แกนนำพรรคเพื่อไทยสะท้อนตัวตน ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่มี ‘DNA - genius’ จนนำไปสู่แรงแค้นฝังหุ่น กลายเป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่พร้อมถล่มและวันนี้สำเร็จตามเป้า เพราะพรรคต่างๆ ถูกดิสเครดิตและมีโอกาสล่มสลายทั้ง ‘บิ๊กป้อม-พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ-ประชาธิปัตย์-ไทยสร้างไทย’ ต้องเข้ามาสยบหวังร่วมรัฐบาล ชี้ ทักษิณ อ่านเกมถูก ใช้กิเลสเป็นเหยื่อล่อเพราะตำแหน่งรัฐมนตรีจะมีผลประโยชน์ตามมา แค่นั่ง 1 กระทรวงก็เชื่อมต่อได้ทุกกระทรวง เผยข้อดี ‘ทักษิณ’ ที่กลุ่มทุนพร้อมลงขัน คือไม่เคยเบี้ยว หากใคร ‘ช่วยพรรค’ จะได้ตำแหน่งตอบแทน ยอมรับการเมืองคือเรื่อง ‘ผลประโยชน์-อำนาจ-ไม่เคยมีใครรักจริง’ ใครมีอำนาจก็วิ่งเข้าหา เหมือนที่ ‘บิ๊กป้อม’ กำลังเผชิญ ยันวันนี้ดุลอำนาจเปลี่ยนไปอยู่ในมือ ‘ทักษิณ’ จับตา ‘ทักษิณ-นายกฯ อิ๊ง’ ต้องเฝ้าระวังสูงสุดหวั่นเจอประเด็นครอบงำตามมา!
สถานการณ์การเมืองปัจจุบันอาจทำให้คนที่ติดตามการเมืองรู้สึกเบื่อหน่ายต่อพรรคการเมืองและนักการเมือง เพราะสิ่งที่แต่ละพรรคหรือที่แกนนำแสดงออกมานั้นยิ่งแสดงให้เห็นว่า การเมืองคือเรื่องของผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องเป็นหลักใหญ่
โดยเฉพาะตั้งแต่ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ กลับมานั้นยิ่งทำให้เห็นว่าการเมืองไม่ใช่แค่เรื่องผลประโยชน์ แต่มันคือการล้างแค้นที่ 17 ปี ก็ยังไม่สายเกินไป
ดังนั้น ผู้ที่จะสะท้อนบริบททางการเมืองเวลานี้ได้ดีอีกหนึ่งคน คือคนที่คลุกคลีกับการเมือง กับนายทักษิณ และครอบครัว มาตั้งแต่ยังไม่ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย จนกระทั่งถูกยุบพรรคและเป็นเพื่อไทยในขณะนี้ รวมทั้งพรรคยังมอบโอกาสให้นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีที่สำคัญๆ หลายครั้ง เพียงแต่ไม่ต้องการให้ใช้ชื่อในการวิเคราะห์ เพราะกลัวทัวร์จะมาลงเท่านั้นเอง!
ผู้อาวุโสทางการเมืองรายนี้บอกว่า หากมองทะลุเข้าไปถึงตัวตนของนายทักษิณ ชินวัตร ประการแรก คือนายทักษิณ มีสารพันธุกรรมคือ DNA ของความเป็น ‘genius’ มีความฉลาดหลักแหลม มีปัญญาเลิศ เมื่อปรียบเทียบกับพี่ๆ น้องๆ สายตรงพ่อแม่เดียวกัน บอกได้เลยว่านายทักษิณ ฉลาดสุด และก็ทำให้ครอบครัวสายตรงทุกคนร่ำรวยกันหมด
ประการที่ 2 เมื่อนายทักษิณ ก้าวสู่สนามการเมือง ได้ถูกกระทำหลายๆ ครั้ง โดยเฉพาะหลังได้รับชัยชนะแบบถล่มทลายในการเลือกตั้งสมัยที่ 2 เมื่อปี 2548ได้ ส.ส.ถึง 376 ที่นั่ง เป็นรัฐบาลพรรคเดียว ทิ้งคู่แข่งสำคัญอย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้เพียง 96 ที่นั่ง
