“รศ.ดร.อัทธ์” เผยธุรกิจจีนเทาระบาดหนักในไทย เฉพาะที่ผิดกฎหมายมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าแสน พบคนไทยถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขายต่อเป็นทอดๆ ส่วนที่ตัวธุรกิจไม่ผิดกฎหมายแต่ใช้คนไทยเป็นนอมินีมีสารพัดธุรกิจ หนักสุดคือ “โลจิสติกส์” ครบวงจร ตั้งแต่ “รถบรรทุกศูนย์เหรียญ” จนถึงบริษัทส่งออกจีน แฉมีรถบรรทุกสัญชาติจีนวิ่งส่งสินค้าในไทยนับหมื่นคัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 2 หมื่นคันในปี 68 ขณะที่โรงงานผลิตสินค้าปลอมตั้งฐานผลิตในชนบท ส่งขายออนไลน์ ขนเงินกลับจีน ชี้เงินลงทุนเหล่านี้ 30% เป็นเงินจากธุรกิจสีเทาที่เอามาฟอกในประเทศไทย
กล่าวได้ว่า “ธุรกิจจีนเทา”เป็นหนึ่งในปัญหาที่บั่นทอนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมของไทย และกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นย่านห้วยขวาง รัชดาภิเษก เยาวราช และสัมพันธวงศ์ ที่จีนเทาเข้ามายึดพื้นที่ทำธุรกิจอย่างเปิดเผย ยังไม่นับรวมที่กระจายอยู่ในต่างจังหวัดอีกหลายพื้นที่ ส่วนว่าจะมีธุรกิจใดบ้าง และส่งผลกระทบต่อไทยอย่างไรนั้นคงต้องไปฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจจีน
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจจีนเทาที่เข้ามาฝังตัวอยู่ในประเทศไทยนั้นมี 2 ลักษณะ คือ 1.ธุรกิจผิดกฎหมาย ได้แก่ ธุรกิจรับทำวีซ่าผิดกฎหมาย ขอทาน พนันออนไลน์ เงินกู้นอกระบบ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ และ 2.ธุรกิจที่ไม่ได้ผิดกฎหมายแต่ขั้นตอนการเข้ามาทำธุรกิจนั้นผิดกฎหมาย เช่น ลักลอบทำธุรกิจ จ้างคนไทยเป็นนอมินีในการจดทะเบียนธุรกิจ โดยธุรกิจดังกล่าวได้แก่ ทัวร์ศูนย์เหรียญ ขนส่งศูนย์เหรียญ บริษัทส่งออก-นำเข้า สถานบันเทิง อสังหาริมทรัพย์ และผลิตสินค้าปลอมขายผ่านระบบออนไลน์
สำหรับธุรกิจจีนเทาที่ผิดกฎหมายนั้นรุกคืบเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ถูกทางการจีนปราบปรามอย่างหนักตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของไทย ทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจ โดยธุรกิจจีนเทาที่รุนแรงสุดคือธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ การค้ามนุษย์ รวมถึงยาเสพติดที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยหลังจากที่รัฐบาลจีนปราบปรามธุรกิจจีนเทาอย่างหนักส่งผลให้จีนเทาอยู่ไม่ได้จึงย้ายไปทำธุรกิจสีเทาในประเทศแถบอาเซียน ทั้งในลาว กัมพูชา พม่า และประเทศไทย โดยในกัมพูชาจะมีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ และค้ามนุษย์ซึ่งหลอกคนในแถบอาเซียนโดยเฉพาะคนไทยไปทำงานในแก๊งดังกล่าว อีกทั้งยังมีการขายต่อคนเหล่านี้ไปให้แก๊งธุรกิจสีเทาต่างๆ เป็นทอดๆ ขณะที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษของ สปป.ลาว จะเป็นลักษณะของบ่อนการพนัน พ่วงกับธุรกิจสีเทาอื่นๆ ส่วนพม่าจะหนักไปทางค้ายาเสพติดเพราะมีการปลูกฝิ่นเป็นจำนวนมาก
