“นิพิฏฐ์” ชี้ หาก “ทักษิณ”ไม่เลิกจุ้นจ้าน จะนำภัยมาสู่ “อุ๊งอิ๊ง” เสี่ยงถูกยุบพรรค และตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี จากกรณี “ครอบงำพรรคเพื่อไทย” และถ้า “นายกฯแพทองธาร” ขับเคลื่อนการเมืองตามคำสั่งพ่อจนเข้าข่ายขาดจริยธรรม ก็อาจถูกถอดถอนจากตำแหน่ง ฟันธง “ทักกี้” ไม่รอด “คดี ม.112” หากดันทุรังจะออกกฎหมายนิรโทษกรรม พ่วงคดี ม.112 จะนำไปสู่ความวุ่นวาย ส่วน “คดีชั้น 14” ก็หนักไม่แพ้กัน เชื่อเจ้าหน้าที่ที่ช่วยเหลือโดน มาตรา 157 ติดคุกถึง 10 ปี ขณะที่ “ทักษิณ” ต้องรับโทษ 2 ใน 3
กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักสำหรับบทบาทของ “นายทักษิณ ชินวัตร”ซึ่งหลังจากที่พ้นโทษ อาการป่วยที่ถูกระบุว่าเป็นโรคกระดูกคอเสื่อม เส้นเอ็นเปื่อยยุ่ยก็ดูจะหายเป็นปลิดทิ้ง นอกจากเขาจะเดินสายไปพบปะประชาชนในพื้นที่ต่างๆ แล้ว ทักษิณยังให้สัมภาษณ์และแสดงทัศนะเกี่ยวกับแนวทางในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต การแก้กฎหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้ 99 ปี แนะให้รัฐบาลไทยแบ่งสรรทรัพยากรพลังงานที่ขุดได้บนพื้นที่ไหล่ทวีปบริเวณเกาะกูด ซึ่งกัมพูชาอ้างว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับไทย แบบ 50:50 อีกทั้งเขายังแสดงความเห็นทางการเมืองเกี่ยวกับการที่เพื่อไทยจะดึงพรรคการเมืองต่างๆ เข้าร่วมรัฐบาล จนหลายคนพากันงวยงงว่าตกลงนายกรัฐมนตรีของไทย ชื่อ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” หรือ “ทักษิณ ชินวัตร” กันแน่!
ซึ่งบรรดากูรูทางการเมืองต่างมองว่าความ “อหังการ”ของทักษิณในขณะนี้นั้นนอกจากจะนำปัญหามาให้ตัวเขาเองแล้ว ยังอาจทำให้นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ผู้เป็นลูกสาวพลอยลำบากไปด้วย
โดยในส่วนของนายทักษิณเองนั้นตอนนี้มีคดีที่เกิดจากความอหังการของเขาแล้ว 2 คดี ได้แก่ คดี ม.112 ซึ่งศาลอาญานัดสืบพยานโจทก์และจำเลยในวันที่ 1 ก.ค.2568 และคดีที่มีผู้ยื่นให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบกระบวนการช่วยเหลือให้นายทักษิณไปนอนที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลแทนที่จะรับโทษอยู่ในเรือนจำ
ส่วนคดีที่เกี่ยวกับอุ๊งอิ๊ง และพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นผลพวงจากความอหังการของทักษิณก็เริ่มเดินหน้าแล้วเช่นกัน โดยคดีแรก ได้แก่กรณีที่มีผู้ไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคเพื่อไทย เนื่องจากพรรคยินยอมให้นายทักษิณ ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกเข้ามาครอบงำและชี้นำการดำเนินการของพรรค จากกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตามด้วยคดีที่ 2 ซึ่ง นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ส่งหนังสือร้องเรียนถึง กกต. เพื่อให้ตรวจสอบนายกฯ แพทองธาร ว่าได้มีหนังสือลาออกจากกรรมการบริษัทต่างๆทั้ง 21 บริษัท ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่
อีกทั้งคาดว่าจะมีอีกหลายคดีที่รออยู่ เพราะมีกระแสข่าวว่าขณะนี้มีผู้เตรียมยื่นคำร้องให้ถอดถอน น.ส.แพทองธาร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในข้อหาขาดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทั้งจากกรณีโกงข้อสอบเมื่อครั้งเป็นนิสิตจุฬาฯ และกรณีถือหุ้นสนามกอล์ฟอัลไพน์ซึ่งมีปัญหาเรื่องใช้ที่ธรณีสงฆ์ และอาจมีการร้องให้ถอดอุ๊งอิ๊งออกจากนายกฯ ในข้อหาขาดจริยธรรมหากรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยมีการแต่งตั้ง ส.ส.พรรคพลังประชารัฐเป็น รมต.ในลักษณะที่ขัดกับมติของพรรคพลังประชารัฐ