“ทักษิณ เริ่มโดนโจมตี เพราะดูเหมือนประชาชนจะชอบนโยบายและชื่นชอบตัวเขามาก แต่เขาถูกรัฐประหารปี 2549 มีคดีติดตัว จนต้องหนีออกนอกประเทศ และเมื่อมีรัฐบาลใหม่ไม่ว่าจะเป็นนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย ขึ้นมาเป็นนายกฯ ก็โดนการเมืองเล่นงาน มาจนถึงน้องสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ถูกเล่นงานจนต้องหนีออกนอกประเทศจนทุกวันนี้ ทำให้ทักษิณ มีความรู้สึกที่คับแค้นใจและฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก ความเกลียดชังก็เริ่มเกิดขึ้น สิ่งที่เคยมองเป็นบวก ก็กลายเป็นมองลบ”
เมื่อสิ่งที่นายทักษิณ มองเป็นลบไปแล้วมันถูกฝังในสมอง วิธีคิดต่างๆ จึงมักจะออกมาเป็นลบ ดังนั้นเวลาที่จะกระทำอะไร หรือแสดงอะไรออกมาจากคนที่เคยทำเขาไว้นั้น ก็จะเปรียบได้กับอารมณ์ที่ว่า “ถ้ากูทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ได้ กูจะทิ้งใส่มึงแล้ว”
สำหรับสิ่งที่สังคมได้เห็นในการเคลื่อนไหวตั้งแต่นายทักษิณ กลับมาเสมือนหนึ่งตัวเองเป็นศูนย์กลางอำนาจไปแล้ว ว่าไปแล้ว 17 ปีที่เขาต้องไปอยู่ต่างประเทศยิ่งทำให้เขาเดินแบบไม่เกรงกลัวอะไร
“ไม่มีใครกล้าคิดและกล้าทำแบบทักษิณ คนทั่วๆ ไป จะนำสิ่งที่ผิดพลาดมาเป็นบทเรียน แต่ทักษิณไม่ใช่ เขาไม่จำและพยายามที่จะเดินแบบเดิม วางแผนที่จะเอาชนะในทางการเมืองแบบเบ็ดเสร็จ ดึงทั้งลูกและเมียเข้ามาเป็นเครื่องมือต่อสู้และทำลายใช่หรือไม่”
นักการเมืองอาวุโสคนเดิม บอกว่า ให้ย้อนไปดูวิธีการเอาคืนลุงป้อม : พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถึงขั้นพรรคแตก จะเห็นถึงการเชือดทีละครั้ง
ไปพูดในงานบวชของนายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี จังหวัดปทุมฯ ว่า ‘คนในป่า’ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังสร้างความวุ่นวายทางการเมือง ซึ่งทุกคนก็เชื่อว่านายทักษิณ สื่อถึงบิ๊กป้อมโดยตรง
มีข่าวแพร่สะพัดว่า นายทักษิณ ระบุว่ารัฐมนตรีของรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง จะต้องไม่มีตระกูลวงษ์สุวรรณ เข้าร่วม
เปิดเบื้องหลังปมขัดแย้งในงาน Dinner Talk : Vision for Thailand เมื่อ 22 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า มาจากการที่บิ๊กป้อมขอตำแหน่ง ประธาน ป.ป.ช. เมื่อปี 2548 หลังจากได้นั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ.มาแล้ว 2 ปี ซึ่งตัวเขาคัดค้าน เพราะบิ๊กป้อมเป็นทหาร จะรู้กฎหมายหรือไม่? ทำให้ป้อมโกรธตั้งแต่นั้นมา
โดยมีสิ่งปรากฏให้เห็นตามมาคือความขัดแย้งในพรรค พปชร. ระหว่างกลุ่มบิ๊กป้อม และกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค จนวันนี้แตกหักกันแล้ว
หรือกรณีของพรรคประชาธิปัตย์ ก็เห็นอยู่แล้วว่าเป็นคู่ต่อสู้กันในอดีต ทั้งชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หรืออีกหลายคน ก็บอกตลอดมาว่าไม่ร่วมสังฆกรรมกับนายทักษิณ ชินวัตร แต่เมื่อหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคและกรรมการพรรค ปชป.ชุดปัจจุบันต้องการร่วมก็ส่งผลให้ ปชป.แตกหักเช่นกัน และเชื่อว่าเลือกตั้งครั้งหน้า พรรค ปชป.จะสูญพันธุ์หรือไม่ เพราะกลืนน้ำลายตัวเอง
รวมไปถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ต้องการเข้าร่วมเป็นรัฐบาลทั้งๆ ที่ความจริงอยู่กันคนละขั้ว โดยเฉพาะนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาฯ พรรค รทสช. ที่เคยเป็นแกนนำ กปปส.เป็นลูกเลี้ยง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หัวเรือใหญ่ กปปส.ที่ขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนต้องระเห็จไปอยู่ต่างประเทศ ก็ยังกลืนน้ำลายตัวเองมาเข้าร่วมรัฐบาล
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีพรรคไทยสร้างไทย ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ทั้งที่อยู่ฝ่ายค้าน บรรดา ส.ส. 6 คนยังกบฏไปโหวตหนุน ‘แพรทองธาร’ นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ก็เพราะแกนนำเหล่านี้ต้องการเข้าร่วมรัฐบาลโดยมีนายทุนของกลุ่มเป็นตัวกดปุ่มให้ทำเช่นนี้ ซึ่งเป็นการตบหน้าคุณหญิงสุดารัตน์ ที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์เพื่อไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน ว่ากันว่าเป็นการแค้นฝังหุ่นตั้งแต่สมัยคุณหญิงอยู่พรรคเพื่อไทยและต้องระเห็จออกมาตั้งพรรคใหม่โดยมีการดึงลูกพรรคเพื่อไทยออกตามมาด้วย
“นี่คือวิธีการดิสเครดิตที่นายทักษิณ ต้องการให้สังคมได้เห็นว่า ในที่สุด คนพวกนี้ก็มาสยบ มากราบตีนและทักษิณก็ทำสำเร็จ เพราะอะไรรู้มั้ย ก็เพราะนายทักษิณ มองทะลุวิธีการง่ายๆ คือ เล่นกับความต้องการคือกิเลสของมนุษย์”
ส่งผลให้คนพวกนี้เป็นเหยื่ออันโอชะ!
อย่างไรก็ดี ข้อดีของนายทักษิณ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ของแกนนำในพรรคคือ หลักการที่บอกกับแกนนำคือให้ช่วยพรรค โดยเฉพาะกลุ่มทุนที่ดูแลมุ้งต่างๆ ให้ได้ ส.ส. ส่วนต้องจ่ายไปเท่าไหร่นั้น นายทักษิณ ไม่เคยลืม และถึงเวลาเขาจะจัดการให้ โดยตอบแทนเป็นตำแหน่ง
“นี่คือข้อดีนายทักษิณ ไม่เคยเบี้ยว แต่จะให้คืนเป็นเม็ดเงิน บอกคำเดียว ยาก! ซึ่งตำแหน่งสำคัญทางการเมืองมันมีมูลค่าหลายร้อยล้าน โดยเฉพาะเก้าอี้รัฐมนตรี หรืออยากนั่งผู้ช่วยรัฐมนตรี อยากเป็นที่ปรึกษา เป็นคณะทำงานมากมาย ก็จะมีโควตา มีอัตราที่ต้องจ่ายลดหลั่นกันไป สำหรับคนที่อยากมีตำแหน่งแต่ไม่มีคุณสมบัติที่นายต้องการ เพราะตำแหน่งต่างๆ มันแฝงด้วยผลประโยชน์ เพียงแค่ทำนามบัตร เป็นที่ปรึกษา ยังสามารถใช้เอื้อประโยชน์ประมูลโครงการได้แล้ว ”
วิธีการดังกล่าวในพรรคเพื่อไทยจะใช้คำว่า ‘ช่วยพรรค’ ไง!
นักการเมืองอาวุโสผู้มากประสบการณ์คนเดิมย้ำว่า การเมืองคือเรื่องผลประโยชน์จริงๆ อยู่ที่ว่าเขามีอุดมการณ์เพื่อชาติ ประชาชน หรือแค่เพื่อตนเองและพวกพ้องเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นการจัดคณะรัฐมนตรีมีความวุ่นวาย กล้าหัก กล้าสลัดทิ้งบุญคุณ หรือกล้าถีบหัวส่ง หรือกล้าพูดเอาดีใส่ตัวเพื่อให้ดูดีในสังคม ทั้งที่ความจริงมันคือผลประโยชน์
ทั้งนี้ เพราะตำแหน่งรัฐมนตรีมีแค่ 35 ตำแหน่ง ใครๆ ก็อยากเป็น โดยเฉพาะนักการเมืองที่ตัวเองทำธุรกิจหรือเครือญาติมีธุรกิจ หรือเป็นตัวแทนกลุ่มทุนใหญ่ก็ตาม เพราะเก้าอี้ตัวนี้มีสิทธิประโยชน์มากมายที่จะเอื้อประโยชน์ได้
