้ง ราคาไม้ละ 10 บาท หรือ 7 บาท เขาจ่าย 100 บาทได้กี่ไม้ ชาวบ้านเขาต้องการกินของถูก ก็แปลว่าพรรคคุณเอาสินค้าไปขายผิดที่”

ปัจจัยที่ 3 พรรคนี้จะเลือกผู้สมัครที่คิดแบบเดียวกับเขาลงชิงพื้นที่ เน้นการสื่อสาร เน้นเรื่องสิทธิ พูดอะไรที่อยู่ไกลเกินความจำเป็นของชีวิต วิธีนี้ขายได้บ้างกับคนในเมืองที่ท้องอิ่มแล้ว แต่คนที่ไม่ได้อยู่ในเขตเมือง คนที่กินยังไม่อิ่ม ท้องหิว เขาจะไม่สนใจอะไรที่เป็นปรัชญาการเมืองแบบที่ก้าวไกลคิดและทำ

“พรรคก้าวไกล ไปปราศรัยหาเสียงแบบด้อยค่า จริงๆ แล้วคนต่างจังหวัด พรรคจะหาเสียง ก็พูดไป แต่อย่าไปด่าเขา ชาวบ้านไม่ชอบ ก้าวไกล ไปด่า ว่า เลือกแล้ว ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม ต้องดีกว่าเก่า ชาวบ้านจะบอกว่า ของเก่าไม่ดีอย่างไร ก็บอกเรื่องของพื้นที่เขาไม่ได้”

แหล่งข่าวบอกอีกว่า พรรคก้าวไกล อย่าคิดว่าได้คะแนนนำในการเลือกตั้งระดับชาติมาแล้ว โอกาสเลือกท้องถิ่นก็ควรจะชนะ จริงๆ ต้องไปดูว่า เมื่อการเลือกตั้งสนามใหญ่ที่ผ่านมาชนะก็เพราะตอนนั้นมีกระแสที่โดดเด่นเช่น นโยบายบำนาญ 3 พันบาท ซึ่งบรรดาผู้สูงอายุก็มีความหวังที่จะได้ของฟรี ก็ไปเลือกพรรคก้าวไกล ทั้งที่ฐานเสียงผู้สูงอายุเป็นของพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็หดหายกันไป


นอกจากนั้น พรรคก้าวไกล ยังเป็นธงนำในการต่อสู้กับอำนาจนิยม คนกลุ่มที่ต่อต้านอำนาจนิยมจะไปเทให้ก้าวไกล อีกทั้งในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งนั้นพรรคก้าวไกล เป็นพรรคเดียวที่มีกว่า 200 นโยบาย เข้าถึง 200 กว่าอาชีพ นั่นก็คือ 200 target groups ในการวางแผนเลือกตั้ง

“คนก้าวไกล ทันสมัย ใช้ฝรั่งและ AI มาออกแบบนโยบายและกลุ่มอาชีพ ได้ถึง 200 กว่าอาชีพ อาชีพไหนทำแล้วมัน Popular ก็จะไปจัดสัมมนากับกลุ่มเป้าหมาย เขารู้กลุ่มต่อต้านอำนาจนิยม ที่แรงที่สุด AI เขียนให้จับกระแสได้ 15 วันสุดท้าย ‘มีเราไม่มีลุง’….”

แหล่งข่าวบอกอีกว่า ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลต้องแพ้ทุกสนามนายก อบจ.แต่ใช่ว่าจะแพ้ตลอด เพียงแต่ว่าพรรคนี้ต้องปรับตัว ปรับวิธีคิดกันใหม่ ในการต่อสู้กับบ้านใหญ่หรือสู้กับกลุ่มอำนาจนิยมจะใช้วิธีไปด่ามันเลวอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางวัฒนธรรมของสังคมไทยได้ภายใน 5 ปีนี้หรอก แต่สิ่งที่ต้องปรับเร่งด่วน คือการเข้าถึงชาวบ้าน ต้องลงไปคลุกคลีแบบจริงจัง อย่าไปดูถูกชาวบ้านเด็ดขาด

“ปรับเพื่อให้การลงชิงชัยนายก อบจ. พื้นที่อื่นๆ ผมว่าพรรคนี้มีโอกาส เพราะพวกบ้านใหญ่ อาจประมาทเพราะชนะมาตลอด และอย่าไปหลงว่าคะแนนที่ราชบุรีขึ้นมาเป็นแสนคะแนน จริงๆ แล้วเป็นเพราะบ้านใหญ่กำลังวุ่นวายในการแต่งตั้ง ครม.เลยไม่มีเวลาให้สนามเล็ก ดังนั้นพรรคควรรีบปรับทุกอย่าง เมื่อครบวาระเลือก อบจ.พร้อมกันทั่วประเทศ จะมีโอกาสชนะแน่ๆ และจะส่งผลถึงการเมืองระดับชาติต่อไปด้วย”


ปัจจุบันกระแสพรรค ปชน.แม้จะไม่ดีขึ้น แต่ด้วยความที่คนกำลังเบื่อพรรคการเมืองเดิมๆ ที่มีแต่ผลประโยชน์ ช่วงชิงและระบบอุปถัมภ์ดึงทายาทเข้ามาสืบต่ออำนาจในตำแหน่งรัฐมนตรี ดังนั้นพรรคประชาชนจึงกลายเป็นความหวังที่จะทำให้คนหันมาเลือกย่อมเป็นไปได้สูง

“พรรคนี้ต้องไปรักษาพื้นที่พิษณุโลกที่กำลังจะมีเลือกตั้งซ่อมไว้ให้ได้ เพราะฝ่ายรัฐบาลต้องโหมช่วยกันเต็มที่ แต่ถ้าแพ้ที่พิษณุโลกมันจะบอกอะไรทางการเมืองได้หลายอย่าง”!

สำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.ในปี 2567 ที่ผ่านมา มีที่จังหวัดนครสวรรค์ อ่างทอง เลย พะเยา อยุธยา ปทุมธานี ชัยนาท พิษณุโลก ชัยภูมิ ราชบุรี เป็นต้น และการเลือกตั้งท้องถิ่นที่น่าจับตาจากนี้ไปในส่วนของ อบจ.จะครบวาระในวันที่ 19 ธ.ค.2567 คาดว่าจะมีการเลือกตั้งพร้อมกันในวันที่ 2 ก.พ.2568 ส่วนเทศบาลครบวาระ วันที่ 27 มี.ค.2568 กรณี อบต. 27 พ.ย.2568 และเมืองพัทยากับ กทม. วันที่ 21 พ.ค.2569!

ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่

Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j