ส่วนว่าแต่ละคดีจะหนักหนาสาหัสเพียงไร คงต้องไปฟังความเห็นจากกรูรูทางการเมืองที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ทนายความ และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์ว่า ในบรรดาคดีต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับนายทักษิณ และ น.ส.แพทองธาร รวมถึงพรรคเพื่อไทยนั้น คดี ม.112 ของนายทักษิณถือว่าเป็นคดีที่หนักที่สุด น่ากลัวที่สุด เนื่องจากอัยการสูงสุดถึง 2 ท่านยืนยันความเห็นเดิมว่าคดีนี้มีมูลที่จะดำเนินคดีกับนายทักษิณ แม้ว่าทักษิณจะเดินทางกลับมาแล้วขอความเป็นธรรม มีการสอบพยานเพิ่มเติม ก็ยังไม่อะไรบ่งชี้ว่าจะสามารถหักล้างความผิดได้ และที่น่าจับตาอย่างยิ่งคือเมื่อ น.ส.แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรีก็เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะผลักดันให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยรวมการนิรโทษกรรมคดี ม.112 ไว้ด้วย เพื่อช่วยให้นายทักษิณพ้นผิด ซึ่งสังเกตได้ว่าช่วงหลังพรรคเพื่อไทยเสียงอ่อนลง โดยบอกว่าจะนิรโทษกรรมคดี ม.112 หรือไม่ก็ให้เป็นเรื่องของสภา ต่างจากก่อนหน้านี้ที่เพื่อไทยยืนกรานว่าไม่แตะ ม.112
เมื่อดูจากระยะเวลาที่ศาลนัดพิจารณาคดี ม.112 ของทักษิณในช่วงกลางปี 2567 ก็เชื่อว่าในช่วงเวลา 1 ปีนี้พรรคเพื่อไทยจะสามารถผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมให้ออกมาบังคับใช้ได้ทันก่อนการพิจารณาคดี ซึ่งจะทำให้คดี ม.112 ของทักษิณได้รับการนิรโทษกรรมไปด้วย เพราะด้วยคะแนนเสียงของเพื่อไทยและพรรคประชาชนที่สนับสนุนเรื่องการนิรโทษกรรมคดี ม.112 นั้นมีมากพอที่จะทำให้กฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาของสภาอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ต้องระวังคือการออกกฎหมายดังกล่าวจะเป็นชนวนที่นำไปสู่ความวุ่นวาย เพราะทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ต่างก็ประกาศว่าจะไม่นิรโทษกรรม ม.112 ขณะที่ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็อาจจะลุกขึ้นมาต่อต้าน
“ต้องรอดูว่าคุณทักษิณจะแก้ปัญหาคดี ม.112 ด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ม.112 หรือจะสู้ในคดีในศาล คิดว่าถ้าสู้คดีน่าจะหนัก และถ้าไม่มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ม.112 ผมว่าคุณทักษิณไม่มาฟังคำพิพากษาแน่นอน ผมคิดว่าคุณทักษิณน่าจะหนีอีกครั้ง” นายนิพิฏฐ์ ระบุ
ส่วนคดีที่นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี นำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) และกองทัพธรรม ไปยื่นหนังสือให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบกระบวนการช่วยเหลือนายทักษิณให้ไม่ต้องติดคุก โดยให้ไปนอนที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจทั้งที่นายทักษิณไม่ได้ป่วยหนักนั้น “นายนิพิฏฐ์” ระบุว่า จากที่ตนเองได้ติดตามกรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิดนั้นเชื่อว่า ป.ป.ช.จะดำเนินการไต่สวนกรณีนี้ในไม่ช้านี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่หนักพอสมควรสำหรับนายทักษิณ เพราะเชื่อว่าผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจที่ดูแลนายทักษิณคงไม่รอด น่าจะมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท ถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะที่นายทักษิณจะมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ซึ่งจะมีโทษ 2 ใน 3