“ไม่ต้องมองความสะดวกสบายที่ใครๆ ก็ห้อมล้อม เป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม มิตรสหายต่างๆ หรือญาติที่เคยหายไปก็จะติดต่อวิ่งมาหา ยิ่งถ้าเรามีธุรกิจ หรือเครือญาติเรามีธุรกิจ หรือมีผลประโยชน์ส่วนตัว มัน serve ได้เต็มที่ เปรียบตัวเองเป็นเจ้าอาวาสที่ใครๆ ก็ต้องไปพบ”
แต่การเป็นรัฐมนตรีมีสิ่งที่เหนือขึ้นไปกว่านั่นคือ การที่เราได้ร่วมประชุม ครม.ไม่ว่าจะนั่งอยู่กระทรวงไหนก็ตาม หากมีปัญหาอะไรที่เกี่ยวพันหรือต้องพึ่งพากระทรวงอื่นๆ ก็สามารถฝากกันในนั้น แบบตัวจริงๆ ซึ่งรวดเร็ว เพราะถ้าเราไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น เมื่อไหร่จะได้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และความสูญเสียที่จะตามมาคิดเป็นมูลค่าเท่าใด
“เราเป็นรัฐมนตรี กระทรวง A แต่เราสามารถพูดคุยกับนายกฯ พูดคุยกับรัฐมนตรีได้หมดทุกกระทรวง นี่คือผลประโยชน์ที่นักการเมืองก็พร้อมจะจ่ายเพื่อเข้ามานั่งตำแหน่งรัฐมนตรี ออกมานอกบริเวณจะมีตำรวจนำ มีคนอยากมารับใช้ มาทำงานให้ พูดอะไรก็ถูกไปหมด มีคนเอาอกเอาใจจนกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับนักการเมืองไปแล้ว”
เมื่อการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ก็ย่อมส่งผลให้นักการเมืองกล้าที่จะหักและเลือกเปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนข้างไปหาคนที่มีบารมีคนใหม่ที่จะให้ตำแหน่งหรือให้ประโยชน์กับเขาแทนได้
“จำไว้นักการเมืองจะรักกันจริงไม่มีหรอก กอดคอกันแต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยผลประโยชน์ทั้งนั้น วันหนึ่งถ้าคุณมีผลประโยชน์คนพวกนี้จะวิ่งหาคุณ แต่เมื่อคุณหมดประโยชน์เขาก็ต้องวิ่งหานายใหม่ ทิ้งคุณกันทั้งนั้น”
ยกตัวอย่างชัดๆ ในพรรคพลังประชารัฐ หลังรัฐประหารปี 2557 เป็นวันที่บิ๊กป้อม ยิ่งใหญ่ อำนาจบารมีมาก ใครก็ต้องวิ่งหา ถ้าอยากเป็นอะไร ก็วิ่งหา ไปอวยเค้า จะรักจริงไม่จริงไม่รู้ แต่เพื่อความอยู่รอดของนักการเมืองก็ต้องทำ แต่เมื่อถึงวันนี้บิ๊กป้อมหมดอำนาจ และมีอำนาจใหม่ก็คือ นายทักษิณ ชินวัตร กลับขึ้นมา ก็ทำให้ทั้งนักธุรกิจและนักการเมืองก็ต้องเปลี่ยนข้าง
“มันเป็นความอยู่รอดทางการเมือง พวกนี้มีธุรกิจที่ต้องรักษาไว้ ไม่ให้ได้รับผลกระเทือนอะไร หรือคนที่มีฐานการเมืองอยู่ในจังหวัดต่างๆ ก็ต้องรักษาผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องไว้ ซึ่งจริงๆ ประชาชนไม่ต้องการนักการเมืองแบบนี้ แต่ต้องการนักการเมืองที่มีหลักการ ไม่โกง ไม่มาแสวงหาผลประโยชน์ แต่ต้องการให้มารับใช้บ้านเมือง ไม่ใช่มาเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง”
แต่พฤติการณ์ที่นักการเมืองแสดงออกและวุ่นวายในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนเบื่อหน่าย และมองนักการเมืองพวกนี้ไม่ดี ไม่มีความเสียสละเพื่อบ้านเมือง เพียงแค่ต้องการเข้ามาตักตวงผลประโยชน์เท่านั้น