“ธุรกิจสีเทาชนิดที่ผิดกฎหมายชัดเจนซึ่งมาตั้งฐานในประเทศไทยโดยมีคนจีนเป็นเจ้าของนั้นมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าแสนล้าน ไม่นับรวมที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านแต่หลอกคนไทยไปทำงาน จากที่เคยได้เข้าพบและพูดคุยกับสถานทูตกัมพูชาทราบว่ารัฐบาลไทยและกัมพูชาได้ประสานความร่วมมือในการช่วยเหลือคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในธุรกิจสีเทาที่กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างสาวเหนือคนหนึ่ง อายุยังไม่ถึง 20 ปีเลย ถูกหลอกไปทำงานและถูกขายเปลี่ยนมือให้แก๊งธุรกิจสีเทาไปเรื่อยๆ ซึ่งคาดว่าระหว่างที่ขายเปลี่ยนมือนั้นถูกล่วงละเมิดทางเพศด้วย สุดท้ายแม่ของผู้หญิงต้องเอาเงิน 3 แสนบาทไปไถ่ตัวออกมา ธุรกิจพวกนี้น่ากลัวมาก” รศ.ดร.อัทธ์ กล่าว
ขณะที่ธุรกิจจีนเทาที่ไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ลักลอบเปิดกิจการ หรือจ้างคนไทยเป็นนอมินีนั้น “รศ.ดร.อัทธ์” มองว่า ธุรกิจเหล่านี้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทยอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวจะใช้วัตุดิบและแรงงานเกือบทั้งหมดจากจีน รายได้ต่างๆจึงอยู่ในมือคนจีนทั้งหมด ขณะที่เข้ามาใช้ทรัพยากรของไทย แย่งอาชีพคนไทย และแย่งส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจคนไทย โดยธุรกิจจีนเทาธุรกิจแรกที่เข้ามาในไทยคือทัวร์ศูนย์เหรียญ ซึ่งเข้ามาในช่วงประมาณปี 2553 ซึ่งเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวไทยบูมมากในประเทศจีน แต่นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ธุรกิจทัวร์ศูนย์เหรียญก็ลดลงไปมาก เพราะนักท่องเที่ยวจีนออกนอกประเทศไม่ได้พักใหญ่ทำให้ธุรกิจลักษณะนี้ต้องล้มเลิกไป
ในปัจจุบันที่พบมากคือ "ธุรกิจขนส่งศูนย์เหรียญ" เนื่องจากไทยเปิดเสรีโลจิสติกส์และตั้งเป้าจะเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าในภูมิภาคแถบนี้ โดยคนจีนจะเข้ามาในลักษณะของการถือหุ้นและจ้างคนไทยเป็นนอมินีในการถือหุ้นฝั่งไทย ซึ่งช่วงแรกจะเข้ามาขนส่งผักผลไม้ระหว่างไทยกับจีน เพราะไทยนำเข้าผักผลไม้จากจีนเยอะ ขณะที่จีนก็นำเข้าผลไม้หลายอย่างจากไทย แต่ต่อมาขนส่งศูนย์เหรียญรุกคืบเข้าไปในธุรกิจขนส่งสินค้าภายในประเทศไทย ส่งผลให้ผู้ประกอบการขนส่งของไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการรถบรรทุกได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะมีการตัดราคาเพื่อแย่งลูกค้าจากผู้ประกอบการรถบรรทุกชาวไทย โดยในเดือนสิงหาคม 2567 คาดว่ามีรถบรรทุกจากจีนวิ่งอยู่ในไทยประมาณ 10,000 คัน และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 คันในปี 2568 นอกจากนั้น ยังมีบริษัทส่งออก-นำเข้าของจีนที่เข้ามาตั้งกิจการในไทย เพื่อใช้ไทยเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าไปทั่วโลก อีกทั้งยังใช้สิทธิทางภาษีของไทยในการส่งออกอีกด้วย
อีกธุรกิจที่น่ากลัวอย่างมากคือการที่จีนเทาเข้ามาตั้งโรงงาน “ผลิตสินค้าปลอมในไทย” โดยเลือกทำเลในชนบทหรือพื้นที่ที่มีคนอาศัยอยู่น้อย โดยนำเครื่องจักร เครื่องมือ วัตถุดิบและแรงงานทั้งหมดเข้ามาจากประเทศจีน ซึ่งสินค้าปลอมดังกล่าวมีทั้งของใช้ทั่วไปและสินค้าแบรนด์เนม ที่ผลิตและนำมาขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ของ แต่เม็ดเงินกลับถูกส่งกลับไปประเทศจีนทั้งหมด