“โทษ 2 ใน 3 ก็ไม่น้อยนะ ถ้าผู้บริหารกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ ติดคุก 10 ปี คุณทักษิณก็ต้องติดคุก 6 ปี กว่า แต่ไม่ใช่ว่าคุณทักษิณไม่ได้นอนคุกในคดีเดิม แล้วจะต้องกลับเข้าคุกใหม่นะ เพราะถือว่าคดีดังกล่าวได้สิ้นสุดไปแล้ว จะนำกลับมาพิจารณาใหม่ไม่ได้ แต่คุณทักษิณจะมีความผิดในคดีใหม่คือเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” นายนิพิฏฐ์ กล่าว
ขณะที่คดีครอบงำพรรคซึ่งมีผู้ไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ กกต. เพื่อขอให้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคเพื่อไทย เนื่องจากพรรคเพื่อไทยยินยอมให้นายทักษิณซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคเข้ามาครอบงำและชี้นำการดำเนินการของพรรคนั้น “นายนิพิฏฐ์” ชี้ว่า ยากที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินยุบพรรคเพื่อไทยจากข้อร้องเรียนที่ว่านายทักษิณเข้ามาครอบงำพรรค เพราะข้อมูลหลักฐานต่างๆ มันบางไป
“ต้องพิจารณาว่าคำว่าครอบงำคืออะไร การครอบงำจะต้องเป็นการชี้นำการบริหารงานของพรรคการเมือง นั่นคือพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ครอบงำรัฐบาลนะ เพราะข้อหาครอบงำรัฐบาลมันไม่มี การที่คุณทักษิณแสดงท่าทีว่าไม่ชอบ พล.อ.ประวิตร ก็เป็นการแสดงความรู้สึกของท่าน แต่การจะให้ พล.อ.ประวิตรร่วมรัฐบาลหรือไม่นั้นเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี โดยคุณอุ๊งอิ๊งก็อาจจะชี้แจงว่าเหตุผลอะไรจึงไม่ให้ท่านประวิตรร่วมรัฐบาล ซึ่งมันพิสูจน์ยากว่ามาจากคำสั่งของคุณทักษิณ น้ำหนักมันบางไปที่จะนำไปสู่การตัดสินยุบพรรค” นายนิพิฏฐ์ กล่าว
อย่างไรก็ดี ล่าสุดมีข่าวลือสะพัดว่า คนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีคลิปภายในบ้านจันทร์ส่องหล้า ในช่วงหัวค่ำวันที่ 14 ส.ค.2567 ซึ่งบรรดาหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลได้เดินทางเข้าหารือกับนายทักษิณ เกี่ยวกับการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทน นายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีทั้งภาพและเสียงชัดเจน ซึ่งการประชุมดังกล่าวได้ข้อสรุปร่วมกันว่าเบื้องต้นให้นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีแทนนายเศรษฐา ไปพลางก่อน จากนั้นค่อยเปลี่ยนเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในภายหลัง
ซึ่งสอดคล้องกับที่ นายสามารถ เจนชัยจิตรวานิช สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ว่า "ภายหลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ถูกถอดถอนจากศาลรัฐธรรมนูญ แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคเดินทางไปบ้านจันทร์ส่องหล้า ซึ่งมีข้อมูลมารายงานถึง พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะให้นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ 3 เดือน และจะให้ทุกคนอยู่ตำแหน่งเดิม แต่สุดท้ายกลับเป็น น.ส.แพทองธาร"