“เหมือนภาพลักษณ์ของพรรค รทสช.คือกลุ่มคนไม่เอาทักษิณ แต่วันนี้มาชอบกันมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร แต่จริงๆ มันมีเงื่อนไขบางอย่างที่ต้องชอบกัน แต่เป็นการกระทำ หรือการบริหารจัดการ ที่ทั้งสองฝ่ายไปรอดได้ด้วยกันระหว่าง 2 ขั้ว แต่ในสายตาประชาชนทั่วไปจะไม่ยอมรับและมองเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีจริงๆ”
ในความเป็นจริง นักการเมืองควรเป็นตัวอย่างที่ดี แต่ความที่เมืองไทย คนมีอำนาจ กับมีเงินถูกยกย่องว่าเป็นคนดี อีกทั้งคนที่มีอำนาจแต่ไม่ใช่คนดี ก็มีคนวิ่งเข้าหาเยอะแยะ จริงๆ แล้วถ้าสังคมไทยมี Social sanctions ที่เข้มแข็งก็จะดี แต่บ้านเราการลงโทษโดยสังคมหรือ Social sanctions มันบางมากจริงๆ ก็เลยเป็นแบบที่ทุกคนได้เห็น
“มันเป็นวัฏจักร นักการเมืองต้องเอาใจนักธุรกิจ ส่วนนักธุรกิจต้องเอาใจข้าราชการ แต่ข้าราชการก็เอาใจนักการเมือง และนักการเมืองก็ต้องเอาใจสื่อมวลชน ดังนั้นคนที่อยู่ในวงจรนี้ ถ้ามีขาวมันจะช่วยกระตุกคนที่เป็นเทา เป็นดำได้บ้าง แต่ถ้าทุกคนเป็นเทาและดำ วงจรนี้ก็จะน่ากลัว”
นอกจากนี้ ผู้อาวุโสทางการเมืองคนนี้ยังทิ้งท้ายอีกว่า อยากให้ทุกคนจับตาดูการเมืองจากนี้ไปโดยเฉพาะการขยับตัวของนายทักษิณ ชินวัตร และการทำงานของนายกฯแพทองธาร ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่เช่นนั้น บทเรียนที่เคยเกิดขึ้นกับนายทักษิณ ที่ต้องจากประเทศไทยไปถึง 17 ปี อาจจะทำให้วงจรนี้หวนคืนกลับมาหรือไม่?
“หวั่นๆ ว่าพ่อ-ลูกคู่นี้อาจจะลำบากทั้งคู่ คุณอุ๊งอิ๊งลำบากที่มีพ่อคือนายทักษิณที่ ‘genius’ มากๆ พ่อก็ลำบากที่มีอุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯ เพราะอุ๊งอิ๊ง ยังเป็นเด็ก ยังบริหารไม่ได้ ประสบการณ์ไม่มี คุณเศรษฐา แม้มีประสบการณ์ทางธุรกิจ แต่ไม่มีประสบการณ์บริหารการเมืองและรัฐราชการยังไปไม่รอดเลย”
แต่การที่พ่อคือนายทักษิณ มีประสบการณ์สูง เฉียบคมมาก แต่ไม่สามารถมานั่งบริหารหัวโต๊ะได้ ทำให้การปฏิบัติงานจริงๆ นายกฯ อิ๊ง ก็ต้องพึ่งพ่อ และพ่อก็ต้องพึ่งนายกฯ อิ๊ง
“พ่อไม่มีอำนาจจริง แต่เป็นอำนาจแฝงในการบริหารราชการแผ่นดิน การจะเซ็นอะไรต้องรอคนที่มีอำนาจจริงเซ็น ส่วนลูกจะเซ็นอะไรก็ต้องถามพ่อจะให้เซ็นหรือไม่ และบางทีพ่อก็คงต้องคอยเตือนลูกว่า อย่าลืมเซ็นเรื่องนั้น เรื่องนี้นะ บรรยากาศแบบนี้มันมีโอกาสเกิดขึ้นได้”
รวมไปถึงประเด็นต่างๆ ที่จะทำให้เชื่อมโยงได้ว่านายทักษิณ ครอบงำนายกฯ อิ๊ง และพรรคเพื่อไทยนั้น ล้วนเป็นประเด็นที่พรรคเพื่อไทยกังวล และต้องคอยช่วยกันตรวจสอบอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เป็นช่องโหว่ให้บรรดานักร้องเอาไปร้องเรียนเล่นงานตามกฎหมายต่อไป
ไม่เพียงเท่านั้น หากนายทักษิณประเมินว่าพรรคเพื่อไทยมีโอกาสได้รับชัยชนะแบบถล่มทลาย เพราะบรรดาขั้วอำนาจเก่าที่ถูกทุบไปครั้งนี้หมดพลังต่อกร การยุบสภาอาจเป็นทางเลือกที่ดีก่อนรัฐบาลอุ๊งอิ๊งจะหมดวาระ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้เช่นกัน
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j