“ขนส่งศูนย์เหรียญที่เข้ามาในไทยเติบโตอย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยขยายธุรกิจจากแค่ขนส่งผักผลไม้ระหว่างไทยกับจีน เป็นขนส่งสินค้าทุกชนิดที่ค้าขายระหว่างไทยกับจีน และต่อมาขยายธุรกิจไปเป็นการวิ่งรับขนส่งสินค้าภายในประเทศไทยด้วย นอกจากนั้น ปัจจุบันยังมีบริษัทส่งออก-นำเข้าของจีนหลายบริษัทที่เข้ามาตั้งในไทยโดยส่งสินค้าไปขายทั่วโลก ซึ่งเจ้าของกิจการเป็นคนจีน 100% เขามีเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ มีเงินทุนมากกว่า ทำธุรกิจแบบครบวงจร ทั้งรถบรรทุกที่ขนส่งภายในในประเทศไทย ขนส่งระหว่างจีนกับไทย และเรือขนส่งสินค้าที่กระจายไปทั่วโลก ทำให้ธุรกิจโลจิสติกส์ของไทยแข่งขันลำบาก” รศ.ดร.อัทธ์ ระบุ
รศ.ดร.อัทธ์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ธุรกิจจีนเทาเข้ามาแพร่ระบาดในไทยเนื่องจากมีช่องโหว่ในการบังคับใช้กฎหมาย โดยอาจมีการจ่ายส่วย ยัดเงินใต้โต๊ะ มีการวิ่งเต้นให้สามารถจัดตั้งธุรกิจหรือตั้งบริษัทในประเทศไทย บางบริษัทมีคนไทยเป็นนอมินี แม้จะเป็นธุรกิจที่ไม่ผิดกฎหมายแต่ที่มาของเงินที่ใช้ในการลงทุนนั้นมีทั้งที่เงินที่ได้มาแบบถูกกฎหมายและเงินจากธุรกิจผิดกฎหมายที่นำฟอกผ่านธุรกิจที่มาลงทุนในไทย
“บางส่วนเป็นการลงทุนเพื่อฟอกเงิน คือเงินที่นำมาลงทุนในธุรกิจเหล่านี้มันผสมปนเปกันไปหมด เหมือนน้ำสองสี เงินขาวกับเงินเทามันปนกันไปหมด ในเงินลงทุน 100% จะมีถึง 30% ที่เป็นเงินจากธุรกิจสีเทาที่ผิดกฎหมาย แปลว่าเขาใช้ไทยเป็นที่ฟอกเงิน ที่สำคัญเราควรดู สปป.ลาว เพื่อเป็นกระจกสะท้อนว่าหากเราปล่อยปละละเลยวันหนึ่งเราอาจตกอยู่สภาพเดียวกับลาวที่ตกเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจของจีน” รศ.ดร.อัทธ์ กล่าว
รศ.ดร.อัทธ์ ยังได้แนะนำว่า ภาครัฐควรจะวางมาตรการป้องกันการรุกคืบของธุรกิจจีนเทา โดยใช้วิธีสำรวจและขึ้นทะเบียนธุรกิจและตัวบุคคลที่เป็นต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาในไทย ไม่ว่าจะเป็นจีน ลาว กัมพูชา หรือพม่า มีการเก็บข้อมูลตั้งแต่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นด่านชายแดนหรือสนามบินว่าเข้ามาทำอะไร มาท่องเที่ยว มาทำงาน ทำธุรกิจ หรือพักอาศัยระยะยาว เพื่อจัดทำเป็นดาต้าเบส ที่สำคัญทุกหน่วยงานต้องใช้ฐานข้อมูลเดียวกัน เราจะได้ทราบว่ามีแรงงานต่างชาติอยู่เท่าไหร่ มีธุรกิจใดบ้างที่เป็นของต่างชาติ หากพบว่าเข้ามาทำอาชีพสงวนของคนไทยจะได้ผลักดันออกไป และจำกัดไม่ให้มีธุรกิจต่างชาติมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทย อีกทั้งหากพบการกระทำที่ผิดกฎหมายของคนเหล่านี้จะได้ติดตามดำเนินคดีได้อย่างรวดเร็ว
ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook :https://www.facebook.com/SpecialScoopManagerOnline/
Instragram :https://instagram.com/special.scoop.mgronline
Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSe4j