ทั้งนี้ หากมีหลักฐานชัดเจนว่าการประชุมดังกล่าวนายทักษิณได้ร่วมเสนอความเห็นในฐานะตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ก็จะเข้าข่าย“การครอบงำพรรค” ซึ่งหากมีผู้นำเรื่องนี้ไปร้องต่อ กกต. เพื่อขอให้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคเพื่อไทย ก็จะส่งผลให้ น.ส.แพทองธาร ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย รวมถึงกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยทั้งหมดถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลาถึง 10 ปี ซึ่งนับเป็น “วิบากกรรม” จากความอหังการของนายทักษิณอย่างแท้จริง
ส่วนกรณีที่หากพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลจะดึงเฉพาะ ส.ส.บางส่วนของพรรคพลังประชารัฐ คือเฉพาะก๊วน “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” มาเป็นรัฐมนตรีหรือร่วมรัฐบาล แต่ไม่เอา ส.ส.กลุ่มบ้านป่ารอยต่อ หรือ ส.ส.กลุ่ม “พล.อ.ประวิตร” ซึ่งจะขัดกับมติที่กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐส่งรายชื่อไปก่อนหน้านี้ และอาจมีความเสี่ยงที่จะถูกร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ให้สอบจริยธรรม น.ส.แพทองธาร ในฐานะนายกรัฐมนตรี อันจะส่งผลให้ น.ส.แพทองธารหลุดจากตำแหน่งนายกฯ เช่นเดียวกับกรณีของนายเศรษฐานั้น “นายนิพิฏฐ์” มองว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นที่แหลมคมมาก การที่ทำให้พรรคอื่นแตกโดยดึงมาร่วมรัฐบาลแค่ครึ่งพรรคนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเห็น ซึ่งในส่วนของพรรคพลังประชารัฐก็ยืนยันรายชื่อรัฐมนตรีไปแล้ว แม้การตั้งคณะรัฐมนตรีจะเป็นอำนาจของนายกฯ แต่ก็ไม่อาจละเลยเรื่องจริยธรรมได้
“เรื่องนี้แหลมคมมาก ต้องไปดูรายละเอียดทางกฎหมายว่าสุ่มเสี่ยงต่อเรื่องจริยธรรมไหม จะผิดจริยธรรมหรือเปล่าไม่รู้ แต่ว่าในทางการเมืองเขาไม่ทำลายพรรคการเมืองด้วยกันให้ย่อยยับ ทำให้พรรคอื่นแตก เขาไม่ทำกัน แต่คุณทักษิณทำมาตลอด ตอนคุณทักษิณเป็นนายกฯ เขาก็ยุบรวมพรรคความหวังใหม่กับพรรคไทยรักไทย พรรคความหวังใหม่ก็เลยหายไปจากสารบบ จากนั้นจึงมีการแก้ไขกฎหมายไม่ให้มีการยุบรวมพรรคหลังการเลือกตั้ง ผมว่าเรื่องจริยธรรมต้องดูเป็นพิเศษ” นายนิพิฏฐ์ กล่าว
ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าความอหังการของทักษิณจะสร้างปัญหาให้นายกฯ แพทองธารนั้น “นายนิพิฏฐ์” กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วเห็นด้วย ถ้านายทักษิณยังจุ้นจ้านอยู่แบบนี้ คนที่อันตรายที่สุดก็คือนายกฯ แพทองธาร เพราะการที่นายทักษิณเข้าไปจุ้นจ้านกับการบริหารราชการแผ่นดินขณะที่ลูกสาวเป็นนายกฯ นั้นต้องระวัง เพราะประเทศไทยมีกฎหมายเรื่องจริยธรรม ห้ามไม่ให้มีการครอบงำพรรคการเมือง
“ถ้าคุณทักษิณยังไม่เลิกพฤติกรรมเข้าไปชี้นำ เข้าไปจุ้นจ้านแบบนี้ คนที่จะอันตรายที่สุดคือนายกฯ อุ๊งอิ๊ง เพราะถ้ามีข้อเท็จจริงชัดเจนว่าคุณทักษิณมีการชี้นำพรรคเพื่อไทย คุณอุ๊งอิ๊งก็อาจจะถูกร้องเรียนเรื่องจริยธรรมและถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งในที่สุด คุณอุ๊งอิ๊ง และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี เหมือนกับกรณีของคุณเศรษฐา หรือที่คุณทักษิณแนะให้ไทยแบ่งสรรทรัพยากรพลังงานที่ขุดได้บริเวณเกาะกูด ซึ่งกัมพูชาอ้างว่าทับซ้อนกับไทย แบบ 50: 50 นั้น ผมว่ากองทัพเรือไม่ยอมแน่ คือถ้าคุณทักษิณกลับไปเลี้ยงหลานจริงรัฐบาลจะปลอดภัย แต่ถ้าไม่หยุดก็สุ่มเสี่ยงที่จะถูกยื่นยุบพรรค” นายนิพิฏฐ์ ระบุ
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j